ทางด้านคีตภัทรยังคงนั่งกอดอกมองดูคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาห่วงใยอย่างไม่รู้ตัว เลขาหนุ่มที่แสนรู้ใจก็ปลีกตัวออกไปรอด้านนอกทิ้งให้เจ้านายได้อยู่ตามลำพังกับคุณนางฟ้า เวลาผ่านไปครู่ใหญ่คนบนเตียงก็ขยับกายและรู้สึกตัว
“ค่อยๆ ลุกสิ เดี๋ยวก็หน้ามืดไปอีก” คีตภัทรปราดเข้ามาประคองคนที่พยายามขยับกายลุกขึ้นนั่ง
“ท่านประธาน” อมิตามองคนตรงหน้าอย่างงุนงงก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ทำให้เธอรู้ว่าขณะนี้ตัวเองนอนอยู่บนเตียงในห้องพยาบาล
“หนูอิม เอ่อ...ดิฉันมาอยู่ที่นี่ได้ไงคะ”
“แทนตัวเองว่าหนูอิมนั่นแหละดีแล้ว ดีกว่าดิฉันที่ดูแก่และห่างเหินเหลือเกิน ไหนลองพูดซิ”
“เอ่อ...หนูอิมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ดีมาก คุณเป็นลมแล้วผมรับไว้ทันพอดีเลยพาคุณมาที่นี่” เมื่อเห็นสายตาเคลือบแคลงสงสัยของคนบนเตียง คีตภัทรจึงรีบอธิบายทันที
“วันนี้ผมมาตรวจงานในห้างแล้วก็ไปเจอคุณกำลังจะเป็นลมเลยรับเอาไว้ทัน ไม่งั้นป่านนี้คุณอาจจะล้มหัวฟาดพื้นไปแล้วก็ได้”
“ขอบคุณมากนะคะท่านประธาน”
“คุณนี่ขี้ลืมจริงๆนะ ผมสั่งให้คุณเรียกผมว่ายังไง”
“เอ่อ... ขอบคุณมากนะคะคุณคีย์ที่ช่วยดิฉัน เอ่อ...หนูอิมเอาไว้”
“ต่อไปนี้สงสัยต้องหัดให้เรียกบ่อยๆ จะได้ชินปาก” อมิตาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้นคีตภัทรเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไปจึงหาทางกลบเกลื่อนซึ่งต้องขอบคุณสองสาวเพื่อนสนิทของอมิตาที่มาได้จังหวะพอดี
“หนูอิมรู้สึกตัวแล้วเหรอ” ลิซ่าและชลิดาถามอย่างดีใจเมื่อเห็นเพื่อนรักรู้สึกตัวและมีสีหน้าดีขึ้น
“หนูอิมไม่เป็นไรแล้วล่ะลิซ่า เชอรี่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ จริงสิ เธอสองคนมีนัดกันไม่ใช่เหรอ นี่มันก็เลิกงานแล้วเชอรี่กับลิซ่าไปเถอะเดี๋ยวหนูอิมกลับเองได้”
“เรื่องนัดนั่นน่ะไม่สำคัญเท่าหนูอิมหรอก แน่ใจนะว่าดีขึ้นแล้วจริงๆ ให้ลิซ่าไปส่งที่บ้านไหม” ลิซ่าถามด้วยความลืมตัวจนกระทั่งได้ยินเสียงกระแอมของท่านประธานที่ยืนมองอยู่จึงนึกขึ้นได้
“เรื่องที่ผมสั่งให้ไปจัดการเรียบร้อยหรือยังคุณลิซ่าคุณเชอรี่”
“เอ่อ... เรียบร้อยแล้วค่ะท่านประธาน ลิซ่าฝากไว้กับคุณเลขาที่หน้าห้องแล้วค่ะ”
“ดีมาก ถ้างั้นคุณสองคนกลับไปได้แล้ว ส่วนเพื่อนคุณเดี๋ยวผมจะไปส่งเขาเองพอดีผมมีธุระจะคุยกับคุณอมิตานิดหน่อย” ลำพังคำสั่งด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ อาจไม่มีพลังมากพอจะให้ลิซ่าและชลิดารีบแจ้นออกจากห้องได้เท่ากับสายตานิ่งๆ ที่มองมา
“ค่ะ ค่ะ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” ลิซ่ารีบรับคำและหันไปบอกลาอมิตาที่นั่งมองอย่างงุนงงอยู่บนเตียงกับท่าทีของเพื่อนรักและท่านประธานหนุ่ม
