เจอกันในรอบหลายเดือน
การเป็นนักศึกษาแตกต่างจากการเป็นนักเรียนอยู่พอสมควร จากเดิมที่คิดว่าเรียนแปดหรือเก้าชั่วโมงต่อวันหนักแล้ว ฉันกลับรู้สึกว่าการเรียนแค่สามชั่วโมงต่อวันมันหนักเสียยิ่งกว่าอีก
ฉันชื่อ สายน้ำ เป็นนักศึกษาใหม่แกะกล่องที่เพิ่งเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้เพียงสองอาทิตย์เท่านั้น คณะที่เลือกเรียนคือคณะบริหาร ซึ่งเหตุผลก็เบสิกทั่วไปมาก เพราะในอนาคตต้องรับช่วงต่อกิจการโรงแรมของครอบครัวจึงเลือกเรียน
ฉันมีพี่ชายอยู่หนึ่งคนชื่อ โยธา เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันแต่คนละคณะ พี่ชายฉันมุ่งมั่นที่จะเรียนวิศวะทั้งที่พ่อกับแม่อยากให้เรียนบริหาร แต่ด้วยความดื้อและความเป็นอัจฉริยะคว้ารางวัลด้านการเขียนโปรแกรมมาได้มากมายจึงทำให้พ่อกับแม่ใจอ่อนยอมให้พี่โยธาเรียนวิศวะอย่างที่ตั้งใจ ซึ่งฉันก็ไม่ได้ค้านอะไรหรอกเห็นพี่ชายมีความสุขฉันก็พอใจ
“น้ำ”
ฉันหันหลังไปมองตามต้นเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อ เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ฉีกยิ้มดีใจ
“มาได้ไงเนี่ยพี่โยธา”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณผุดผ่องมาดคุณชาย เรื่องหน้าตาไม่ต้องพูดถึงเพราะแค่เดินเข้ามาหยุดอยู่หน้าคณะบริหารก็ทำให้สาวๆ ที่เดินผ่านไปมาถึงกับเหลียวหลังมอง แต่น่าเสียดายที่พี่ชายของฉันมีแฟนแล้ว
“ลืมเหรอว่าวันนี้เรามีนัดกัน”
นัดงั้นเหรอ...
ฉันขมวดคิ้วครุ่นคิดจนไม่นานก็นึกออกแล้วว่าวันนี้เป็นวันเกิดของพี่ขนมผิง เพื่อนสนิทของพี่นะโมแฟนสาวคนสวยของพี่โยธา และฉันเองก็ค่อนข้างสนิทกับกลุ่มแฟนของพี่โยธาด้วย
“เรียนเยอะจนอ๊องเลย”
“ได้ข่าวว่าวันนี้มีเรียนแค่ช่วงบ่ายไม่ใช่หรือไง” พี่ชายยกมือขึ้นมาจับหัวฉันโยกเบาๆ เอ็นดูน้องสาวแหละแต่ทำแบบนี้คนเริ่มมองแล้วเนี่ย
ไม่ว่าจะเป็นตอนมัธยมหรือตอนนี้ก็ชอบมีหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นแฟนกับพี่โยธาอยู่เรื่อย ไม่เห็นหรือไงว่าหน้าตาเราสองคนเหมือนกันเสียขนาดนี้ เว้นก็แต่ส่วนสูงนี่แหละที่โดนพี่ชายสกัดดาวรุ่งแย่งไปหมด
พี่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ส่วนฉันนั้นสูงแค่หนึ่งร้อยหกสิบเซน ยืนข้างกันทีไรถูกแซวว่าเป็นหลักกิโลกับเสาไฟฟ้าทุกที ช้ำใจ!
ฉันนั่งเบาะหลังฟังเพลงในรถ ส่วนข้างหน้าสองคนก็คือพี่โยธาและพี่นะโมที่เพิ่งไปรับมาจากห้องสมุด สองคนนี้มีจุดเหมือนกันหลายอย่างแต่ที่เห็นชัดๆ คือพวกเขาเป็น ‘เด็กเนิร์ด’ กันทั้งคู่ ฉลาดรู้ทันกัน
“เรียนช่วงนี้เป็นยังไงบ้างน้องน้ำ เริ่มปรับตัวได้หรือยัง”
พี่นะโมหันมาถามพร้อมกับรอยยิ้มชวนให้หลงใหล ฉันเข้าใจแล้วแหละว่าทำไมพี่โยธาถึงได้คลั่งรักพี่นะโมนัก แฟนสวยขนาดนี้มีใครไม่ชอบบ้างล่ะ
“ก็เริ่มปรับตัวได้แล้วค่ะ” เมื่ออยู่กับพวกพี่ทั้งสองคนเด็กที่แอบดื้อเงียบอย่างฉันก็ดูเรียบร้อยไปเลย
“ดีแล้วล่ะ นี่ยังไม่มีคนมาจีบใช่ไหมเนี่ย”
ฉันรีบโบกมือปฏิเสธอย่างไวและเห็นด้วยว่ามีสายตาพิฆาตมองผ่านกระจกหน้ารถจ้องหน้าฉันอยู่
“ไม่มีก็ดี ยังเด็กไม่ต้องรีบมีแฟนหรอก” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นโดยไม่มีน้ำเสียงติดเล่นเลยแม้แต่น้อย
เรียกว่าเป็นวาสนาหรือยถากรรมดีนะที่ดันมีพี่ชายขี้หวง
“ตอนพี่ตามจีบฉัน ฉันก็ยังเด็กเหมือนกันนะ” พี่นะโมหันไปพูดกับพี่โยธา
“ไม่เหมือนกันสักหน่อย”
“ไม่เหมือนกันยังไง?”
