หลังจากวันนั้นเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามอาทิตย์ต่อมาอาการของเมธานินท์แย่ลงเรื่อยๆจนร่างกายของชายแก่ทนไม่ไหว เขาจึงขอให้หมอไม่ต้องรักษาเขาต่อแล้วเพราะเขารู้สึกเจ็บปวดทรมานภายในกายด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้า เขาขอจากไปอย่างสงบและไม่ต้องทรมานไปมากกว่านี้แล้วจะดีกว่า
งานขาวดำไว้อาลัยของเมธานินท์ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่คฤหาสน์สามวันก่อนที่ร่างไร้วิญญาณของเมธานินท์จะถูกเคลื่อนย้ายมาที่วัดเพื่อทำพิธีทางศาสนาต่อ ผู้คนมากมายต่างพากันมาร่วมไว้อาลัยให้กับเมธานินท์ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากๆพอกับตระกูลฟาฟเนอร์ ผู้ใหญ่ในวงการและบุคคลที่ร่ำรวยหลายคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากเมธานินท์จึงมาร่วมไว้อาลัยให้เขา ซึ่งมารีนเองก็รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้างแต่เธอก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
มารีนยุ่งกับจัดงานของคุณปู่จนแทบจะไม่มีเวลาทำอะไร เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่ควรจะเป็นเพราะเธอไปดูแลคุณปู่ทุกวันเธอจึงรับรู้ได้ว่าชายแก่อาการแย่ลงเรื่อยๆมันจึงทำให้เธอทำใจไว้บ้างแล้ว
งานขาวดำดำเนินการต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งร่างไร้วิญญาณของเมธานินท์ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปในที่สุด แขกเหรื่อก็ทยอยกลับกันไปทีละครอบครัว มารีนยืนคอยส่งแขกอยู่หน้าประตูโดยมีวายุคนสนิทของคุณปู่ยืนคอยกางร่มให้เธอตลอดเวลา ถึงแม้ว่าใบหน้าสวยหวานจะดูที่เศร้าหมองแต่เธอก็พยายามยิ้มไหว้ให้กับแขกเหรื่อที่มาทุกคน
“ไหวไหมครับคุณหนู” วายุเอ่ยถามมารีนเมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มมีสีหน้าที่ซีดเซียว
“เอ่ออ ไหวค่ะ” มารีนหันไปตอบกลับคนสนิทของคุณปู่พลางส่งยิ้มอ่อนๆให้เขา จนกระทั่งแขกเหรื่อทยอยกลับกันจนหมด ชายแก่ร่างกำยำดูน่าเกรงขามก็เดินตรงมาหาเธอพร้อมกับบอดี้การ์ดอีกสี่คนที่เดินตามหลังชายแก่มาติดๆ
“สวัสดีค่ะท่านเอลเดด” มารีนยกมือขึ้นมาไหว้เอลแดดอย่างนอบน้อม เธอจดจำเขาได้เป็นอย่างดีเพราะเขาคือคนที่คุณปู่ได้บอกกล่าวกับเธอเอาไว้ก่อนที่ท่านจะเสีย
“สวัสดี เจอกันอีกแล้วนะ” เอลแดดเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ เขานึกสงสารเด็กสาวคนนี้อยู่ไม่น้อยที่ต้องสูญเสียทุกคนที่รักไปจนเธอต้องกลายเป็นเด็กสาวที่อยู่คนเดียวแบบนี้
“วันนั้นคุณปู่คุยอะไรด้วยไหมคะ” มารีนเอ่ยถามในสิ่งที่เธออยากรู้ทันที
“คุยเรื่องของหนูนั่นแหละ” เอลแดดหันหน้ามองซ้ายมองขวาก่อนที่เขาจะตอบกลับหญิงสาว เขาไม่อยากให้มีใครมารับรู้เรื่องที่เขากำลังจะพูดคุยกับมารีน
“คุยเรื่องหนู?” หญิงสาวทำหน้าตาสงสัย
“ปู่ของหนูได้ฝากฝังกับฉันไว้ว่าถ้าหากมันเป็นอะไรไปให้ หนูต้องไปอยู่กับฉันในฐานะคนของตระกูล”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“นี่เป็นสัญญาที่ฉันกับปู่ของเธอทำไว้ด้วยกันวันนั้น” ชายแก่เอ่ยพร้อมกับยื่นใบกระดาษแผ่นหนึ่งให้หญิงสาว มารีนเอื้อมมือไปรับกระดาษแผ่นนั้นมาไล่สายตาอ่านทุกตัวอักษร
“หมายความว่า…” ใบหน้าหวานขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองเอลแดดด้วยใบหน้าที่มีแต่คำถามเต็มไปหมด
“เธอต้องแต่งงาน” เอลแดดพูดขึ้นมา
“กับใครคะ” มารีนมีสีหน้าที่ตื่นตระหนกมากกว่าเดิมเพราะถ้าหากว่าเธอต้องแต่งงานกับชายแก่คราวปู่แบบนี้ เธอคงจะรับไม่ได้อย่างแน่นอน
“ใจเย็นๆ ไม่ใช่กับฉันหรอก..แต่เธอต้องแต่งงานกับหลานชายของฉัน” ชายแก่เหมือนจะอ่านสายตาของหญิงสาวออก
“หลานชาย?” เมรีนรู้สึกใจชื่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเธอได้รับรู้ว่าเธอไม่ต้องไปแต่งงานกับผู้ชายที่มีอายุเท่าปู่ของเธอ
“ใช่..หลานชายของฉัน ชื่อเอริค” ใช่แล้วละ เอลแดดเลือกแล้วว่าต้องเป็นหลายชายคนโตของเขาเท่านั้น เขาใช้เวลาคิดไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
“แล้วเขาจะยอมเหรอคะ หนูกับเขาไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ”
“ฉันมีวิธีจัดการของฉันเอง ส่วนเธอก็เตรียมตัวไว้หน่อยก็ดีเพราะหลานของฉันไม่ใช่คนดีอะไร”
“หนูขอถามได้ไหมคะ” หญิงสาวมีเรื่องที่ค้างคาใจอยู่เรื่องหนึ่งที่เธอต้องการคำตอบมากๆ
“ว่ามาเลย”
“ทำไมคุณปู่ถึงต้องให้หนูไปอยู่ในตระกูลของท่านด้วยล่ะคะ”
“เมธานินท์เคยทำเรื่องที่ผิดกฎหมายมากมายมาก่อนในอดีต” เอลแดดเลือกที่จะตอบตามความจริงเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องปิดบังเธอ
“…” มารีนนิ่งเงียบไปชั่วครู่เพราะที่ผ่านมาเธอรู้แค่ว่าปู่ของเธอมีที่ดินเยอะเยอะมากมาย คุณปู่จึงทำอสังหาริมทรัพย์และทำโครงการบ้านจัดสรรต่างๆเพื่อให้ผู้ร่ำรวยมาลงทุนกับเขาเพียงเท่านั้น แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าความจริงแล้วปู่ของเธอเคยทำอะไรมาก่อน
“แต่พอเขามีครอบครัว เขาก็วางมือจากทุกอย่าง แต่คนบางกลุ่มก็ยังคงแค้นเคืองกับสิ่งที่ปู่ของเธอทำ แต่ก็ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวายกับตระกูลของเธอเพราะถึงแม้ว่าเมธานินท์จะวางมือลงแล้ว แต่ด้วยอิทธิพลที่เขาสั่งสมมาถ้าหากใครกล้ามามีปัญหากับเขา แค่เขากดโทรศัพท์ต่อสายหาคนใหญ่คนโตแค่กริ๊งเดียวคนพวกนั้นก็ได้หายไปจากโลกนี้แน่นนอน”
“ทว่าในตอนนี้หากเธอไม่มีปู่คอยดูแลหรือคุ้มครองแล้วคนพวกนั้นก็ต้องจ้องเล่นงานเธออย่างแน่นอน”
“แล้วที่ดินพวกนั้นเป็นของปู่ใช่ไหมคะ”
“ตามหลักแล้วก็เป็นของปู่เธอหมดนั่นแหละ แต่ก็ได้มาจากคนที่กู้หนี้ยืมสินไปหรือจากคนที่เอาที่ดินมาจำนองไว้”
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ..ขอบคุณนะคะที่บอกความจริงกับหนู” มารีนส่งยิ้มอ่อนหวานไปให้ชายแก่ตรงหน้า อย่างน้อยเธอก็ได้รู้เหตุผลที่ปู่ของเธอทำแบบนี้
“อือ เดี๋ยวฉันจะหาวันว่างนัดพวกเธอให้มาทำความรู้จักแล้วกันนะ”
“ค่ะ”