“พวกเราไปก่อนนะหนูอิม พรุ่งนี้เจอกัน” โดยไม่รอคำตอบลิซ่าและชลิดาก็รีบเดินออกจากห้องไปทันทีแต่ก็ยังมิวายแอบกระซิบกระซาบกับเสกสรรที่ยืนรออยู่หน้าห้อง
“เจ้านายคุณเสกดุแบบนี้ตลอดเลยหรือเปล่าคะ ลิซ่าหายใจหายคอไม่ทั่วท้องเลยค่ะ” ลิซ่ากระซิบพลางเหลือบมองเข้าไปในห้องเพราะเกรงว่าคีตภัทรจะได้ยิน คำถามนั้นทำให้เสกสรรหัวเราะออกมาเพราะรู้ดีว่าเจ้านายของเขาจงใจทำให้สองสาวนี้กลัวและยอมหลีกทางให้ได้อยู่ตามลำพังกับคุณนางฟ้าแต่โดยดี
“ปกติก็ไม่ดุหรอกครับ ท่านประธานของคุณลิซ่ากับคุณชลิดาน่ะใจดีนะครับ ถ้าจะดุก็มีเหตุผลเสมอ”
“แล้วเหตุผลอะไรท่านถึงดุพวกเราจังเลยล่ะคะ” ลิซ่ายังไม่วายถามอย่างสงสัย
“ไปกันเถอะลิซ่า มัวแต่ถามอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวท่านประธานออกมาเจอก็ซวยหรอก พวกเราไปก่อนนะคะ” ชลิดารีบดึงเพื่อนสนิทออกไปทันทีด้วยเกรงว่าเจ้านายหนุ่มจะออกมาเจอแล้วไม่พอใจ
“ก็ดุเพราะอยากให้คุณสองคนหลีกทางได้อยู่ตามลำพังกับคุณนางฟ้าน่ะสิครับ” เสกสรรตอบเบาๆ ตามหลังสองสาวไปโดยที่ทั้งสองไม่มีโอกาสได้ยิน
อมิตาก้าวเท้าลงจากเตียงช้าๆ โดยมีคีตภัทรคอยประคองแม้เจ้าตัวยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้วก็ตามแต่เขาก็ยังยืนยันที่จะช่วยโดยอ้างว่ากลัวเธอจะล้มลงไปและหากเป็นอะไรขึ้นมาคนจะครหาเอาได้ว่าพนักงานของ The Chic ทำงานหนักจนไม่ได้พักผ่อน
“ความจริงหนูอิมกลับเองได้นะคะ ไม่ต้องรบกวนคุณคีย์หรอกค่ะ” อมิตาบอกอย่างเกรงใจเมื่อเขาอาสาจะไปส่งหรือพูดให้ถูกคือบังคับให้เธอกลับพร้อมเขามากกว่า
“อย่าดื้อสิ เกิดไปเป็นลมเป็นแล้งข้างนอกขึ้นมาจะทำยังไง” เมื่อเขายกเหตุผลนี้มาอ้างเธอก็ไร้ข้อโต้แย้ง
“แล้วที่คุณคีย์บอกว่ามีธุระจะคุยกับหนูอิมเรื่องอะไรเหรอคะ”
“เอาไว้ไปคุยกันบนรถ” ว่าแล้วคีตภัทรก็จูงมือคนช่างถามเดินออกจากห้องพยาบาลไปโดยไม่ได้สนใจว่าเจ้าของมือนุ่มนิ่มจะอ้าปากค้างที่ถูกเขาจับมือเดินหน้าตาเฉย
“รถพร้อมหรือยังเสก” คีตภัทรถามเลขาหนุ่มที่ยืนรออยู่หน้าห้องและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาล้อเลียนที่เสกสรรส่งมา
“เรียบร้อยครับ ผมโทรตามลุงทวีเอารถมาจอดรอที่หน้าลิฟต์แล้วครับ”
“ดี นายกลับบ้านไปได้แล้ว ขอบใจมาก” เสกสรรมองตามเจ้านายหนุ่มที่เดินจูงมือคุณนางฟ้าไปยังลิฟต์ผู้บริหารเพื่อเดินทางกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม
“ต้องเตรียมตัดชุดซะแล้วมั้งไอ้เสก” เสกสรรพูดกับตัวเองแล้วละสายตาที่มองตามเจ้านายเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือส่งเสียงร้อง ‘คุณหญิงกีรติ’ ชื่อมารดาของเจ้านายที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้เลขาแปลกใจไม่น้อย เขาเข้ามาทำงานหลังจากที่ท่านได้วางมือจากการบริหาร The Chic ไปแล้ว แต่เพราะเป็นคนสนิทของลูกชายท่านเขาจึงมีโอกาสได้พบท่านบ้างและนานๆ ทีถึงจะได้รับสายโทรศัพท์ของท่านซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องสำคัญเท่านั้นท่านถึงจะโทรหาเขาที่เบอร์ส่วนตัวไม่ใช่เบอร์สำนักงาน
“สวัสดีครับ คุณหญิงมีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ” เสกสรรทักทายด้วยน้ำเสียงนอบน้อมและคุย ‘ธุระ’ กับท่านอยู่พักใหญ่ก่อนจะวางสายไป
อมิตานั่งตัวลีบอยู่บนรถยนต์คันหรูของคีตภัทร ความหรูหราสะดวกสบายของรถยนต์ราคาแพงไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีเลยสักนิดเพราะคนตัวโตที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นคนที่เธอไม่เคยคิดฝันว่าจะมีโอกาสได้นั่งเคียงข้างเขาอยู่บนรถยนต์หรูหราแบบนี้
“ขยับอีกนิดคุณคงทะลุออกไปนอกรถพอดีนะหนูอิม” คำว่า ‘หนูอิม’ ซึ่งเป็นชื่อเล่นที่คนอื่นเรียกจนเคยชินไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอะไรต่างจากยามที่คำว่า ‘หนูอิม’ ที่เจ้านายหนุ่มใช้เรียกเธอมันทำให้หัวใจเต้นสะดุดและรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้าอย่างไรชอบกล เพราะน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนยามที่เขาเรียกชื่อเธอนั้นไม่เคยมีใครเรียกเธอด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน
“ผมมันน่ากลัวขนาดที่คุณต้องขยับหนีขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เปล่าค่ะ”
“เปล่าแล้วทำไมต้องนั่งเบียดประตูขนาดนั้น” อมิตาก้มหน้านิ่งไม่ตอบ ก็ใครจะกล้าตอบกันล่ะว่าที่เธอนั่งเบียดชิดประตูไม่ใช่เพราะกลัวเขา แต่เป็นเพราะว่าเธอทำตัวไม่ถูกต่างหากที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับเขา ลำพังแค่รูปร่างหน้าตาที่หล่อลากดินของเขาก็ทำให้เธอใจคอเต้นไม่เป็นส่ำอยู่แล้ว แต่เมื่ออยู่ใกล้ได้กลิ่นน้ำหอมกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟยิ่งทำให้เธอประหม่าจนทำตัวไม่ถูก
“คุณคีย์มีธุระอะไรจะคุยกับหนูอิมเหรอคะ” อมิตารีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเพราะเกรงว่าจะเผยพิรุธอะไรออกไปหากปล่อยให้เขาไล่ต้อนอยู่แบบนี้ คีตภัทรอมยิ้มกับความฉลาดในการเอาตัวรอดของคนข้างๆ
“แม่ผมชอบน้ำหอมที่คุณเลือกให้นะ”
“เหรอคะ หนูอิมดีใจที่ท่านชอบค่ะ”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ”
“มีอะไรเหรอคะ”
“ท่านอยากเจอคุณ”
“อยากเจอหนูอิม” อมิตาถามย้ำอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่าพนักงานธรรมดาๆ อย่างเธอจะมีอะไรให้คุณหญิงกีรติมารดาของเขาสนใจอยากจะพบได้
“ใช่ ท่านบอกว่านอกจากคุณพ่อผมก็ไม่มีใครเลือกน้ำหอมได้ถูกใจท่านสักคน ตั้งแต่คุณพ่อผมเสียก็ไม่มีใครเลือกน้ำหอมให้ท่านอีก เวลาผมจะซื้อก็มักจะถามท่านก่อนว่าชอบกลิ่นไหน”
“แล้วทำไม...”
