บทที่ 3

1224 Words
บทที่ 3 หลายสัปดาห์ต่อมา... หลังจากที่หลายคืนก่อนที่ฉันเอาแต่หลอนคำพูดของพี่เธียร วันถัดมาจนถึงวันนี้ฉันก็พยายามหลบหน้าพี่เธียรเหมือนเดิม เพราะไม่อยากเจอหน้าเขาแล้วพานทำให้หัวใจของฉันทำงานหนักอย่างคืนนั้นอีกครั้ง... คือฉันก็ไม่ทราบหรอก ว่าพี่เธียรกำลังคิดอะไรหรือกำลังจะทำอะไรอยู่ ถึงได้มาบอกว่าให้ฉันเตรียมตัวไว้ แต่ถ้ามันเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นละก็...ฉันบอกเลยว่าฉันไม่ได้ซีเรียสไม่ต้องมารับผิดชอบเลยด้วยซ้ำ ปล่อยมันไว้แค่คืนนั้นแล้วดำเนินชีวิตต่อไปเถอะ "พวกมึง…จะว่าไปเราก็ไม่ได้ไปกินข้าวที่โรงอาหารวิศวะนานแล้วนะ วันนี้เราไปกินข้าวที่นั่นกันปะ กูอยากส่องพี่โยธาด้วยไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวันละ" หลังจากที่พวกเราสามคนเดินออกมาจากลิฟต์ในตึกของคณะแล้วยัยพริกไทยมันก็พูดออกมาหน้ายิ้มมีความสุขเป็นคนแรกที่ได้เพ้อฝันถึงคนที่มันชอบอย่างพี่โยธา แต่พอมันหันมาเห็นหน้าฉันแล้วมันก็ถอนหายใจทำหน้าเซ็งออกมาทันที "มึงไม่อยากไปสินะ งั้นก็ไปร้านคาเฟ่แถวหน้ามอเถอะ" ว่าจบมันก็เดินนำไปที่ลานจอดรถ น้ำพิ้งค์ที่เดินคู่กับฉันเลยหันมายิ้มให้ฉันก่อนจะกอดคอเดินไปด้วยกัน ซึ่งฉันที่ยังไม่ได้ว่าอะไร เลยต้องเออออไปตามสถานการณ์ แต่เอาจริงๆ มันก็ดีเหมือนกันที่มีเพื่อนเข้าใจแบบนี้ ไม่ต้องพูดอะไรแค่มองหน้ากันก็พร้อมเข้าใจกันทันที @ร้านคาเฟ่หน้ามอ หลังจากที่พวกฉันสามคนมาถึงร้านแล้วก็จัดการสั่งเครื่องดื่มและอาหารที่จะกินทันที ที่นี่เป็นร้านคาเฟ่แถวมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนอยู่ เป็นร้านคาเฟ่ที่มีเมนูอาหารร่วมด้วย บรรยากาศในร้านก็ชิวมากมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนเลือกมาที่นี่กันเยอะเลยละ และหนึ่งในนั้นก็มีนักศึกษาที่ใส่เสื้อช็อปสีแดงจากคณะวิศวะด้วย แล้วมันก็เป็นคณะเดียวที่เวลาฉันเห็นแล้วรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องยังไงไม่รู้ "บางครั้งมึงก็แปลก กูถามจริงเถอะนี่ถึงขั้นเห็นช็อปสีแดงไม่ได้แล้วว่างั้นเถอะมึงถึงต้องก้มหน้าก้มตาเหมือนหนีเจ้าหนี้แบบนั้นเนี่ยสวย" ยัยพริกไทยที่เห็นว่าฉันกำลังค่อยๆ ก้มหน้าหันไปทางอื่นเมื่อเห็นหนุ่ม ๆ จากคณะวิศวะเพิ่งเดินเข้ามาในร้านมันก็ว่าฉันทันที ยัยน้ำพิ้งค์ที่นั่งข้างๆ ฉันเลยว่าขึ้นบ้าง "มึงไม่ต้องกลัวว่าจะเจอพี่เธียรที่นี่หรอกสวย เพราะเมื่อกี้กูไลน์ไปถามพี่ทามแล้วว่ากินข้าวที่ไหน ซึ่งพี่มันตอบกูว่ากินที่โรงอาหาร" พอได้ยินว่าโรงอาหารจากปากน้ำพิ้งค์ฉันก็ถอนหายใจโล่งอกทันทันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตั้งชันเหมือนเดิม แต่... กริ๊ง~ จังหวะนรกมันก็เกิดขึ้นกับฉันเสมอ เมื่อจังหวะที่ฉันกลับมานั่งท่าเดิมมันดันพอดีกับที่แก๊งเพื่อนพี่เธียรผลักประตูเข้ามาพอดีเป๊ะ และจังหวะนั้นฉันกับพี่เธียรก็สบตาพอดีกันด้วย ฉันเลยรีบหันข้างยกมือขึ้นมาบังหน้าทันที “ไหนแกบอกว่าพวกพี่เธียรกินข้าวที่โรงอาหารไงน้ำพิ้งค์ แล้วไหงมาโผล่ที่นี่ได้อะ” “งื้อ~ มึง…กูขอโทษกูไม่ได้เข้าไปอ่านไลน์พี่ทามที่ส่งมาเมื่อกี้อ่า” ยัยน้ำพิ้งค์ว่าเสียงอ่อยอย่างรู้สึกผิดพร้อมกับยกโทรศัพท์มือถือในมือให้ฉันดู ซึ่งมันเป็นไลน์ของพี่ทามที่ส่งมาบอกมันว่าจะออกมานั่งดื่มกาแฟที่ร้านกาแฟแถวหน้ามอเมื่อห้านาทีที่แล้ว ฉันที่ได้เห็นข้อความพวกนั้นเลยได้แต่หลับตาลงพร้อมกับเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างนึกโมโหที่มันพลาดจนได้ “พี่ส่งไลน์ทำไมไม่อ่าน” เสียงพี่ทามที่เดินมาถึงโต๊ะที่พวกฉันนั่งเอ่ยถามน้ำพิ้งค์เสียงทุ้ม ฉันที่นั่งอยู่ข้างๆ น้ำพิ้งค์เลยแอบเหลือบมองหน้าน้ำพิ้งค์แวบหนึ่งก่อนจะเหลือบมองหน้าพี่ทามที่ยืนตรงหัวโต๊ะใกล้ฉันในเวลาต่อมา แต่จังหวะที่เรียกสายตากลับมาที่เดิมสายตาของฉันก็ดันปะทะเข้ากับสายตานิ่งๆ ของพี่เธียรพอดี ซึ่งคนที่ยืนทำหน้านิ่งก็จ้องตาฉันไม่วางตาเลยละ จ้องจนฉันเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก และใช่…ฉันทนนั่งตรงนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว “พิ้งค์ กูขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ไม่ดีกว่ากูขอตัวกลับเลยละกัน” ว่าจบฉันก็รีบเก็บสัมภาระของตัวเองทันทีเตรียมตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่ง แต่… หมับ! “มึงจะกลับยังไง มึงไม่ได้เอารถมา” “เดี๋ยวกูไปส่ง” ยัยพริกไทยแทรกขึ้น ฉันเลยหันไปตอบมัน “ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูขึ้นแท็กซี่กลับเองดีกว่า ไปก่อนนะ” ฉันบอกยัยพริกไทยเสร็จก็หันมาส่งสายตาบอกน้ำพิ้งค์ว่าฉันกลับเองได้จริงๆ ก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วก้มโค้งให้พวกพี่ๆ แก๊งพี่ทามเล็กน้อยจากนั้นก็เดินผ่านพวกพี่เขาออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว โดยที่ฉันไม่ได้หันไปมองหน้าพี่เธียรแม้แต่น้อย หมับ! “เดี๋ยวฉันไปส่ง” แต่จังหวะที่ฉันกำลังเร่งฝีเท้าอย่างรีบๆ อยู่นั้น จู่ ๆ แขนของฉันก็ถูกมือหนาจากคนด้านหลังคว้าเอาไว้พร้อมกับลากฉันไปที่รถปอเช่คันสีขาวล้อแม็กสีดำของเขาโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้ปฏิเสธ และใช่ค่ะ คนที่ลากฉันก็คือพี่เธียรและตอนนี้พี่เธียรก็ลากฉันมาถึงรถแล้วด้วย พี่เขาก็ไม่พูดมากเปิดประตูรถเสร็จก็จัดการดันหลังฉันเข้าไปนั่งในรถทันทีก่อนจะปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปขึ้นฝั่งตัวเองในเวลาต่อมา ฟุบ! “โทษที…ฉันลืมคาดเข็มขัดให้เธอ” พระเจ้าต้องการกลั่นแกล้งฉันใช่ไหม? ใช่ค่ะ หลังจากที่พี่เธียรเข้ามานั่งในรถได้ไม่นาน เขาก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันจนองศาของปลายจมูกเราสองคนกำลังจะแตะกันอยู่รอมร่อทำเอาฉันที่นั่งเงียบตัวแข็งทื่อเลยทีเดียว แต่พอพี่เธียรขยับไปนั่งที่ตัวเองแล้วและเริ่มขับรถออกจากร้าน ฉันก็ค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกแต่ในหัวกลับตั้งคำถามไม่หยุดจนอยากเอาค้อนมาทุบให้รู้แล้วรู้รอด เฮ้อ~ ชีวิตของฉันคงไม่สามารถกลับไปสงบสุขได้เหมือนเดิมอีกแล้วใช่ไหม? ฉันต้องรับมือกับบุคคลข้างๆ อย่างจริงจังแล้วใช่ไหม? ฉันไม่สามารถหนีหน้าเขาได้อีกแล้วใช่ไหม?
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD