เคยมองหน้าใครแล้วรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินวนในท้องไหม
เมื่อก่อนฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไอ้อาการแบบนี้มันมีจริงเหรอ ต้องรู้สึกยังไงนะถึงจะมีผีเสื้อบินวนในท้อง จนมาถึงตอนนี้ฉันก็เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกนี้มันเป็นอย่างไร
และรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอหน้าเขา ซึ่งความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้จนผ่านมานานหลายเดือนแล้ว ฉันก็ยังไม่ลืม...
หลายเดือนก่อน
ตอนนั้นฉันเพิ่งเรียนพิเศษเสร็จและกำลังจะกลับหอพักพร้อมกับเพื่อน แต่ระหว่างที่รอเพื่อนเข้าห้องน้ำฉันก็เผลอชนเข้ากับใครบางคนที่หน้าผับดัง ชายคนนั้นรูปร่างสูงโปร่งแข็งแรง ชนแบบไม่ทันได้ตั้งตัวจนฉันกระเด็นล้มลงไปนั่งจุ่มก้นอยู่กับพื้น แต่มันก็ว่าเขาไม่ได้เพราะฉันมัวแต่ก้มเล่นโทรศัพท์จนไม่ได้ดูทางเอง
พลั่ก!!
“อั้ก! ขอโทษค่ะ”
ตอนนั้นฉันตกใจเมื่อลุกขึ้นมาได้ก็รีบก้มหัวขอโทษคนที่เดินชน
“ขอโทษนะคะหนูเอาแต่ก้มดูโทรศัพท์จนมองไม่เห็นคุณลุง”
“ลุง? ตาเธอมีปัญหาหรือไงยัยเด็กบ๊อง”
“ตา...” และตลกมากเมื่อตอนนั้นฉันดันทำแว่นตาหายเลยมองพลาดเห็นคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากลายเป็นคุณลุงแก่ๆแทน
“หาอะไรของเธอ”
“แว่นตาหนู คุณลุงเห็นแว่นตาหนูไหม”
“ก็อยู่ในมือเธอไงยัยเพี้ยน”
หลังจากเขาพูดจบฉันก็เพิ่งถึงบางอ้อ รีบหยิบแว่นตาขึ้นมาสวมและมองหน้าเขาชัดๆ อีกครั้ง ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง ตื่นเต้น มวนท้อง และรับรู้ความรู้สึกของการมีผีเสื้อเข้ามาบินวนในท้องเป็นครั้งแรก
ปัจจุบัน
และใช่แล้วค่ะผู้ชายที่ฉันพูดถึงทั้งหมดก็คือพี่พนา พี่ชายของพี่ขนมผิงและขนมปัง ประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เจ้าของคอนโดและบ้านหลายโครงการในประเทศไทย
เมื่อพี่พนาเดินเข้ามาถึงทุกคนก็ต่างหันไปยกมือไหว้ พี่เขาอายุห่างจากฉันเกือบสิบปี ตอนนี้ฉันอายุสิบเก้าส่วนพี่เขาก็กำลังจะก้าวขึ้นสู่เลขสาม
ทุกคนเอ่ยทักทายซึ่งพี่พนาก็ยิ้มให้แต่ท่าทางกลับดูเหนื่อยล้า แว๊บหนึ่งฉันเห็นสายตาเขาจ้องหน้าฉันค้าง ทำเอาเกือบหยุดหายใจ
“งั้นเดี๋ยวพี่ขึ้นห้องก่อนนะ ตามสบายกันเลย” เอ่ยจบก็เดินถือเสื้อสูทสีดำพาดแขนขึ้นไปบนห้อง สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก
“เฮ้อ”
ฉันหันไปมองหน้าขนมปังที่ลอบถอนหายใจมองตามหลังพี่ชายขึ้นไปบนห้อง