“ทำไมเมื่อวานผมถึงให้คุณเลือกน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ ในเมื่อคุณบอกว่าไม่เคยมีใครเลือกน้ำหอมถูกใจคุณแม่คุณสักคน แล้วทำไมคุณถึงกล้าให้หนูอิมเลือกให้ท่านล่ะคะ”
“เพราะผมอยากรู้ว่าพนักงานขายคนเก่งอย่างคุณจะเลือกน้ำหอมได้ถูกใจท่านหรือเปล่าน่ะสิ”
“แบบนี้ก็แย่น่ะสิ ถ้าท่านไม่ชอบก็เสียเครดิตนักขายมือหนึ่งหมด” อมิตาลืมตัวบ่นน้ำเสียงกระเง้ากระงอดทำให้คีตภัทรยิ้มอย่างเอ็นดู แต่เมื่อรู้ตัวหญิงสาวก็รีบเก็บอาการเพราะเขาและเธอได้สนิทกันมากพอที่เธอจะแสดงอารมณ์ความรู้สึกเหมือนยามอยู่กับเพื่อนๆ ได้
“แต่ท่านก็ชอบ เพราะฉะนั้นเครดิตคุณยังดีสมกับเป็นนักขายมือหนึ่ง” คีตภัทรแซวแล้วเขาก็ได้เห็นรอยจุดสีชมพูระเรื่อบนแก้มใสๆ นั้น
“ส่วนอีกอันผมยังไม่ได้ให้เจ้าของ”
“เหรอคะ หนูอิมหวังว่าเธอจะชอบนะคะ”
“เธอ? คุณรู้ได้ไงว่าคนที่ผมจะให้เป็นผู้หญิง”
“ก็คุณคีย์บอกว่าซื้อให้คุณแม่กับคนพิเศษ หนูอิมก็เลยเดาว่าต้องเป็นผู้หญิง”
“แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะ” คีตภัทรแกล้งถามแล้วก็ได้เห็นอาการตาโตอ้าปากค้างจากคนข้างๆ ที่ทำให้เขาหลุดขำออกมาอย่างไม่อาจกลั้น เสียงหัวเราะของคีตภัทรทำให้ทวีคนขับรถเก่าแก่ที่อยู่มาตั้งแต่สมัยบิดาของชายหนุ่มยังไม่เสียชีวิตลอบมองอย่างประหลาดใจปนยินดีที่หญิงสาวคนนี้ทำให้ลูกชายของเจ้านายที่เขารักและเทิดทูนมีความสุขได้ นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินคีตภัทรหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขเช่นนี้
“ผมล้อเล่น”
“ล้อเล่นแบบนี้ไม่ดีนะคะ”
“ทำไมล่ะ”
“เปล่าค่ะ” อมิตาเลือกที่จะเงียบและหันหน้ามองออกไปนอกกระจกที่ท้องฟ้ามีสีดำทะมึนและมองเห็นสายฟ้าแลบแปรบปราบที่เป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานฝนคงจะตก
“แย่จัง ฝนจะตกแล้ว” อมิตาพูดกับตัวเองเบาๆ แต่เป็นเพราะบนรถเงียบมากทำให้คีตภัทรได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ทำไมเหรอ”
“ก็ฝนตกจะทำให้รถที่ติดอยู่แล้วยิ่งติดไปกว่าเดิมน่ะสิคะ”
“หนูอิมรีบเหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ หนูอิมแค่อยากกลับถึงบ้านเร็วๆ” อมิตาไม่ได้ตอบตามความจริงว่าเธออยากกลับไปนอนพักผ่อนให้เต็มที่หลังจากที่เมื่อคืนอดนอนจนทำให้เป็นลม และตอนนี้กลิ่นน้ำหอมในรถบวกกับอากาศเย็นๆ มันก็เริ่มทำให้เธอรู้สึกเปลือกตาหนักอึ้งเสียแล้ว
“ทำยังไงได้ล่ะ” คีตภัทรยักไหล่เพราะเขาเองก็เบื่อหน่ายกับสภาพการจราจรในกรุงเทพแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจ
“ทวี เดี๋ยวแวะร้านประจำข้างหน้าด้วยนะ”
“ได้ครับคุณคีย์”
“คุณคีย์จะซื้ออะไรเหรอคะ ถ้าคุณคีย์มีธุระหนูอิมกลับเองก็ได้นะคะ”
“ผมบอกแล้วไงว่าจะไปส่งก็คือต้องไปส่งให้ถึงบ้าน” เมื่อเขายืนยันแบบนั้นอมิตาจึงนั่งเงียบๆ จนเห็นว่าคนขับรถของเขาเบี่ยงรถเข้าริมฟุตบาธที่มีร้านราดหน้าตั้งอยู่ หญิงสาวหันมามองเจ้านายหนุ่มอย่างสงสัยทันที
“อย่าบอกนะคะว่าคุณคีย์จะ...”
“ผมหิว กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยนะ ร้านนี้อร่อยเด็ดอย่าบอกใคร” คีตภัทรถอดเสื้อสูทเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกพับแขนขึ้นไปถึงข้อศอกให้ความรู้สึกลำลองต่างจากตอนที่เขาใส่สูทเต็มยศที่เนียบตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจลดทอนความดูดีของเขาลงไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว เป็นเพราะอมิตามัวแต่ตะลึงไม่คิดว่าเศรษฐีหมื่นล้านอย่างเขาจะทานข้าวข้างทางเป็นจึงนั่งนิ่งไม่ยอมลงจากรถจนเขาต้องเดินมาเปิดประตูให้
“เชิญครับคุณผู้หญิง” อมิตารีบลนลานลงจากรถเพราะรู้ตัวว่าเธอทำตัวไม่เหมาะสมที่นั่งนิ่งจนเขาต้องมาเปิดประตูให้ แต่ด้วยความรีบร้อนจึงทำให้เธอสะดุดขาตัวเองเซถลาจนเขาต้องใช้ลำแขนแข็งแรงรวบเอวคอดไว้เพื่อประคอง
“ใจเย็นๆ ครับคุณผู้หญิง คุณหิวเหรอ” คีตภัทรแกล้งแซวจึงได้เห็นรอยสีแดงระเรื่อที่แก้มเนียนอีกครั้ง เขานึกอยากลองใช้จมูกโด่งของตัวเองลงไปสัมผัสนักว่ามันจะนุ่มและหอมสักเพียงใด คีตภัทรเรียกสติตัวเองกลับมาเมื่อชักจะคิดเลยเถิดในเวลาที่ไม่สมควร
“หนูอิมไม่ค่อยหิวหรอกค่ะ คุณคีย์หิวก็รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะเป็นโรคกระเพาะ”
“ห่วงผมเหรอ” อมิตาไม่ตอบแต่เดินนำไปนั่งที่โต๊ะซึ่งว่างอยู่พอดี คีตภัทรอมยิ้มและเดินตามไปนั่งตรงข้ามหญิงสาว เด็กหนุ่มวัยรุ่นซึ่งเธอเดาว่าน่าจะเป็นลูกชายเจ้าของร้านเดินมารับออเดอร์อย่างรวดเร็วพร้อมทักทายคีตภัทรอย่างคุ้นเคย
“พี่รูปหล่อมาอีกแล้ว วันนี้มาแฟนมาด้วยสวยจัง” คีตภัทรยิ้มรับคำทักทายของเด็กหนุ่มแต่ไม่ได้ปฏิเสธความเข้าใจผิดนั้นทำให้เธอต้องรีบอธิบาย
“ไม่ใช่นะคะ พี่ไม่ได้เป็น...”
“ของพี่เอาเหมือนเดิมนะน้อง” ยังไม่ทันที่เธอจะได้อธิบายคีตภัทรก็ตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“พี่คนสวยรับอะไรดีครับ”
“รีบสั่งเข้าสิหนูอิม น้องเขาจะได้ไปรับลูกค้าคนอื่นต่อ”
“ของพี่เอาราดหน้าเส้นหมี่แล้วกันค่ะ”
“ได้เลยครับ รอสักครู่นะครับ” เด็กหนุ่มโค้งคำนับแล้วเดินไปรับลูกค้าโต๊ะอื่นต่อ
“ทำไมคุณคีย์ไม่บอกน้องเขาไปล่ะคะว่าหนูอิมเป็นแค่ลูกน้อง ไม่ได้เป็นอย่างที่น้องเขาเข้าใจ”
“ช่างมันเถอะหนูอิม ขืนมัวแต่อธิบายก็ไม่ทันกินพอดีผมหิวมากเลยนะเนี่ย”
“แต่หนูอิม...”
“ทำไมเหรอครับ”
“หนูอิมกลัวคุณจะเสียหายถ้าใครมาได้ยินเข้า”
“ผมเป็นผู้ชายจะเสียหายยังครับ อีกอย่างผมไม่แคร์อยู่แล้วว่าใครจะคิดยังไง”
“เสียหายสิคะ คุณเป็นใครแล้วหนูอิมเป็นใคร คนอื่นมาได้ยินเข้ามันจะไม่ดีต่อตัวคุณนะคะ”
“คุณเป็นยังไงและผมเป็นยังไงเหรอ” คีตภัทรเริ่มสนุกที่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับคนตรงหน้า เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเธอคิดอะไรอยู่ถึงกลัวว่าเขาจะเสียหายหากมีใครเข้าใจว่าเขาและเธอเป็นแฟนกัน
“ก็คุณเป็นถึงเจ้าของ The Chic แต่หนูอิมเป็นแค่พนักงานขายน้ำหอมธรรมดาๆ หนูอิมจึงไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดไงคะ”
“ฟังผมนะหนูอิม ถ้าผมจะมีแฟนหรือคนรักผมจะไม่เลือกเขาจากฐานะชาติตระกูลหรือความร่ำรวยหรอกนะ” คีตภัทรบอกและสบตาคนตรงหน้าด้วยแววตาจริงจัง
“ราดหน้าที่สั่งได้แล้วครับผม” ทั้งคู่หยุดบทสนทนาไว้แต่เพียงเท่านั้นเมื่อราดหน้าหน้าตาน่ากินถูกยกมาเสิร์ฟ
“ลองชิมสิหนูอิม เจ้านี้อร่อยมาก” อมิตาลองชิมตามที่เจ้านายหนุ่มแนะนำและก็พบว่ามันอร่อยแบบที่เขาว่าจริงๆ มิน่าล่ะเศรษฐีระดับหมื่นล้านแบบเขาถึงยอมละทิ้งความโก้หรูมานั่งทานข้าวข้างทางแบบนี้ได้
“เป็นไง อร่อยแบบที่ผมบอกไหม”
“อร่อยมากเลยค่ะ”
“อร่อยก็กินเยอะๆ นะ ไม่พอสั่งเพิ่มได้มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง” คีตภัทรบอกและตั้งหน้าตั้งตากินอย่างคนหิวจัด อมิตาเผลอยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ยามนี้เขาเหมือนผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งหากไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่าเขาคือเจ้าของอาณาจักรห้างสรรพสินค้านับหมื่นล้านที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศรวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย แต่ความจริงก็คือความจริงเขาคือผู้ชายที่เพียบพร้อมที่อยู่สูงจนเกินจะไขว่คว้า อยู่สูงจนเธอคิดว่าตัวเองกำลังฝันไปที่ได้มานั่งกินข้าวกับเขาอยู่แบบนี้ ‘เขาก็แค่สงสารที่เห็นเธอเป็นลมเลยมาส่งหรอกน่าหนูอิม อย่าคิดเข้าข้างตัวเอง’ อมิตาเตือนตัวเองให้เจียมตัวอย่าคิดอะไรที่ไม่สมควรกับเขาเพราะสุดท้ายคนที่จะเจ็บคือเธอ เมื่อคิดถึงความจริงข้อนี้ราดหน้าที่อร่อยนักหนาเมื่อได้ชิมก็พาลหมดรสชาติจนเธอได้แต่ตักเข้าปากทีละนิดอย่างถนอมน้ำใจคนที่อุตส่าห์โฆษณาว่าอร่อยนักหนา
“ไหนว่าอร่อยแล้วทำไมไม่ค่อยกินเลยล่ะหนูอิม” คีตภัทรถามเมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้าที่ตักราดหน้าขึ้นมากินทีละนิด
“หนูอิมไม่ค่อยหิวน่ะค่ะ” อมิตาพูดปดจะให้เธอบอกเขาไปได้อย่างไรว่าเมื่อคิดถึงความต่างของเขาและตัวเองขึ้นมาก็พาลกินอะไรไม่ลง
