เมื่อเอลแดดพูดคุยกับมารีนเสร็จสรรพ ชายแก่ก็กลับมายังคฤหาส์ในเวลาต่อมา ภายในคฤหาสน์เงียบสงัดราวกับไม่มีคนอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ ทว่าทุกมุมของบ้านก็มีทั้งเหล่าบอดี้การ์ดและสาวใช้ยืนอยู่เงียบๆตามมุมต่างๆ
“เอริคอยู่ไหน” เสียงทรงพลังของเอลแดดเอ่ยถามสาวใช้ภายในคฤหาสน์ที่ยืนอยู่ตามมุมเพื่อรอรับคำสั่งจากเจ้านาย
“เพิ่งกลับมาค่ะนายท่าน ท่านเอริคอยู่ตรงสระว่ายน้ำค่ะ” สาวใช้ชุดดำหนึ่งคนตอบกลับผู้อาวุโสของบ้านด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ไปตามเอริคมาที่ห้องประชุมหน่อยฟ.ฟ.” เอลแดดออกคำสั่ง สาวใช้จึงก้มหัวให้หนึ่งครั้งก่อนที่เธอจะเดินสาวเท้าก้าวยาวๆตรงไปที่สระว่ายน้ำเพื่อตามท่านเอริคตามคำสั่งของเอลแดด ซึ่งใช้เวลาไม่นานสาวใช้ก็เดินมาถึงสระว่ายน้ำ
เอริค ฟาฟเนอร์ ชายหนุ่มสัญชาติไทย-อิตาลี อายุ 38 ปี ชายผู้มีใบหน้าหล่อคมเข้มดั่งเทพเจ้ากรีกโบราณที่มีนัยน์ตาสีเทาอมน้ำเงินเข้มดุดันน่าเกรงขาม เขามีนิสัยที่โมโหร้าย อารมณ์ร้อนและไม่เกรงกลัวใคร ทายาทตระกูลฟาฟเนอร์ ที่ทำธุรกิจสีเทาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกาสิโน ผับ ลับลอบขนของผิดกฎหมายหรือแม้กระทั่งเปิดงานประมูลใต้ดิน ซึ่งมีน้องชายหนึ่งคนชืี่อว่า แอทเทอร์ ฟาฟเนอร์ อายุ 34 ปีที่ช่วยกันดูแลธุรกิจของตระกูลซึ่งมีปู่ของพวกเขาที่คอยคุ้มบังเหงียนอยู่สูงสุดของตระกูล
ชายหนุ่มร่างสูงกำยำกล้ามเนื้อแน่นไปทั้งตัวยืนสูบบุหรี่อยู่ริมสระว่ายน้ำ เอริคสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มถลกแขนเสื้อขึ้นมากองตรงข้อศอกเผยให้เห็นรอยสักรูปงูใหญ่ตรงแขนซ้ายได้อย่างชัดเจน ท่อนล่างของเขาสวมกางเกงสแล็คเนื้อดีสีดำสนิทกับรองเท้าหนังราคาแพง
“ท่านเอริคคะ..ท่านเอลแดดให้มาตามไปห้องประชุมค่ะ” สาวใช้เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มพลางบอกกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อือ” เอริคยืนเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าส่วนอีกข้างก็คีบบุหรี่ออกจากปาก เขาตอบรับสาวใช้ในลำคอพลางพ่นควันบุรี่ออกจากปากเพื่อบรรเทาความเครียดและความเหนื่อยล้าจากงานที่เขาต้องแบกรับมาทั้งวัน
มือแกร่งบดก้นบุหรี่ลงกับที่เขี่ยบุหรี่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆเขา มือสากล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและเดินตรงเข้าไปในคฤหาสน์ทันที
เอริคก้าวเดินเข้ามาในคฤหาสน์จนถึงห้องประชุมที่พวกเขามักจะนัดมาประชุมกันภายในครอบครัวพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจของตระกูล
เอลแดดนั่งประจำอยู่ตรงหัวโต๊ะโดยมีบิดาและมารดาของเอริคนั่งอยู่ด้านขวามือของชายแก่ เอริคเปิดประตูเข้ามาภายในห้องพร้อมกับก้าวเดินมาย่อตัวนั่งลงด้านซ้ายมือของเอลแดด
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก” เอลแดดเอ่ยขึ้นมาทันทีอย่างไม่รีรอ
“พูดมาได้เลยครับปู่” เอริคตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ นัยน์ตาคมกริบดูดุดันน่าเกรงขามเหมือนกับปู่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักนิด
“เอริค แกต้องแต่งงาน” เอลแดดเอ่ยขึ้นมา ทำให้ทั้งเอริค แอลโรผู้เป็นบิดาและเสาวรสผู้เป็นมารดาของเอริคหันขวับไปมองหน้าผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านอย่างตื่นตกใจ
“แต่งงาน?” เอริคขมวดคิ้วถามอย่างสงสัยแต่เขาก็รู้ดีว่าปู่ของเขามีเหตุผลรองรับกับทุกอย่างที่ทำลงไปเสมอ
“ใช่ แต่งงาน” เอลแดดตอบกลับ
“ทำไมผมต้องแต่ง”
“เพราะนี่คือคำสั่งของฉัน”
“ผมแค่อยากรู้เหตุผล”
“มันเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ” เอลแดดเอ่ยออกมาเพราะหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ ยังไงเอริคก็ต้องยอมทำตามอย่างแน่นอน ทุกวันนี้เอริคถวายตัวให้กับการทำงานแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่แล้ว เขาทุ่มเทอย่างหนักเพื่อธุรกิจของตระกูลจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัว
“เกี่ยวกับธุรกิจยังไง” เอริคเอ่ยถามต่อ
“แกไม่ต้องรู้หรอก เอาเป็นว่าฉันสั่งอะไรก็ทำ” เอลแดดเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับเอริคทั้งหมด ให้เขารู้แค่ในเรื่องที่ควรรู้เท่านั้นก็พอ ส่วนเรื่องบางเรื่องเขาไม่รู้มันก็คงจะดีกว่า
“แล้วคนที่จะมาเป็นเมียผมเนี่ย เธอรู้ไหมว่าผมสันดานเป็นยังไง ผมจะบอกไว้ก่อนนะว่าผมจะไม่เปลี่ยนตัวเองเพื่อใครทั้งนั้น” เอริคบอกกล่าวทุกคนภายในห้องด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ต่อให้เขามีภรรยาแล้วเขาก็คงไม่เลิกนิสัยเดิมๆของตัวเองหรอกนะ ทนได้ก็ทนหรือถ้าเธอทนไม่ได้ก็ต้องทนอยู่กับปีศาจอย่างเขาอยู่ดี
“แกจะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าให้มันเสียหายมาถึงตระกูลก็พอ” ถึงแม้ว่าเอลแดดจะตอบกลับไปเช่นนั้นแต่เขาก็หวังอยู่ลึกๆในใจว่าเอริคจะเมตตาเด็กสาวที่น่าสงสารคนนั้นสักนิด
“ได้ งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน”
“มีอะไรแกก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันจะหาวันนัดดูตัวให้แกกับผู้หญิงคนนั้นเอง”
“เธอชื่ออะไร”
“มัลลิกา สมุทรภาคิน”
“อือออ..นามสกุลใหญ่โตซะด้วย ผมไปละ” เอริคพยักหน้าเบาๆพลางครุ่นคิดถึงชีวิตการแต่งงานที่เขาไม่ได้เต็มใจจะแต่งสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากปู่บอกว่าเป็นธุรกิจเขาก็พร้อมจะทำมันอยู่แล้วละ ชายหนุ่มใช้สองมือล้วงกระเป๋าพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินออกไปจากห้องทันที
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับพ่อ” แอลโร ฟาฟเนอร์ บิดาของเอริคเอ่ยถามพ่อของตัวเองด้วยความสงสัยเมื่อเอริคออกไปจากห้องเรียบร้อยแล้ว
“ก็ตามที่ฉันบอกไปนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น” เอลแดดตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ชายแก่ลุกขึ้นยืนและค่อยๆเดินออกไปจากห้องประชุมอย่างเชื่องช้าเช่นกัน
แอลโรกับเสาวรสหันมองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ก่อนที่เสาวรสจะเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ฉันสงสารผู้หญิงที่จะมาเป็นภรรยาของลูกชายเราจังเลยค่ะ”
“อือ ผมก็เหมือนกัน” แอลโรตอบกลับภรรยาคนสวย หลังจากนี้ไปภายในคฤหาสน์คงจะวุ่นวายมากแน่ๆ
เอริคเดินออกมาจากห้องประชุมแล้วตรงดิ่งไปยังปีกขวาของคฤหาสน์ที่ใหญ่โตหรูหรา ปีกขวาของคฤหาสน์จะเป็นของเขากับน้องชาย ส่วนทางด้านปีกซ้ายจะเป็นของแอลโรกับเสาวรส
ร่างกำยำของเอริคเดินย่างกรายเข้ามาในห้องทำงานของเขาเอง ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่พลางหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่บอดี้การ์ดคนสนิทของเขาเคาะประตูเข้ามาในห้องเพื่อเอาเอกสารบางอย่างให้เจ้านายได้อ่าน
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำให้เอริคค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมาช้าๆ ชายหนุ่มเอ่ยอนุญาตให้เขาเข้ามาในห้องทำงานได้ ประตูห้องทำงานจึงค่อยๆเปิดแง้มออกพร้อมกับร่างกำยำของลูกน้องที่เป็นมือขวาของเขาเดินเข้ามาในห้องและหยุดอยู่ตรงหน้าของเอริคโดยที่ในมือของเขามีแฟ้มเอกสารบางอย่างอยู่
“นายครับ แฟ้มผลประกอบการกาสิโนของเดือนนี้ครับ” ธีโอ ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกาเอ่ยขึ้นมา
“วางไว้บนโต๊ะทำงานกูก่อน”
“ครับนาย” พูดจบ ธีโอก็เอาเอกสารไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของเอริคตามคำสั่ง
“ไอ้ธีโอ มึงไปสืบมาสิว่าผู้หญิงที่ชื่อ มัลลิกา สมุทรภาคิน คือใคร” เอริคออกคำสั่งต่อ
“ได้ครับนาย” มือขวาของเอริคตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมกับก้มหัวให้เจ้านายหนึ่งครั้ง ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าดูเหมือนคนญี่ปุ่นเดินเข้ามาในห้องพอดี
“นายครับ นายณรงค์ขโมยเพชรที่เตรียมจะประมูลอาทิตย์หน้าไปครับแต่คนของเราไหวตัวได้ทันก่อน ตอนนี้เราจับนายณรงค์ไว้ที่โกดังครับ” ริว ชายหนุ่มหน้าญี่ปุ่นเล็กน้อย ลูกน้องที่เรียกได้ว่าเป็นมือซ้ายของเขาเข้ามารายงานสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้รับรู้มา
“ไปเตรียมรถ…กูจะไปสั่งสอนพวกที่เลี้ยงไม่เชื่องสักหน่อย” เสียงทุ้มดูเหี้ยมเกรียมขึ้นมาจากตอนแรกอย่างเห็นได้ชัดพร้อมกับสายตาที่น่ากลัวส่งออกมาจากนัยน์ตาสีเทาอมน้ำเงินเข้มดูดุดันน่าเกรงขามคู่นั้น