“มีอะไรเหรอปัง”
“เห็นหน้าพี่พนาแล้วสงสารอ่ะดิ ตั้งแต่อกหักก็ทำงานหนักตลอดเลย นี่ก็เป็นครึ่งปีแล้วที่เห็นพี่พนาอยู่ในสภาพนี้”
เรื่องนี้ฉันก็พอรู้อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ละเอียดมากนัก รู้แค่ว่าพี่พนาถูกเพื่อนสนิทและอดีตคนรักหักหลังแต่เรื่องราวเป็นอย่างไรนั้นฉันไม่รู้จริงๆ
งานปาร์ตี้เฉลิมฉลองวันเกิดของพี่ขนมผิงเริ่มขึ้น ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนานครึกครื้น ขนมปังออกไปเต้นม้วนจอยอยู่กับพี่อังเปาหน้าลำโพงตัวใหญ่ ส่วนฉันก็ถูกพี่ชายสั่งห้ามดื่มแอลกอฮอล์
แต่มีเหรอที่จะเชื่อฟัง ฉันแอบดื่มเรียบร้อยแล้วอุตส่าห์ได้ปาร์ตี้ทั้งทีจะไม่ให้ดื่มได้อย่างไร อีกอย่างพี่ชายฉันก็อยู่ที่นี่ทั้งคนจะเมาแบบทิ้งตัวก็ยังได้ แค่ต้องเตรียมใจตื่นขึ้นมาฟังพี่โยธาบ่นแค่นั้นเอง
เวลาผ่านไปก็เริ่มปวดฉี่ฉันจึงลุกออกมาเข้าห้องน้ำ ทำธุระเสร็จก็เดินออกมาสูดอากาศด้านนอกเพราะเสียงเพลงด้านในดังจนฉันเริ่มปวดหัว
สวมรองเท้าแตะออกมาเดินเล่นที่สนามหญ้าโดยไม่คิดว่าจะเจอพี่พนานั่งอยู่ ฉันลังเลอยู่นานว่าจะเดินเข้าไปหาพี่เขาดีไหม แต่พอคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ ร่างกายจึงสั่งให้ก้าวขาเดินเข้าไปหาพี่เขา
“ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ”
พี่พนานั่งดื่มเบียร์กระป๋องอยู่ที่ชิงช้าเก้าอี้ไม้คนเดียว ซึ่งเมื่อเขาได้ยินเสียงฉันก็เงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและพยายามฝืนยิ้มทักทายฉันแต่รอยยิ้มนั้นมันกลับดูปลอมจนฉันไม่อยากมองเลย
“นั่งสิ” เขาเอ่ยเสียงเรียบพร้อมกับขยับให้ฉันนั่งด้วย
ลมอ่อนๆ พัดมาได้จังหวะ ทำให้ฉันได้กลิ่นหอมออกมาจากกายของพี่เขา เป็นกลิ่นหอมจางๆ ที่มาพร้อมกับกลิ่นแอลกอฮอล์ ซึ่งเมื่อมองต่ำลงที่ไปข้างเสาชิงช้าก็จะเห็นเบียร์ราวเจ็ดกระป๋องวางไว้อยู่
“พี่ดื่มเบียร์พวกนั้นคนเดียวเหรอ” ฉันว่าพลางมองต่ำไปยังกระป๋องเบียร์
“แล้วเธอเห็นคนอื่นไหมล่ะ”
“ดื่มไปตั้งเยอะไม่เมาเหรอคะ”
“เมา”
“อ้าว แปลว่าตอนนี้เมาเหรอ” ฉันดูไม่ออกเลยว่าเขาเมา
“ทำไมถึงถามเยอะนักหื้ม”
เขาว่าพลางนั่งไขว่ห้างพาดแขนยาวข้างหนึ่งกับพนักพิงเก้าอี้ ส่วนอีกข้างก็จับกระป๋องเบียร์โคลงเคลงไปมาราวกับกำลังใช้ความคิด จากนั้นก็เบนสายตาหันมาเหลือบมองหน้าฉัน
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
“ชุดสวยดีนะ” ฉันก้มมองเสื้อผ้าของตัวเอง
“ของขนมปังน่ะค่ะ”
“ฉันรู้”
“รู้?”
“อืม ฉันเป็นคนซื้อให้จะไม่รู้ได้ยังไง” เอ่ยจบก็กระดกเบียร์ดื่มต่อ ยัยปัง! ทำไมไม่บอกนะว่าชุดนี้พี่พนาเป็นคนซื้อให้
“งั้นเดี๋ยวน้ำไปถอดชุดคืนปังดีกว่า”
“ถอดทำไมล่ะ”
“ก็มันเป็นของขวัญที่พี่ตั้งใจซื้อให้ขนมปัง น้ำถือวิสาสะหยิบมาใส่แบบนี้ไม่เหมาะสมมั้งคะ”
“ใส่ไปเถอะ ปังไม่ใส่หรอกอีกอย่างมันก็เข้ากับเธอดี”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง ตอนแรกก็ทำท่าจะลุกไปเปลี่ยนชุด แต่เปลี่ยนใจขยับก้นงอนกลับมานั่งที่เดิมแทน
“ทำไมเจอเธอกี่ครั้งก็มักจะเห็นเธอถักผมเปียตลอดเลยล่ะ”
“แปลกเหรอคะ”
“ก็ไม่ได้แปลก เธอยังเด็กทำผมทรงนี้ก็ดูเข้ากับเธอดี”
“หนูไม่เด็กแล้วนะ”
“หึ” พี่เขาหัวเราะในลำคอเหมือนกำลังเย้ยคำพูดฉัน
ทุกครั้งที่เจอกันพี่พนาก็มักจะย้ำคำว่าเด็ก เด็ก และเด็กกับฉันเสมอ ราวกับกำลังเตือนฉันว่าในสายตาเขาเธอมันก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น
“วันนี้ดาวสวยจังนะคะ”
ฉันว่าพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ตอนนี้ถูกประดับไปด้วยดวงดาวหลายล้านดวง
หันไปมองคนข้างๆ ก็เห็นว่าเขาเงยหน้ามองท้องฟ้าตาม ทั้งที่เห็นสิ่งสวยงามแท้ๆ แต่กลับทำหน้านิ่งซังกะตายเสียได้
“ทำไมถึงชอบมองฉันด้วยแววตาแบบนั้นนัก”
เขาเอ่ยขึ้นโดยที่นัยน์ตายังจดจ่ออยู่กับทะเลดาวเบื้องหน้า ไม่คิดเลยว่าจะใช้หางตาสังเกตอาการฉันอยู่ อุตส่าห์คิดว่าแอบมองตอนอีกคนไม่เห็นแล้วเชียว
“เธอชอบฉันเหรอ”
“...”
อยู่ๆ ก็ถามแบบนั้นทำเอาฉันตกใจแทบแย่ ทำหน้าไม่ถูกเลยเรา
เขาละสายตาจากดวงดาวหันมามองหน้าฉันแทน
“ว่าไง ชอบฉันเหรอ”
ถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ตอนแรกก็ไม่ทันได้ตั้งตัวจนเผลอพูดไม่ออก แต่พอดึงสติตัวเองกลับมาได้ฉันก็เม้มปากแน่นรวบรวมความกล้าและตัดสินใจพูดออกไป
“ค่ะ น้ำชอบพี่พนา”
ฮู้ว! ในที่สุดก็พูดออกไปแล้ว ง่ายกว่าที่คิดแฮะแถมยังรู้สึกโล่งอกด้วย
“งั้นเหรอ...” พี่พนายืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงทอดสายตามองไปยังพื้นที่โล่งกว้าง
“ทำไมถึงชอบฉันล่ะ” คำถามนี้ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลย เพราะฉันชอบเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันทั้งที่ยังไม่ได้รู้จักเขาเสียด้วยซ้ำ
จะว่าเป็นเพราะหน้าตาก็อาจจะใช่มีใครไม่ชอบคนหล่อบ้างล่ะ แต่ก็ไม่ทั้งหมด...ฉันเองก็ไม่รู้หมือนกันว่าทำไมถึงชอบ แค่รู้สึกว่าอยากเจอหน้าเขาอีกหลายๆ ครั้ง อยากทำความรู้จักก็แค่นั้น
มันดูใจง่ายเกินไปหรือเปล่านะ
“ตอบไม่ได้เหรอว่าทำไมถึงชอบ เพราะหน้าตา ฐานะ นิสัย?”
ฉันยอมรับว่าหน้าตาเขาหล่อและดึงดูดสายตาฉัน แต่รอบกายฉันก็มีคนหล่อหลายคนเข้ามาวนเวียนซึ่งฉันก็ไม่เคยใจเต้นแรงกับใครเท่ากับครั้งแรกที่ได้เจอพี่พนา ฐานะยิ่งไม่ต้องพูดถึง บ้านพี่เขารวยมากก็จริงแต่ฉันก็ไม่ได้สนใจเม็ดเงินของเขาเลยสักนิด ส่วนเรื่องนิสัยก็ยังไม่ใช่เพราะฉันยังไม่ได้รู้จักเขาดีพอ
รู้แค่ว่าตอนที่ได้อยู่กับเขามันทำให้หัวใจฉันเต้นแรง ตื่นเต้น และเขินโดยไร้เหตุผล ถ้าปฏิกิริยาเหล่านี้ไม่ได้เรียกว่าการชอบใครสักคนฉันก็ไม่รู้แล้วว่ามันคืออะไร
“กล้าให้ฉันจูบไหม”
“ห้ะ!”
ฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจที่จู่ๆ เขาก็ถามคำถามนี้ออกมา เอ่ยถามเสียงเรียบราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป เขาทำหน้านิ่งได้อย่างไรกัน นี่ตัวเองกำลังขอฉันจูบนะไม่ได้ขอลูกอมจากฉัน
“ว่าไง ไหนบอกว่าชอบฉันล่ะ”
“ชอบแต่หนูก็ไม่จำเป็นต้องให้พี่จูบนี่”
“หึ เพราะแบบนี้ไงถึงบอกว่าเธอเด็ก เคยคิดไหมว่าหลังจากชอบแล้วจะยังไงต่อ”
“ก็เป็นแฟน...” ฉันตอบเสียงใสและแผ่วลงในเวลาต่อมา หลังจากตระหนักได้แล้วว่าพี่เขาต้องการสื่อถึงอะไร
“ถูก แล้วรู้ไหมว่าคนเป็นแฟนเขาทำอะไรกัน หรือเธอคิดว่าคนเป็นแฟนแค่ไปดูหนัง กินข้าว เดินห้าง ช็อปปิ้งเหมือนเด็กประถมปิ๊งรัก?”
ฉันเข้าใจความหมายแฝงที่เขาต้องการสื่อ เพียงแค่ยังไม่เคยลองจูบใครเลยสักครั้งจึงเกิดความลังเลขึ้นในใจ แต่เอาวะน้ำแค่จูบเองไม่เป็นอะไรหรอก ดีเสียอีกได้เสียจูบแรกให้กับคนที่ชอบ
“ก็ได้ค่ะ แค่จูบทำไมจะให้ไม่ได้” ยอมรับเลยว่าประโยคนี้พูดออกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบที่ไม่อยากให้อีกคนมองว่าฉันเด็กเท่านั้น
จบประโยคพี่พนาก็กระตุกยิ้มก่อนจะเอื้อมมือหนาเข้ามารั้งท้ายทอยฉันเข้าไปประกบจูบ
ฉันชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ยอมตอบรับจูบของเขา สัมผัสแรกที่รู้สึกคือความนุ่มนิ่มของริมฝีปากที่ประกบกัน มีกลิ่นเบียร์ติดออกมาเล็กน้อย จากเดิมที่แค่ประกบริมฝีปากลงมาก็แปรเปลี่ยนเป็นกลืนกินริมฝีปากของฉันแทน ท้ายทอยถูกรั้งแน่นขึ้นพร้อมกับแรงกดจูบที่บดขยี้ลงมาคล้ายกำลังระบายอารมณ์
พรึบ!
อีกคนที่เหมือนจะสติหลุดก็ดึงสติกลับได้ ก่อนจะรีบผละริมฝีปากออก ส่วนฉันก็หายใจแรงด้วยความตื่นเต้นและหายใจตามไม่ทัน ยอมรับเลยว่าจูบเมื่อกี้มันไม่ได้อ่อนโยนเลยสักนิด
“เอ่อ...คือ..” ฉันไม่รู้เลยว่าควรพูดอะไรต่อดี
“รู้สึกยังไงบ้าง” เขาจะถามตรงไปหรือเปล่า จูบเสร็จต้องเช็กความรู้สึกด้วยเหรอ
“ก็แปลกดีค่ะ ใจเต้นดี” ฉันยกยิ้มอ่อนไม่แสดงความรู้สึกออกไปมากเกินไป ทั้งที่ตอนนี้ในใจมันเต้นโครมครามจนแทบจะทะลุอกฉันออกมาได้อยู่แล้ว
“เหรอ แต่ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย เป็นจูบที่จืดชืดที่สุดก็ว่าได้”
จึ้ก!
คำพูดเขาทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเลย
“ถึงจูบจะแย่ไปหน่อยแต่ก็ขอบใจนะที่คืนนี้อยู่เป็นเพื่อน และขอโทษด้วยที่ฉันตอบรับความรู้สึกเธอไม่ได้ เพราะผู้หญิงที่ฉันชอบต้องทำให้ฉันใจเต้นได้และไม่ใช่เด็กอนุบาลแบบเธอ”
“...”
_________________
ปากแบบนี้มีใครสนใจรับเป็นลูกเขยคนเปร… เอ้ย!! คนโปรดไหมคะ