1. เรื่องเหลือเชื่อ

1846 Words
ณ เรือนหลังหนึ่งในแถบชนบท เสียงหยดน้ำที่ค้างอยู่บนหลังคา กำลังไหลลงจากรอยรั่ว ตกกระทบพื้นดังเป็นจังหวะ ติ้ง! ติ้ง! ปลุกให้คนที่หลับอยู่ต้องตื่น พะแพงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแม้จะรู้สึกหนักอึ้ง ลมหายใจเธอแผ่วเบา พอกะพริบตาก็สัมผัสถึงแสงจ้าที่ส่องมากระทบ “ไม่สิ หน้าต่างห้องเราแสงแดดส่องไม่ถึงสักหน่อย” เธอบ่นพึมพำ พร้อมกับยกมือขึ้นมาขยี้ตาด้วยความเคยชิน ทว่าเมื่อมองทุกอย่างชัดเจน หญิงสาวกลับต้องรีบวางมือลง “นะ… นี่มันอะไรกัน เราอยู่ที่ไหนเนี่ยะ” เธอเปิดดวงตากว้างกวาดมองอย่างไม่เข้าใจ เพราะภาพตรงหน้ามันไม่ใช่ห้องนอนเธอ สิ่งแรกที่สะดุดตาคือข้างเตียงมีเด็กนั่งอยู่สองคน ท่าทางดูหวาดหวั่นไม่น้อย ทั้งคู่นั่งเกาะขอบเตียงกะพริบตาปริบ ๆ “พี่เหยาฟื้นแล้ว” เด็กชายเอ่ยบอกเสียงแหบพร่า “พี่เหยา ม่านเอ๋อร์หิวข้าว” เด็กหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตามมาด้วยก้อนน้ำใสที่ไหลรินลงมา “ดะ… เดี๋ยวสิ เธอสองคนเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ หิวก็ไปบอกพ่อบอกแม่พวกเธอสิ จะมาบอกฉันทำไม” ร่างบอบบางรีบลุกพาตนเองลงจากเตียงไม้เก่า ตรงมาที่ประตูทันที “มะ… ไม่จริงมั้ง” หญิงสาวยืนตะลึงงันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน จนมือเล็กของเด็กน้อยวัยห้าขวบยื่นมาสัมผัสทำให้เธอต้องสะดุ้ง “พี่เหยา ม่านเอ๋อร์หิว” เด็กน้อยยังคงงอแงพูดแต่คำเดิม พะแพงกะพริบตาถี่มองทั้งคู่สลับกับสภาพแวดล้อมที่พบเห็น ไม่นานนักเสียงถอนหายใจหนักก็ตามมา ‘เราอยู่ในความฝันเหรอ แต่ถ้าเป็นฝัน ทำไมทุกอย่างมันเหมือนจริงนัก’ นึกในใจก่อนจะหยิกตัวเองไปหนึ่งที พลันความรู้สึกเจ็บจี๊ดก็แล่นไปทั่วแขน ‘ไม่จริงมั้ง เราไม่ได้ฝันเหรอ’ เธอยังคงติดอยู่ในห้วงความคิด “พี่เหยา” เด็กชายกระตุกชายเสื้อแผ่วเบา “พวกเธอหิว ทำไมไม่ให้พ่อแม่ทำให้กินล่ะมาบอกฉันทำไม” คนจากยุคปัจจุบันยังคงไม่สนใจเด็กน้อย เพราะขณะนี้หญิงสาวกำลังสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอไม่มีเวลามาสนใจใครทั้งนั้น สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือออกไปด้านนอกเพื่อสำรวจทุกอย่างให้ชัดเจน