สายน้ำเย็นฉ่ำจากฝักบัวราดรดลงบนร่างกำยำเปลือยเปล่าที่แน่นตึงไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างคนที่ใส่ใจดูแลสุขภาพเป็นอย่างดีไร้ไขมันให้ระคายสายตา คีตภัทรหลับตาเงยหน้ารับความชุ่มฉ่ำของสายน้ำเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน แต่เพียงแค่หลับตาใบหน้าหวานซึ้งของนางฟ้าตัวน้อยก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำจนเขาต้องสะบัดหน้าเพื่อไล่ภาพเหล่านั้นออกจากหัว
“คุณชักจะรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของผมเกินไปแล้วนะทูนหัว” คีตภัทรพึมพำและใช้ฝ่ามือทาบลงกับผนังห้องน้ำอย่างสงบสติอารมณ์ ในชีวิตหนุ่มของเขาที่ผ่านมานั้นใช่ว่าไม่เคยพานพบหญิงสาวที่สวยมีเสน่ห์น่าหลงใหล ตรงกันข้ามเขาล้วนผ่านมาหมดแล้วไม่ว่าจะสาวสวยร้อนแรงที่แสนเก่งกาจเรื่องบนเตียงหรือหญิงสาวอ่อนหวานน่าทะนุถนอม แต่ไม่เคยมีใครหยุดเขาได้เลยสักคน ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องและดูแลเธอให้พ้นจากอันตรายใดๆ อย่างที่นางฟ้าตัวน้อยของเขาทำได้ อมิตาทำให้เขาร้อนรุ่มอยากรู้จักเธอให้มากกว่านี้ อยากปกป้องคุ้มภัยไม่ให้ผู้หญิงใจร้ายสองคนนั้นรังแกและเอาเปรียบเธออีก บางสิ่งบางอย่างในตัวเขามันร่ำร้องให้เดินหน้าสานสัมพันธ์เพื่อนำนางฟ้าตัวน้อยมาไว้ข้างกายและดูแลเธอให้ได้รับความสุขที่สุดความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน ‘วันหนึ่งถ้าแกเจอใครสักคนที่แกทำได้ทุกอย่างเพียงเพื่ออยากให้เขามีความสุข อยากเห็นรอยยิ้มของเขาไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม วันนั้นแกจะเข้าใจความรู้สึกของฉันกับไอ้ธีร์’ เสียงของตติยะเพื่อสนิทดังเข้ามาในหัวเมื่อครั้งที่เขาเอ่ยแซวเพื่อนสนิททั้งสองเรื่องการรักภรรยาชนิดถวายหัวถวายชีวิต
“ไม่จริง รักแรกพบอย่างนั้นเหรอ ตลกน่าไอ้คีย์เรื่องแบบนั้นมันมีแค่ในนิยายเท่านั้นแหละ” คีตภัทรบอกตัวเองเมื่อได้สำรวจความรู้สึกที่เขามีต่ออมิตาในตอนนี้ว่ามันคืออะไร สุดท้ายเขาก็บอกกับตัวเองว่ามันก็แค่การถูกใจในรูปร่างหน้าตาของหญิงสาวสักคนเหมือนที่ผ่านๆ มาไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น วันใดที่เขาได้เชยชมเจ้าหล่อนก็คงเบื่อและมองหาเป้าหมายใหม่อย่างที่เคยทำมาตลอด คีตภัทรปิดน้ำและหยิบผ้าขนหนูมาพันท่อนล่างก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ ร่างสูงใหญ่กำยำเดินมาหยุดที่หน้ากระจก ภาพที่สะท้อนกลับมาคือผู้ชายใบหน้าหล่อเหลาคมคายแบบไทยแท้และรูปร่างสูงใหญ่กำยำอย่างยากที่หญิงสาวคนไหนจะมองผ่านได้ง่ายๆ แผงอกที่แน่นตึงไปด้วยมัดกล้ามเต็มไปด้วยหยดน้ำเกาะพราวของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ คีตภัทรยิ้มมุมปากให้กับตัวเองเมื่อคิดถึงเรื่องที่วนเวียนอยู่ในหัวตั้งแต่เขาได้พบนางฟ้าแสนสวยในคืนนั้น
“แล้วเรามาพิสูจน์กันสาวน้อยว่ารักแรกพบอย่างในนิยายมันไม่มีอยู่จริงหรอก” คีตภัทรพูดอย่างมั่นใจและเขาจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าอมิตาก็ไม่ต่างจากหญิงสาวคนอื่นที่เขาถูกตาต้องใจ และเมื่อใดที่ได้เชยชมสมใจก็คงเบื่อและมองหาเป้าหมายใหม่ต่อไป ส่วนเจ้าอาการอยากปกป้องดูแลก็คงเป็นเพราะท่าทางบอบบางน่าทะนุถนอมและใบหน้าสวยหวานซื่อๆ ที่มันกระตุ้นสัญชาตญาณเสือร้ายที่อยู่ในตัวเขาให้รู้สึกทั้งอยากปกป้องและขย้ำเป็นอาหารไปพร้อมๆ กัน
“แล้วเจอกันหนูอิม”
เช้าวันนี้อมิตามาทำงานด้วยอาการไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่นักเพราะเมื่อคืนนายอำนาจไม่สบายไข้ขึ้นสูงทำให้เธอต้องคอยดูแลเช็ดตัวตลอดทั้งคืน ตอนแรกเธอคิดไว้ว่าหากตอนเช้ายังไม่ดีขึ้นคงต้องลางานเพื่อพาผู้เป็นลุงไปหาหมอ แต่โชคดีที่เช้านี้ไข้ลดและลุงของเธออาการดีขึ้นพร้อมยืนยันว่าอยู่คนเดียวได้ทำให้เธอไม่ต้องลางานอย่างที่คิดไว้แต่แรก
“เป็นอะไรหนูอิม เช้านี้ดูท่าทางเพลียๆ” ชลิดาเข้ามาถามอย่างห่วงใยเมื่อสังเกตได้ว่าเพื่อนสนิทของเธอมีหน้าตาอิดโรยไม่สดชื่นเหมือนทุกวัน
“เมื่อคืนคุณลุงไม่สบายหนูอิมต้องคอยดูแลเช็ดตัวทั้งคืนเลยไม่ค่อยได้นอนน่ะ”
“แย่จัง ไหวไหมลากลับไปพักดีไหม เดี๋ยวเชอรี่กับลิซ่าดูแลลูกค้าแทนเอง” ชลิดาอาสาด้วยความห่วงใยจากใจจริง
“ไม่เป็นไรหรอกเชอรี่ หนูอิมไหว”
“แน่ใจนะ”
“จ้ะ”
“ถ้างั้นก็ตามใจ”
“สวัสดีจ้ะทุกคน ลิซ่าคนสวยมาแล้ว” ลิซ่าที่เพิ่งมาถึงเป็นคนสุดท้ายกล่าวทักทายเพื่อนๆ อย่าร่าเริง
“เอ๊ะ ทำไมวันนี้หนูอิมดูไม่สดชื่นเลยจ๊ะ”
“เมื่อคืนหนูอิมไม่ได้นอนเพราะต้องดูแลคุณลุงที่ไม่สบายน่ะลิซ่า” ชลิดาเป็นฝ่ายตอบแทน
“สมกับเป็นหลานยอดกตัญญูจริงจริ๊งเพื่อนฉัน ต่างจากลูกสาวในไส้ที่ไม่เคยเหลียวแลว่าพ่อตัวเองจะเป็นจะตาย” ลิซ่าตำหนิครองขวัญเพราะเธอเคยไปหาอมิตาที่บ้านแล้วพบว่าอีกฝ่ายจิกหัวใช้และมักพูดจาทำร้ายจิตใจเพื่อนรักของตัวเองเสมอ
“นั่นน่ะสิ คนอะไรอกตัญญูจริงๆ” ชลิดากล่าวอย่างเห็นด้วยกับเพื่อน
“แล้วนี่ไหวแน่นะหนูอิม ไม่ไหวก็ลากลับไปพักเดี๋ยวลิซ่าขอพี่ฐาให้” ลิซ่าอาสาด้วยความเป็นห่วง
“ขอบใจนะลิซ่า หนูอิมไหว”
“ไหวก็ไหว” เมื่อเจ้าตัวยืนยันแบบนั้นทั้งชลิดาและลิซ่าจึงไม่พูดอะไรอีก ทั้งคู่แยกย้ายไปประจำหน้าที่ของตัวเองเพื่อเตรียมต้อนรับลูกค้าเพราะเป็นเวลาที่ห้างเปิดทำการพอดี
เนื่องจากเป็นวันศุกร์สิ้นเดือนทำให้มีลูกค้าสาวๆ มาใช้บริการเป็นจำนวนมากทำให้ตลอดทั้งวันอมิตาและเพื่อนๆ ต้องคอยต้อนรับลูกค้าจนแทบไม่มีเวลาได้พัก ถึงแม้จะเหนื่อยแต่เธอก็มีความสุขเพราะนั่นหมายถึงยอดขายและค่าคอมมิชชั่นที่จะได้รับตอนสิ้นเดือนจะมากตามไปด้วย
“เฮ้อ...ได้พักสักที” ลิซ่าถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกจากเคาน์เตอร์ไป แม้จะยังไม่ถึงเวลาปิดทำการแต่ก็เป็นช่วงที่ลูกค้าเว้นช่วงให้บรรดาพนักงานได้พักหายใจหายคอหลังจากต้องคอยตอบคำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อยู่ตลอดเวลา
“พูดเหมือนไม่ชอบที่ลูกค้าเยอะแบบนี้” ชลิดาแหย่เพื่อน
“ชอบสิยะ แต่มารุมทีเดียวแบบนี้ก็เกือบแย่เหมือนกัน ขอแบบทยอยมาแต่มาทั้งวันแบบนี้จะดีมาก”
“อีกหนึ่งชั่วโมงจะเลิกงานแล้ว หลังเลิกงานเราไปดูหนังกันไหม” ลิซ่าชวนเพื่อนสนิททั้งสอง
“ดีเหมือนกันนะ มีหนังเรื่องที่ฉันอยากดูเข้าวันนี้พอดี” ชลิดาตอบตกลงทันที
“หนูอิมล่ะว่าไง” ลิซ่าหันมาถามอมิตาที่ยืนยิ้มเจื่อนๆ ให้เพื่อนอย่างเกรงใจที่ต้องปฏิเสธ
“ลิซ่ากับเชอรี่ไปดูกันเถอะ หนูอิมเป็นห่วงคุณลุงจะรีบกลับไปดูท่านน่ะ”
“น่าเสียดาย แต่ไม่เป็นไรลิซ่าเข้าใจ เอาไว้คราวหน้าเราค่อยไปดูด้วยกันก็ได้”
“ขอบใจนะลิซ่าที่เข้าใจหนูอิม”
“แหม ไม่ต้องมาขอบอกขอบใจหรอกจ้ะ เราเพื่อนรักกันก็ต้องเข้าใจกันสิ” อมิตายิ้มกว้างอย่างดีใจที่เพื่อนทั้งสองเข้าใจและไม่โกรธที่เธอไม่ไปตามคำชักชวน อมิตาเอื้อมมือหาที่ยึดเมื่อจู่ๆ ภาพตรงหน้าก็พร่าเลือนและรู้สึกว่าพื้นที่เธอยืนอยู่นั้นมันโครงเครงจนทรงตัวไม่อยู่
“หนูอิมเป็นอะไรน่ะ” ลิซ่าอุทานอย่างตกใจและถลาจะเข้าไปประคองร่างบอบบางที่ยืนโงนเงนแต่ช้ากว่าใครคนหนึ่งที่ที่เข้ามารับร่างบางที่ล้มลงไว้ได้ทันท่วงทีก่อนที่จะล้มหัวฟาดพื้น