“อย่าขัดพี่สิครับ” พี่ชายหันไปทำหน้าออดอ้อนใส่แฟนสาวข้างๆ พวกเขาคงไม่ได้ลืมหรอกนะว่ามีฉันนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้
อยู่กับสองคนนี้ทีไรกลายเป็นอากาศทุกที
“พี่น่ะหวงน้องเกินไปหรือเปล่า ดูสิว่าน้องน้ำโตแล้วนะ” นี่แหละพี่สะใภ้ที่ฉันตามหา
“ไม่รู้แหละถ้าพี่ไม่อนุญาตใครก็ห้ามยุ่งกับน้ำทั้งนั้น เข้าใจไหมน้ำ”
“เข้าใจค่ะ”
ฉันรับปากด้วยรอยยิ้มแป้น พี่บอกแค่ว่าไม่ให้ใครเข้ามายุ่งกับฉัน แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามฉันไปยุ่งกับใครสักหน่อย ดังนั้นแค่ฉันเป็นฝ่ายเข้าหาก็ถือว่าไม่ผิดคำพูดแล้วสินะ อิอิ
ขับรถมานานเกือบหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเราก็มาถึงบ้านพี่ขนมผิง บ้านหลังใหญ่ที่ไม่ต่างจากคฤหาสน์ มีพื้นที่สนามกว้างให้วิ่งเล่นได้ตามสบายไม่ต้องกลัวเหนื่อยเพราะเหนื่อยอยู่แล้ว
เมื่อมาถึงฉันก็หยิบกล่องของขวัญวันเกิดที่เพิ่งไปซื้อกับพวกพี่ๆ ติดมือมาด้วย พี่ขนมผิงเดินออกมาต้อนรับหน้าบ้านด้วยรอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า พอเห็นหน้าพวกเราก็แสดงสีหน้าดีใจรีบเดินเข้ามาทักทาย
“ของขวัญค่ะพี่ผิง” ฉันยื่นกล่องของขวัญให้เจ้าของงานวันเกิด
“ไม่เห็นต้องซื้อมาเลย” เอ่ยจบก็ขยับเข้ามากระซิบกระซาบบางอย่างข้างหูฉัน “พี่เองก็เตรียมของขวัญไว้ให้น้องน้ำเหมือนกันนะ”
ของขวัญให้ฉันเหรอ?
“เข้าไปด้านในดีกว่าอังเปากับลูกตาลมารอแล้ว” จบประโยคพี่ผิงก็พาพวกเราเดินเข้ามาด้านในบ้านหลังโตที่ถูกตกแต่งสไตล์คลาสสิก หรูหรามีเอกลักษณ์สลักด้วยหินอ่อนเป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง
สิ่งแรกที่เจอคือเพื่อนสนิทอีกสองคนของพี่นะโม สาวห้าวที่ใส่ชุดทะมัดทะแมงเหมือนผู้ชายคือพี่ลูกตาล ส่วนอีกคนที่ใส่เกาะอกสั้นเหนือเข่าอวดผิวขาวดุจน้ำนมต่อสายตาประชาชีคือพี่อังเปา
“น้ำ!!”