ทว่าภาพที่เห็น… กลับทำใจดวงน้อยห่อเหี่ยวอยากเกินจะบรรยาย “อย่าบอกนะว่า ฉันตายแล้วมาเกิดใหม่ในยุคจีนโบราณ” พอนึกได้แบบนั้นเธอก็รีบสำรวจร่างกายตัวเองทันที ก่อนนี้มัวแต่ตกใจเลยไม่ได้สังเกตว่า ตัวตนที่มีอยู่มันต่างออกไปจากเดิมหรือเปล่า “ทำไมเราผอมแห้งอย่างกับไม้เสียบผีแบบนี้ล่ะ” พึมพำอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะรีบเดินตรงไปยังธารน้ำเบื้องหน้า เธอโน้มตัวเข้าใกล้เพื่อส่องดูรูปร่างหน้าตาตัวเองในตอนนี้ “มะ… ไม่จริง” ร่างบอบบางทรุดลงกับพื้นอย่างหมดอาลัยอีกครั้ง ก่อนจะหันซ้ายแลขวามองภาพโดยรอบ แล้วมาสะดุดที่ร่างเล็กของเด็กน้อยที่ยืนมองเธอตาปริบ ๆ ‘แล้วเด็กสองคนนี้เป็นลูกใครกัน ทำไมต้องตามติดเราขนาดนี้’ นึกในใจอย่างงวยงง “พี่เหยา ม่านเอ๋อร์หิว ฮึก… แหง๊!!” พะแพงตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเด็กน้อยเริ่มส่งเสียงร้องไห้งอแง เธอเองไม่เคยดูแลเด็ก และแน่นอนว่าไม่ชอบเด็กด้วย “หยุดนะ! พ่อแม่พวกเธอไปไหน ทำไมไม่ให้เขาทำให้กิน อย่ามายุ่งกับฉันนะ ไม่งั้นฉันตีตายแน่” เธอรีบขู่ทันที “พี่เหยาป่วยหนักจนลืมไปแล้วหรือ พวกเราไม่มีพ่อแม่ อาศัยอยู่ที่นี่กันสามคนเท่านั้น” เด็กชายบอกกล่าว ก่อนจะหันมาปลอบน้องสาวฝาแฝดของตนที่เอาแต่ร้องไห้เพราะความหิวที่มีมากขึ้นทุกที ตัวเขาเองก็ทรมานมากเหมือนกัน “กำพร้า! พวกเราเป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ด้วยกันงั้นเหรอ” เด็กน้อยพยักหน้ารับ มือน้อย ๆ ก็ยังคงคอยเช็ดน้ำตาให้น้องสาว “ปกติข้าจะทำอาหาร ทว่าในครัวไม่เหลืออะไรแล้ว ข้าเลยไม่รู้ต้องทำอันใดให้ม่านเอ๋อร์กิน” แววตาเด็กน้อยใสซื่อจนคนถามไม่กล้าจะดุต่อ ยิ่งไปกว่านั้นเสียงร้องมันก็รบกวนความคิดมาก ถ้าเธอยังพูดตะคอกหรือข่มขู่ มีหวังเด็กน้อยต้องร้องไห้งอแงมากกว่านี้แน่ ฉะนั้นเธอต้องทำให้ทุกอย่างสงบลงก่อน “เดี๋ยวฉันจะลองหาอะไรที่พอกินได้ให้ บอกน้องของเธอเลิกร้องได้แล้ว” พูดจบร่างบอบบางก็เดินกลับมาที่เรือนไม้เก่า สภาพจะพังไม่พังแหล่ หากลมแรงพัดมามีหวังล้มครืนลงมาเป็นแน่ แต่เดินมาไม่ทันไรเธอก็หันกลับมาหาทั้งคู่ “ครัวไปทางไหน” นิ้วน้อย ๆ ชี้ไปทางหลังเรือน พะแพงจึงรีบเดินอ้อมไป ก่อนจะหยุดยืนนิ่งกับภาพตรงหน้า พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอ “แม่เจ้า เรื่องจริงเหรอนี่” พึมพำเสียงแผ่ว เธอมองภาพเบื้องหน้าอย่างหวาดหวั่น แสงสีทองเรืองรองของแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ที่ผุพัง หากสัมผัสมันคงหลุดติดมือมาด้วย แค่เดินเข้ามาก็ได้กลิ่นหอมของไม้แห้งตลบอบอวลและกลิ่นจาง ๆ ของสมุนไพรที่แขวนเรียงรายอยู่เหนือเตาไฟ เมื่อมองมายังฝั่งผนังครัว พะแพงก็กลืนน้ำลายอีกหน ไม้เก่าสีซีดเป็นรอยไหม้นี้ จะใช้งานได้นานอีกสักแค่ไหนกัน พอมองมาที่เตาไฟดินเผาทรงกลมก็ทอดถอนใจออกมา นี่เธอต้องก่อไฟด้วยฟืนอย่างนั้นเหรอ ข้าวของเครื่องใช้ก็เป็นแบบเก่าเก็บ ใกล้ ๆ กันคือหม้อที่ขึ้นสีดำสนิทฝาด้านบนก็มีรอยบุบเล็ก ๆ มันคงถูกใช้งานผ่านสงครามครัวมานานหลายปีแล้ว ติดผนังมีชั้นไม้ตอกติดอย่างหยาบ ๆ มีอุปกรณ์เครื่องครัวที่ใช้วางอยู่ ตะหลิวไม้สีเข้มชื้น กล่องไม้ไผ่ใส่เกลือมีฝาเลื่อน และถ้วยชามกระเบื้องสีขาวมีรอยร้าวรอบขอบแทบทุกใบ “แล้วฉันควรต้องเริ่มจากตรงไหนดีล่ะเนี่ยะ” หญิงสาวถึงกับปาดเหงื่อที่กำลังไหลลงมาอย่างละเหี่ยใจ “พี่เหยาข้าวเราไม่มีแล้ว พี่จะทำอะไรกินหรือ” เด็กชายเอ่ยถามเมื่อเห็นพี่สาวยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “หา! ข้าวก็ไม่มีเหรอ” เธอร้องเสียงหลงอย่างไม่เชื่อ ทรุดลงกับพื้นอีกครั้งอย่างหมดอาลัย ก่อนจะนึกอะไรได้ “งั้นเรามีเงินไหม เดี๋ยวฉัน… เอ่อ พี่จะออกไปซื้อ” คลานเข้ามาหาทั้งคู่ ทว่าสิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือใบหน้าน้อย ๆ กลับส่ายไปมา “ข้าวก็ไม่มี เงินก็ไม่มี แล้วเราจะอยู่ยังไง” เธอนั่งแหมะลงอีกครั้ง แววตาไร้ซึ่งความหวัง “ทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย” “ฮึก… พะ…พี่เหยา มะ…ม่านเออร์ ปะ…ปวดท้อง” เด็กน้อยร่ำไห้เสียงสั่นเครือ ตาหรือก็บวมแดง คาดว่าคงร้องมาทั้งวันแน่ ‘เวรกรรมอะไรของฉันเนี่ยะ’ พะแพงตัดพ้อโชคชะตา ครั้นจะไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่ใช่เรื่อง ตอนนี้เธอต้องหาอะไรให้เด็กสองคนนี้กินก่อน ถึงจะสอบถามเรื่องราวความเป็นไปได้ “แถวนี้มีบ้านคนไหม เดี๋ยวพี่จะไปขอความช่วยเหลือจากเขา” หันมาถามเด็กชายที่คอยปลอบน้องสาวตลอด “จื่อเอ๋อร์ไปมาแล้ว ทว่า” น้ำเสียงเขาแผ่วลง “เขาไม่ให้หรือ” เด็กน้อยพยักหน้ารับ “ปกติคนในหมู่บ้านไม่ไยดีพวกเราอยู่แล้ว เห็นเราไปก็ปิดบ้านทันที บอกว่าพวกเราคือตัวซวยขอรับ” เด็กน้อยเอ่ยอย่างไร้เดียงสา เพราะหลายคราแล้วที่พวกเขาถูกไล่ตะเพิดออกมา “คนสมัยนี้ทำไมใจร้ายใจจัง” พะแพงก่นด่าอย่างเหลืออด ก่อนจะมองมาที่เด็กทั้งสอง ที่คนหนึ่งเอาแต่ร้องไห้ “งั้นแถวนี้มีของป่าอะไรที่พอหาได้ไหม” “หน่อไม้ขอรับ แล้วก็ปลาในคลอง แต่ว่า…” “แต่ว่าอะไร?” หญิงสาวขมวดคิ้วเป็นปมทันที “พี่เหยาหาของพวกนี้ไม่เป็นขอรับ ปกติมีแต่เอาของในเรือนไปแลกข้าวและอาหาร จนยามนี้เราไม่เหลืออะไรแล้วขอรับ” ได้ฟังคำของเด็กชาย หญิงสาวก็ถึงกับนิ่งไป ‘เจ้าของร่างเป็นคนแบบไหนกันนะ ฟังจากเด็ก ๆ พูด คงไม่เอาการเอางานเลยสิท่า’ ครุ่นคิดในใจก่อนจะเอ่ย “นั่นมันพี่สาวคนก่อน ไม่ใช่พี่ในตอนนี้ มาเถอะเดี๋ยวฉัน เอ่อ…พี่จะพาไปหาอาหาร” สิ้นคำร่างบอบบางก็ลุกขึ้นมารื้อหาบางสิ่งที่พอใช้แทนเบ็ดได้ สุดท้ายก็มาจบที่ต่างหูเจ้าของร่าง เพราะมันเป็นแบบโค้งงอ น่าจะเหมาะเอามาแทนเบ็ดในยุคปัจจุบัน แค่ทำให้มันมีปลายแหลมและเงี่ยงก็เพียงพอ จากนั้นนางก็เดินออกไปนอกครัวซอมซ่อแห่งนี้ “พี่จะไปไหนหรือ” เด็กน้อยจูงมือกันเดินตาม เมื่อเห็นพี่สาวถือมีดและจอบมุ่งหน้าที่แนวเขาหลังเรือน ซึ่งด้านบนเป็นแหล่งน้ำที่ทอดยาวเข้าหมู่บ้านและไหลตรงไปที่เมืองใหญ่ “ไปหาเหยื่อและคันเบ็ด จะได้หาปลามากินกัน” “ไยพี่พูดเหมือนมันง่ายนัก” จื่อเทารีบถาม “หึหึ ก็ไม่เห็นจะยาก รอดูแล้วกัน” นางบอกอย่างมั่นใจ เด็กน้อยที่ร้องงอแงจึงเดินตามอย่างมีความหวัง “พี่ชาย วันนี้เราจะได้กินข้าวใช่หรือไม่” “พี่ไม่รู้ เจ้ากินน้ำไปก่อนนะ” เด็กชายเอ่ยปลอบ ก่อนที่ทั้งคู่จะตั้งหน้าตั้งตาเดินตามพี่สาวตรงไปยังจุดหมาย แม้ในใจจะหวาดหวั่น ทว่าให้เด็กน้อยจะทำอันใดได้ ในเมื่อตลอดสองปีมานี้ ทั้งคู่ต้องฝากชีวิตไว้กับว่าที่พี่สะใภ้ ต่อให้นางเป็นคนปากร้ายและบางคราก็ใช้เขาทำงานหนัก ถึงกระนั้นหานจื่อเทาก็ยังเชื่อฟังไม่เคยดื้อดึง ทั้งคู่ยังคงเชื่อฟังเสมอ มิเช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีที่อยู่แล้ว #มาเอาใจช่วยลูกสาวกับเด็ก ๆ กันด้วยนะคะ กดใจ คอมเม้นมาพูดคุยกันได้นะคะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD