บทที่ 2
ไม่เอา = ?
‘กูไม่เอา’
เป็นสามคำสั้น ๆ ที่สั่นคลอนความมั่นใจของคนฟังได้อย่างรุนแรง จรัสรักก้มหน้างุด มองมือซึ่งกำลังบีบประสานกันไว้บนหน้าตัก ไม่กล้าสบตากับใครทั้งนั้น นอกจากความมั่นใจจะลดฮวบ เธอยังรู้สึกอับอายอีกต่างหาก
“เฮ้ย อะไรวะ เอาหน่อยดิ ไหน ๆ ก็มาแล้ว” กฤษณ์ไม่พูดเปล่า แต่จับและดันร่างสูงของเพื่อนนั่งลงโซฟาตัวเดียวกับเด็กที่เจ้าตัวเพิ่งปฏิเสธแบบไม่คิดว่าไม่เอา “น้องเขานั่งรอมึงตั้งนาน มึงก็อย่าใจร้ายใจดำนักสิ น้องครับ ชงเหล้าให้เพื่อนพี่หน่อย เอาเหมือนของพี่เลย แต่ขอเข้ม ๆ”
จรัสรักได้ยินเช่นนั้นก็รีบดึงสติ เรียกความมั่นใจกลับมา แล้วชงเหล้าให้แขกหนุ่มซึ่งเป็นลูกค้าคนแรกของตน ด้วยไม่รู้ว่าหากพลาดคนนี้ไป เธอจะได้ลูกค้าที่ดูสะอาดสะอ้านแบบนี้อีกไหม ฉะนั้นเธอจึงต้องตั้งใจบริการให้ดี แม้ในใจจะยังรู้สึกหวั่นกลัวอยู่มาก
ชงเสร็จเธอก็ยื่นไปให้ ทว่าเขาเพียงแค่ปรายตามอง ไม่ยอมรับไป เธอจึงหันไปมองสมาชิกในโต๊ะอีกสองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม กฤษณ์ยิ้มราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติของเพื่อนที่เขาบอกว่า ‘เป็นคนง่าย ๆ’ ส่วนบิ้วตี้จิกตาพยายามส่งสัญญาณให้เธอขยับเข้าไปนั่งชิดและเอาใจแขกมากกว่านี้
จรัสรักเองก็อยากทำแบบนั้น หากสีหน้าและปฏิกิริยาที่ไม่เป็นมิตรของแขกทำให้เธอไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร
แต่เมื่อไม่มีทางเลือก เพื่อความอยู่รอด หญิงสาวตัดสินใจวางแก้วเหล้าลงตรงหน้าเขา ทำใจกล้าขยับเข้าไปนั่งชิด แต่ไม่เบียดกายเสียดสีเหมือนคู่ตรงหน้า รู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดนึงเมื่อเขาไม่ผลักออกหรือขยับหนีอย่างที่นึกกลัว
จรัสรักทำตัวไม่ถูก จึงคว้าแก้วของตัวเองขึ้นมาจิบเรื่อย ๆ เพื่อลดความประหม่าระหว่างนั่งฟังแขกหนุ่มทั้งสองคุยกัน
“ทำไมไม่ไปที่เดิม” จิณณ์เอ่ยถามเพื่อนสนิทด้วยความข้องใจ หัวคิ้วของเขายังคงขมวดไม่คลาย เพราะไม่ค่อยถูกใจสถานที่ที่เพื่อนเลือกวันนี้สักเท่าไร พวกเขามีคลับและเลานจ์ส่วนตัวที่ไปเที่ยวกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าวันนี้เพื่อนของเขามันนึกครึ้มอะไร ถึงได้เลือกร้านที่ให้บรรยากาศไม่ต่างจากอ่างอบนวด ซึ่งไม่ใช่รสนิยมของเขาเลย
“ไปจนเบื่อแล้วไง มีแต่อะไรเดิม ๆ เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” กฤษณ์ตอบด้วยรอยยิ้มที่มองจากมุมไหนก็รู้ว่ากวนตีน หนำซ้ำพอพูดจบมันยังหันไปจุ๊บแก้มสาวข้างกายที่เบียดกายเข้าหาจนแทบจะสิงร่าง เหมือนยิ่งเห็นเขาทำหน้าหงุดหงิด มันก็ยิ่งอารมณ์ดี
“กวนตีน”
“เอาน่า ไหน ๆ ก็มาแล้ว มึงก็ผ่อนคลายหน่อยดิวะ อีกอย่างมึงไม่เห็นเหรอวะว่าที่นี่สาว ๆ น่ารักกว่าตั้งเยอะ แถมเอาใจเก่งอีกต่างหาก” แล้วกฤษณ์หันไปสนใจบิวตี้อีกครั้ง เพื่อจะโชว์ให้เพื่อนดูว่าสาวที่ว่าเอาอกเอาใจเก่งแค่ไหน
ตอนนั้นเองที่จิณณ์เผลอหันมองสาวที่นั่งข้างกาย ซึ่งเป็นจังหวะที่เธอเงยหน้าขึ้นมามองเขาพอดี จึงทำให้เขาได้เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน ชายหนุ่มมองหญิงสาวเจ้าของใบหน้าสวยหวานแต่นัยน์ตาโศกคล้ายสำรวจอยู่หลายอึดใจ ทำเอาหัวใจของคนโดนจ้องเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอกด้วยความรู้สึกหวั่น เพราะเธอไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบนิ่งนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
“เอ่อ...ชื่อลีฟนะคะ” จรัสรักแนะนำตัว พยายามฉีกยิ้มให้กว้างและเป็นธรรมชาติมากที่สุด เพื่อกลบเกลื่อนทุกความว้าวุ่นในใจ
“ลีฟ ?”
“ค่ะ ชื่อไอลีฟ แต่เรียกว่าลีฟเฉย ๆ ก็ได้”
“อืม...” ชายหนุ่มครางรับในลำคอพลางพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหันกลับไปสนใจเพื่อนที่เพิ่งละความสนใจจากสาวกลับมาเช่นกัน ดูจากสีหน้าแล้ว เหมือนว่ากฤษณ์จะถูกใจสาวคนนั้นไม่น้อย
จิณณ์ได้แต่ถอนหายใจปลง ๆ ถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจและคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมด ซึ่งคนข้างกายก็รีบทำหน้าที่ชงเหล้าแก้วใหม่เสิร์ฟให้ทันที
“อยู่กี่วัน ได้เจอพวกนั้นยัง” จิณณ์ถามกฤษณ์ซึ่งย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดอย่างเชียงรายได้ราวห้าถึงหกปี แม้มันจะถึงจะบินมาเที่ยวหรือมาทำงานที่กรุงเทพฯ บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ส่วน ‘พวกนั้น’ ที่กล่าวถึงคือเพื่อนสนิทอย่างปราณกับพีรัช รวมถึงภริตา ซึ่งเป็นเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่ม แต่ด้วยภาระหน้าที่ จึงไม่ค่อยได้พบปะกันสักเท่าไร
“ไม่มีใครว่างเลยสักคน ไอ้ปราณกับยัยควีนไปอังกฤษ ส่วนไอ้พีไปประชุมที่สิงคโปร์ อีกสองวันถึงจะกลับ”
“กูเลยต้องรับเคราะห์สินะ”
“มีแค่มึงคนเดียวที่ว่าง”
“กูไม่ได้ว่าง” จิณณ์ซึ่งตอนนี้เป็นหมอเฉพาะทางอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งย้ำให้เพื่อนได้ยินชัด ๆ เป็นรอบที่สี่หรือรอบที่ห้าแล้วก็ไม่รู้ของวันนี้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ต่างจากเดิม คือมันไม่คิดสนใจ แค่เขาอยู่ในกรุงเทพฯ ก็เท่ากับว่างสำหรับมัน
“ก็ว่างแล้วนี่ไง”
“กูมีราวน์วอร์ดต่อตอนเช้า”
“อีกตั้งหลายชั่วโมง”
แพทย์หนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างหน่าย ๆ คร้านจะโต้เถียงกับคนตรงหน้า เขาไม่น่าเผลอรับโทรศัพท์มันเลย มือหนาคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มอีกครั้ง พลันรู้สึกเหมือนคนข้างกายขยับตัวเข้ามาชิดมากขึ้นอีก