ฉันสะดุ้งแรงเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังตะโกนลงมาจากชั้นสอง เงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเด็กสาววัยเดียวกันกำลังวิ่งจู๊ดลงมา เสียวตกบันไดแทนเลย
“ทำไมยังใส่ชุดนักศึกษาล่ะ”
คนที่เพิ่งเดินลงมานี้ชื่อ ขนมปัง เป็นน้องสาวแท้ๆ ของพี่ขนมผิงและยังเป็นเพื่อนสนิทของฉันด้วย พวกเราเจอกันครั้งแรกเมื่อช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเรียนคณะเดียวกันมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ต่างเซคชั่นในบางวิชา
“มานี่สิเดี๋ยวฉันพาไปเปลี่ยนโฉม” ว่าแล้วก็ดึงมือฉันวิ่งขึ้นมาบนชั้นสองของบ้าน
ลากเข้ามาในห้องนอน พอมาถึงก็ไปเปิดตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่หกสิบเปอร์เซ็นต์ของเสื้อผ้าทั้งหมดเป็นสีดำ แต่เห็นจากรสนิยมการตกแต่งห้องนอนของเธอก็รู้แล้วว่าขนมปังชอบสีดำขนาดไหน เพราะเฟอร์นีเจอร์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีดำเกือบทั้งหมด
“มีชุดนี้พอดี” ขนมปังยกยิ้มกว้างก่อนจะหยิบชุดเดรสน่ารักสีชมพูอ่อนออกมาให้ฉัน
“แกใส่ชุดนี้น่าจะน่ารักนะ”
“ไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้มั้ง มีแต่คนกันเองไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ได้หรอก อยู่กับคนกันเองก็ต้องสวยลองเอาไปเปลี่ยนสิ” ว่าจบก็ยัดชุดดังกล่าวใส่มือฉันพร้อมกับดันหลังให้ฉันเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ
เดรสตัวนี้เป็นเดรสสั้นเหนือเข่าแต่ก็ไม่ได้สั้นมากนัก ช่วงต้นคอเปิดกว้างให้เห็นไหปลาร้า แขนตุ๊กตาน่ารักเมื่อใส่แล้วขับผิวสุดๆ
“น่ารักดีเหมือนกันแฮะ” ฉันหมุนซ้ายหมุนขวามองตัวเองในกระจกก่อนจะเดินออกมาให้ขนมปังดู
“ฮึ้ยย น่ารักอ่าว่าแล้วว่าชุดนี้ต้องเหมาะกับแก”
“แต่จะดีเหรอเหมือนชุดนี้แกยังไม่เคยใส่เลยใช่ไหม” เพราะป้ายราคายังติดอยู่เลยแถมตัวเลขของมันก็ค่อนข้าง...
“ฉันไม่ชอบอ่ะมันหวานแหวเกินไป”
“อ้าวไม่ชอบแล้วซื้อมาทำไม”
“ไม่ได้ซื้อเองมีคนซื้อให้”
“งั้นฉันยิ่งไม่ควรใส่เลย เขาอุตส่าห์ซื้อให้แก”
“แกเอาไปใส่เถอะอยู่กับฉันมันก็คงไม่มีทางได้ออกมาเฉิดฉายอยู่ดี ไปหาอะไรกินกันดีว่า” พูดเองเออเองจบก็ดึงมือฉันลากลงมาที่ชั้นล่างซึ่งตอนนี้พวกเพื่อนๆ ของพี่ขนมผิงก็มากันครบแล้ว
เริ่มต้นด้วยแก๊งสี่สาวคณะนิติศาสตร์ซึ่งประกอบไปด้วยพี่ขนมผิง พี่นะโม พี่ลูกตาลและพี่อังเปา ต่อมาก็กลุ่มเพื่อนพี่โยธาซึ่งประกอบไปด้วยพี่ชายฉัน พี่เดย์ (แฟนของพี่ขนมผิง) และพี่เขื่อนซึ่งเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับพี่ๆ สี่สาวด้วย
“น่ารักจังวะ” พี่เขื่อนเอ่ยขึ้นซึ่งไม่นานก็ถูกพี่โยธาโบกหัวเข้าเต็มแรง อ่า..เจ็บแทนเลย
“มองเหี้ยไรนั่นน้องสาวกู”
“กูก็มองน้องมึงไง”
“หันไปเล่นเกมต่อเลยมึงอ่ะ” เอ่ยจบพี่โยธาก็รีบผลักหัวพี่เขื่อนให้หันไปอีกทาง
พวกฉันที่เริ่มหิวแล้วก็เดินมาหยิบของกินที่โต๊ะซึ่งถูกจัดเตรียมไว้หลายเมนูใส่จานเดินเข้ามานั่งรวมกลุ่มกับพวกพี่ๆ
“พ่อแม่ไม่อยู่เหรอปัง” ฉันกระซิบถามหลังจากมานานแล้วแต่ก็ไม่เห็นเงาของผู้ใหญ่ในบ้านเลย
“พ่อแม่ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณยายที่เชียงใหม่อีกนานเลยกว่าจะกลับมา”
“อ๋อ...แล้วพี่พนาล่ะ”
ขนมปังวางช้อนยาวที่กำลังจะตักยำขนมจีนเข้าปาก ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา แต่ก่อนที่เพื่อนจะเอ่ยตอบสายตาของฉันก็หันไปเจอเขาก่อนแล้ว
“นั่นไงมาพอดีเลย”