“ไม่หิวก็ต้องกินเดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไปอีกหรอก ถ้าไม่กินผมจะป้อนจริงๆ ด้วยนะ” คีตภัทรขู่
“ค่ะ กินแล้วค่ะ” เพราะกลัวว่าเขาจะทำจริงๆ ทำให้อมิตารีบตักราดหน้าในจานมากินทำให้คนขู่ยิ้มพอใจ หลังจากทั้งคู่รับประทานอาหารเสร็จฝนที่ตั้งเค้าก็เริ่มหยาดเม็ดจนคีตภัทรจูงมือเธอรีบวิ่งขึ้นรถ ทันทีที่ประตูปิดลงฝนก็เทกระหน่ำลงมาทันที อมิตาหันไปมองร้านราดหน้าที่สามคนพ่อแม่ลูกรีบช่วยกันเก็บโต๊ะเข้าไปในร่มและนำร่มคันใหญ่ออกมากางเพื่อให้ลูกค้าได้หลบฝน
“ชีวิตพ่อค้าแม่ค้าริมทางก็ลำบากเหมือนกันนะคะ” อมิตาเปรยเมื่อเห็นว่าร้านราดหน้าต้องหยุดชะงักการขายเมื่อฝนเทลงมา
“ทำไงได้ล่ะ พวกเขาเลือกเกิดไม่ได้ก็ต้องดิ้นรนกันไป”
“แต่หนูอิมว่าพวกเขาโชคดีนะคะ”
“โชคดียังไงเหรอ”
“โชคดีที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก แม้จะลำบากหน่อยแต่ก็มีความสุข” คีตภัทรสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างจากน้ำเสียงนั้นจึงกุมมือเล็กๆ เอาไว้อย่างปลอบประโลม ถึงแม้เขาจะเสียบิดาไปตั้งแต่อายุได้เพียงห้าขวบแต่เขาก็มีมารดาที่ทุ่มเทความรักให้อย่างเต็มที่ มีพี่เลี้ยงอย่างชดช้อยที่เอาใจใส่ไม่ต่างจากแม่คนที่สองเขาจึงไม่ได้รู้สึกว่าขาดอะไรต่างจากอมิตาที่เขารู้ว่าหญิงสาวต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงวันนี้ได้
“ไม่เป็นไรนะหนูอิม”
“หนูอิมไม่เป็นไรค่ะ” อมิตาหันมาส่งยิ้มให้เขาแต่ช่างเป็นยิ้มที่แสนเศร้าเหลือเกินในสายตาคีตภัทร เขารู้สึกไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้ของเธอเลยสักนิด ถ้าเป็นไปได้เขาอยากเห็นรอยยิ้มสดใสที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนตอนที่เธอคุยกับลูกค้ามากกว่า สายฝนที่กระหน่ำจนมองไม่เห็นอะไรทำให้อุณหภูมิในรถยิ่งเย็นลงกว่าเดิมแม้คีตภัทรจะสั่งให้คนขับรถหรี่แอร์ลงแล้วก็ตาม อมิตาใช้สองแขนกอดอกเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเองคีตภัทรเห็นกิริยานั้นจึงหยิบเสื้อสูทที่ถอดวางไว้บนเบาะออกมาคลุมให้เธอ
“คุณคีย์”
“ห่มเอาไว้ผมรู้ว่าคุณหนาว”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูอิมทนได้” อมิตาปฏิเสธอย่างเกรงใจ
“ห่มไว้นี่เป็นคำสั่ง” เมื่อเขาบอกแบบนั้นอมิตาจึงเงียบ
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณและเอนศีรษะพิงขอบประตูดูสายฝนที่ไหลผ่านกระจกจนเป็นฝ้า อากาศเย็นๆ และความอบอุ่นจากเสื้อสูทพร้อมกลิ่นหอมๆ ซึ่งเธอเดาว่าเป็นกลิ่นของเจ้าของทำให้อมิตาเคลิ้มจวนเจียนจะหลับ แต่ทันใดนั้นเองสายฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงส่งเสียงดังสนั่นจนเธอกรีดร้องด้วยความตกใจ