“ท่านประธาน” ลิซ่าและชลิดาอุทานอย่างตกใจพร้อมๆ กันแต่ไม่รู้ว่าตกใจที่เพื่อนรักเป็นลมล้มพับหรือตกใจที่เห็นท่านประธานหนุ่มมาปรากฏกายตรงหน้าแล้วประคองเพื่อนเธอไว้ในอ้อมกอด
“ผมจะพาหนูอิมไปห้องพยาบาล พวกคุณตามมาแล้วกัน”
“เอ่อ...ขะ...ค่ะ” สองสาวรับคำอย่างงุนงงแล้วหันไปฝากฝังให้เพื่อนคนอื่นช่วยดูแลลูกค้าไปก่อนส่วนตัวเองก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามท่านประธานที่อุ้มร่างไร้สติของเพื่อนเธอตรงไปยังห้องพยาบาลของทางห้างโดยมีสายตาของพนักงานคนอื่นๆ และลูกค้ามองตามไปอย่างสนใจ
“เจ้านายให้ผมช่วยไหมครับ” เสกสรรอาสาเมื่อเห็นว่ามีสายตาของพนักงานคนอื่นมองมาระหว่างที่เจ้านายหนุ่มอุ้มร่างบอบบางของพนักงานสาวแผนกเครื่องสำอางที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘คุณนางฟ้า’ ไปตามทางเดินเพราะเกรงว่าจะมีคำครหาอื่นๆ ตามมาให้ต้องรำคาญใจ
“ไม่ต้อง” น้ำเสียงห้วนๆ ที่ตอบกลับมาทำให้เลขาหนุ่มปิดปากสนิทและเดินตามไปเงียบๆ
คีตภัทรค่อยๆ วางร่างบอบบางที่ยังไม่ได้สติลงบนเตียงในห้องพยาบาลและหลีกทางให้คุณหมอประจำห้องตรวจดูอาการหญิงสาว ชายหนุ่มยืนกอดอกมองอยู่โดยไม่ละสายตาทำให้เสกสรรแอบยิ้มแต่ลิซ่าและชลิดานั้นแอบมองอย่างสงสัยในท่าทีของเจ้านายหนุ่มที่มีต่อเพื่อนรักของตัวเอง
“คุณสองคนตามผมมาข้างนอกหน่อย” คีตภัทรเรียกสองสาวที่เขาทราบจากการสืบประวัติของอมิตาว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทของหญิงสาว
“ท่านประธานเรียกพวกเรามามีอะไรเหรอคะ” ลิซ่ารวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไปเพราะเป็นครั้งแรกที่เธอได้เผชิญหน้าท่านประธานหนุ่มแห่ง The Chic ตัวเป็นๆ แบบใกล้ชิดหากไม่นับวันงานเลี้ยงที่เขาสวมหน้ากากทำให้เธอไม่ทราบว่าเขาคือเจ้าของอาณาจักรห้างสรรพสินค้ามูลค่าหมื่นล้านแห่งนี้
“เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนคุณ ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา หรือว่าแผนกเครื่องสำอางใช้แรงงานพนักงานโหดเกินไป”
“ไม่ใช่ค่ะ หนูอิมเป็นลมเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนเพราะต้องดูแลคุณลุงที่ไม่สบายค่ะ” ลิซ่ารีบแก้ต่างเพราะกลัวว่าคีตภัทรจะเข้าใจผิดว่าหัวหน้างานของเธอใช้งานพนักงานหนักเกินไป
“อย่างนั้นเหรอ” คำตอบนั้นนอกจากจะไม่ทำให้คีตภัทรสบายใจขึ้นแล้วยังทำให้อารมณ์เสียหนักกว่าเดิมเพราะพาลให้นึกถึงสองแม่ลูกมหาภัยที่คอยรังแกอมิตาแล้วยังทิ้งภาระให้เธอดูแลคนป่วยจนไม่ได้พักผ่อนทำให้เป็นลมเป็นแล้งแบบนี้
“ค่ะ หนูอิมท่าทางไม่ค่อยดีตั้งแต่เมื่อเช้าแต่พอถามก็บอกว่าไหว จนสุดท้ายก็เป็นลมอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”
“คุณสองคนเป็นเพื่อนสนิทอมิตาใช่ไหม” คีตภัทรถามและกวาดสายตามองหนึ่งหญิงและหนึ่งชายใจหญิงตรงหน้า
“ใช่ค่ะ”
“ถ้างั้นผมรบกวนคุณสองคนช่วยไปหยิบกระเป๋าและของส่วนตัวของอมิตาให้ทีนะ”
“คะ ท่านประธานจะเอากระเป๋าหนูอิมไปทำอะไรคะ” ความสงสัยทำให้ลิซ่าโพล่งคำถามไปก่อนจะทันได้คิด และเมื่อเห็นสายตานิ่งๆ ของคีตภัทรมองตอบมาเธอก็นึกอยากจะมุดแผ่นหนีไปเสียเดี๋ยวนี้และนึกโกรธความปากพล่อยของตัวเองที่กำลังจะพาความซวยมาให้
“ลิซ่าถามอะไรแบบนั้นเดี๋ยวก็ซวยหรอก” ชลิดากระซิบต่อว่าเพื่อนเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของคีตภัทร
“ผมจะพาเพื่อนคุณไปส่งที่บ้านเอง เป็นแบบนี้คงทำงานต่อไม่ไหวหรอก แล้วอีกอย่างผมคงไม่ใจร้ายให้พนักงานทำงานทั้งๆ ที่ป่วยหรอก”
“เอ่อ...” ลิซ่าอึกอักเมื่อได้ยินว่าท่านประธานหนุ่มจะไปส่งเพื่อนรักของเธอด้วยตัวเอง
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเชอรี่จะรีบไปเอากระเป๋าหนูอิมมาให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ” ชลิดารีบดึงแขนลิซ่าที่ยืนอ้ำอึ้งอยู่ออกไปทันที
“เดี๋ยวสิเชอรี่จะดึงลิซ่าทำไม”
“ขืนปล่อยให้เธออยู่ต่อคงได้ตกงานกันทั้งคู่แน่ ไม่เห็นหรือไงว่าคุณคีย์ไม่พอใจที่เธอถาม ท่านสั่งอะไรก็ทำตามไปเถอะน่าไม่งั้นจะซวยกันหมด”
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจนะแต่ปากมันไปเอง”
“ฉันรู้ ถึงต้องรีบดึงเธอออกมานี่ไง”
“แล้วเธอไม่แปลกใจเหรอเชอรี่ที่จู่ๆ ท่านประธานก็อาสาจะไปส่งหนูอิมด้วยตัวเอง”
“ก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาท่านคงสงสารล่ะมั้งที่เห็นหนูอิมทำงานจนเป็นลม จะว่าไปท่านประธานก็ใจดีมีน้ำใจเหมือนกันนะ ถึงจะหน้านิ่งไปหน่อยก็เถอะ”
“แต่ฉันว่า...”
“ไม่ต้องว่าแล้ว รีบไปเอากระเป๋าหนูอิมมาให้ท่านประธานเถอะ ขืนชักช้าจะโดนเล่นงานเอา” ชลิดาดึงแขนลิซ่ากลับไปตามทางเดิมเพื่อทำตามคำสั่งของเจ้านายหนุ่มเพราะเกรงว่าหากชักช้าจะทำให้เขาไม่พอใจแล้วจะพาลตกงานเสียเปล่าๆ