หลังจากที่ใส่บาตรเรียบร้อยแล้วรุจรวีก็เดินเกาะแขนพี่ชายเดินเข้ามาในบ้าน มือเล็กยกมือขึ้นปิดปากของตนเองเมื่อกลั้นหาวไม่อยู่ เมื่อคืนนี้กว่าเธอจะกลับถึงบ้านก็ตีสองกว่าๆ แล้วกว่าจะข่มตาหลับลงอีกเวลามันก็เกือบตีสี่ไปแล้ว หลับได้สักชั่วโมงพี่ชายคนดีก็มาปลุกให้ลุกขึ้นมาใส่บาตรครบรอบวันตายของพ่อกับแม่ ทำให้หญิงสาวจำต้องสละเตียงนุ่มและฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
คิดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้แล้วเธอทั้งตกใจกลัว ทั้งโมโหไม่หาย
ไอ้บ้านั่นมันกล้าคิดว่าเธอเป็นพวกขายบริการทางเพศที่หิ้วไปไหนมาไหนได้ใช่ไหมถึงได้มาดูถูกเธอแบบนี้!
แต่ถึงแม้จะรู้สึกโมโหจนคันปากยิบๆ อยากจะเล่าให้พี่ชายแสนดีอย่างรวีวิทย์ฟังมากแค่ไหนทว่ารุจรวีก็ทำไม่ได้ เพราะเท่าทุกวันนี้รวีวิทย์ก็แทบจะไม่ให้เธอขยับตัวทำอะไรอยู่แล้วด้วยความหวงน้องสาวเกินเหตุ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเมื่อคืนนี้เขาถึงยอมให้เธอไปงานวันเกิดของยัยแพมที่ผับนั่นได้ก็ไม่รู้
“เป็นไงบ้างรวี งานวันเกิดเพื่อนเราน่ะ”
“ก็ดีค่ะ แต่รวีว่าคราวหน้าถ้ายัยแพมจะไปจัดที่นั่นอีก รวีจะไม่ไป”
“อ้าว” พี่ชายแสร้งร้องอุทานออกมา มือใหญ่วางแปะลงบนศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยผมนุ่มสลวยยาวถึงกลางหลังของน้องสาวแล้วขยี้ด้วยความเอ็นดู “ไหนว่าดีแล้วทำไมไม่อยากไปอีกละ”
“พี่วิทย์อะ...”
รุจรวีชักสีหน้างอใส่พี่ชาย ทำให้รวีวิทย์อดหัวเราะออกมากับสีหน้าของน้องสาวไม่ได้
“ไป...ไปอาบน้ำได้แล้ว พี่ให้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมง แล้วอย่าไปแอบหลับในห้องน้ำอีกล่ะ เราต้องรีบไปถึงวัดก่อนเก้าโมงเช้านะอย่าลืมละ”
“ค้า...คุณพ่อวิทย์”
หญิงสาวลากเสียงล้อพี่ชาย ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้นเข้าห้องนอนของตนเองไป ทิ้งให้รวีวิทย์ได้แต่ส่ายศีรษะกับท่าทางราวกับเด็กๆ ของน้องสาว
เขากับรุจรวีมีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องเท่านั้น ด้วยอายุที่ห่างกันเกือบสิบปีทำให้รวีวิทย์ทั้งรักเอ็นดูน้องสาวคนนี้มาก ยิ่งเมื่อพ่อกับแม่ของทั้งคู่มาเสียเมื่อหญิงสาวอายุเพียงสิบหกปี ทำให้รวีวิทย์ที่แก่กว่าถึงแปดปีด้วยกันนั้นแทบจะกลายร่างเป็นพ่อของน้องสาวคนเดียวอยู่รอมร่อ
ตอนนี้รุจรวีเพิ่งเรียนจบมาหมาดๆ รอเพียงเวลารับปริญญาเท่านั้น แต่รวีวิทย์ก็ไม่อยากให้น้องออกไปทำงานข้างนอกมากนัก โชคดีที่น้องสาวของเขาสามารถทำงานที่บ้านได้ แม้เขาจะมองว่าอาชีพนักเขียนนิยายของน้องอาจจะไม่มั่นคงนัก แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เจ้าหล่อนตะลอนๆ ไปทำงานตามที่เรียนมาซึ่งเขาไม่ชอบใจเอาเสียเลยแต่ก็ขัดขวางไม่ได้
รวีวิทย์เหลือบตามองดูนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังห้องนั่งเล่นกึ่งห้องรับแขกภายในบ้านขนาดกลางของตนเองแล้วก็ต้องรีบสาวเท้าขึ้นไปข้างบนเมื่อเห็นว่าอาจจะเป็นเขาเสียเองที่จะทำให้ไปวัดสาย
ภาพของหญิงสาวร่างเล็กที่น่าจะสูงไม่เกินหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรที่ก้าวเดินเคียงคู่กับชายหนุ่มร่างสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตรทำให้ศุภางค์หรือแพมอดที่จะยิ้มขันไม่ได้ สองพี่น้องที่ส่วนสูงต่างกันลิบนี้ช่างมีเค้าหน้าที่คล้ายกันเหลือเกิน เธอไม่อยากจะแซวหรอกนะว่า หากว่ามองแต่เพียงเบื้องหลังนั้นราวกับพ่อลูกเดินไปด้วยกันมากกว่าที่จะเป็นพี่น้องกันเสียอีก
“ว่าไงคะคุณพ่อวิทย์กับคุณน้องรวี ถวายสังฆทานเสร็จแล้วใช่ไหมคะ”
ศุภางค์เอ่ยทักทั้งคู่ ริมฝีปากอิ่มสวยคลี่ยิ้มกว้าง
“โหย...ยัยแพม ตอนแรกฉันนึกว่าเธอจะมาไม่ได้แล้วเสียอีก”
รุจรวีพูด เดินผละจากข้างกายรวีวิทย์ที่ทำหน้าบูดเพราะคำทักทายที่ชวนอารมณ์เสียของศุภางค์
“ทำไมจะมาไม่ได้ละ! นี่งานครบรอบวันตายของพ่อกับแม่แกเชียวนะรวี ฉันรู้จักกับพวกท่านตั้งแต่เด็กๆ สนิทจนจะเป็นพ่อแม่ตัวเองอยู่แล้ว จะไม่ยอมมาทำบุญให้พวกท่านได้ไง” ศุภางค์แก้ตัว
“งั้นทำไมเมื่อเช้าไม่มาใส่บาตรด้วยกัน”
“ก็บ้านฉันอยู่ไกล แต่ก็อุทิศให้ด้วยใจนะ”
ศุภางค์โวยกลบเกลื่อนว่าที่จริงเมื่อคืนนี้ตนเองลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหวต่างหาก ลุกขึ้นมาตอนนี้แล้วรีบตามมาที่วัดได้นี่ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว
“จ้า...ไกลมากเลยถัดไปอีกสองซอยนี่นะ” รุจรวีพูดยิ้มๆ อย่างรู้ทัน
“ทั้งคู่เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” รวีวิทย์ที่มองการปะทะคารมด้วยอาการชินเอ่ยขัดขึ้นเพราะห่วงว่าหากปล่อยให้สองเพื่อนซี้นี่ทะเลาะกันไปเรื่อยๆ อาจจะต้องปักหลักปูเสื่อรอแล้วไม่ได้ออกไปไหนกันเลยทีเดียว
“ค้า คุณพ่อวิทย์”
ศุภางค์เอ่ยขึ้นแล้วทำหน้าล้อเลียนใส่รวีวิทย์ ในขณะที่ชายหนุ่มชักสีหน้าใส่ใบหน้าเรียวสวยของเพื่อนน้องสาว คิ้วเข้มขมวดมุ่นดวงตาสีดำสนิทฉายแววตำหนิออกมา
“เลิกเรียกพี่แบบนั้นได้แล้วนะแพม บอกกี่ครั้งก็ไม่เคยจำ ความจำเสื่อมรึไงฮึเราน่ะ”
“เอ๊ะ! พี่วิทย์ทำไมต้องมาว่าแพมความจำเสื่อมด้วย ก็ใครใช้ให้พี่ชอบทำตัวเป็นคนแก่แบบนี้ละ! คุมยัยรวีเข้มเสียยิ่งกว่าพ่อหวงลูกสาวซะอีก”
ดูเหมือนว่าคู่มวยจะเปลี่ยนทิศทางเสียแล้ว รุจรวีได้แต่กลอกตาไปมาด้วยอาการปลง พี่วิทย์ก็หาว่าแต่เธอกับยัยแพมทะเลาะกัน ตัวพี่ชายเธอเองก็น้อยหน้าเสียเมื่อไร อยู่ใกล้ศุภางค์สงบๆ ได้ไม่เกินห้านาทีหรอกก็หันมาทะเลาะกันอีกแล้ว คู่นี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ถูกกันได้ขนาดนี้ รุจรวีได้แต่คิดอย่างเหนื่อยใจแล้วยกมือขึ้นดันอกพี่ชายให้ถอยห่างออกจากศุภางค์
“ทั้งคู่หยุดทะเลาะกันได้แล้ว นี่ทะเลาะกันมาเป็นสิบปีแล้วไม่เบื่อรึไง”
“ก็เพื่อนรวีมาหาเรื่องพี่ก่อน!”
“ก็พี่ชายแกมาหาเรื่องฉันก่อน!”
ทั้งคู่เอ่ยขึ้นพร้อมกัน และเมื่อเห็นว่าต่างฝ่ายต่างก็พูดคล้ายๆ กัน ศุภางค์จ้องมองพี่ชายของเพื่อนด้วยสายตาประมาณว่ากล่าวหาว่าเขาพูดตามเธอทำไม ซึ่งรวีวิทย์ก็มีสีหน้าเดียวกัน ก่อนทั้งคู่จะสะบัดไปคนละทางพร้อมๆ กัน
รุจรวีมองกริยาของเพื่อนกับพี่ชายด้วยอาการไม่รู้ว่าจะหัวเราะดีหรือร้องไห้ดี สงสัยคนคู่นี้เหมือนกันมากเกินไปเลยอยู่ด้วยกันไม่ค่อยได้มั้ง หญิงสาวคิดกับตนเองแล้วเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปคล้องแขนทั้งคู่เอาไว้ โดยที่ศุภางค์อยู่ทางขวามือของเธอส่วนรวีวิทย์อยู่ทางซ้ายมือ
“ไป...ไปกันได้แล้ว ป่านนี้พ่อกับแม่คงรอแล้วมั้ง สงสัยคงกำลังคิดว่าทำไมปีนี้ลูกๆ ถึงไปหาช้านัก”