“ปล่อยข้านะ ข้าไม่นอนร่วมห้องกับท่าน”
เหอลี่หมิงพยายามแกะมือที่แข็งราวคีมเหล็กออกจากข้อมือของตน แต่นางมิอาจทำได้อย่างที่ใจปรารถนา เพราะเมื่อนางทำแบบนั้นเขาก็ยิ่งเพิ่มแรงกระทำจนข้อมือของนางปวดร้าวคล้ายกระดูกกำลังจะแหลกละเอียด
“คนใจร้าย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ หากท่านมิปล่อยข้า ก็อย่ากล่าวหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
หวงเสี่ยวฉีรั้งร่างเล็กของนางจนกระทั่งพากันมาหยุดอยู่ที่ปลายเตียงนอน มือหนายังคงกำรอบข้อมือบางเอาไว้ แต่ทว่าผ่อนแรงลงไปหลายส่วน ริมฝีปากบางคล้ายริมฝีปากของอิสตรีโค้งขึ้นกับคำข่มขู่ของนาง อย่างนางน่ะหรือจะมีปัญญาทำอะไรเขาได้
“อย่างเจ้า จะทำอะไรข้าได้”
เสียงที่เอ่ยออกมานั้นติดจะเยาะ แววตาคู่คมมองนางอย่างปรามาส เหอลี่หมิงถลึงตาโตเท่าไข่ห่านโต้ตอบกลับ ริมฝีปากของนางเม้มเหยียดจนเป็นเส้นตรง นางเริ่มหายใจหอบเพราะกำลังข่มกลั้นโทสะ
“ข้าก็จะให้ท่านได้ลิ้มลองรสหมัดของข้า”
เหอลี่หมิงเอ่ยเสียงแข็ง นางกำมือข้างที่เหลือเข้าหากันก่อนจะเงื้อขึ้นหมายใจจะทำร้ายบุรุษตรงหน้า แต่ทว่าเขากลับรับหมัดของนางได้โดยใช้เพียงฝ่ามือเดียว ก่อนที่เสียงทุ้มจะดังขึ้นในลำคอ
“ฮึ ข้ามิเคยรู้มาก่อนว่าเจ้ารู้วิชาหมัดเสียด้วย เช่นนั้นแล้ว ช่วยเป็นอาจารย์สอนวิชาหมัดของเจ้าให้ข้าได้หรือไม่”
“นี่ท่าน!”
เพราะเสียงเยาะเย้ยที่ดังเข้ามาในโสตประสาท ทำให้อารมณ์กรุ่นโกรธปะทุขึ้นในอกของนาง เหอลี่หมิงพยายามฮึดสู้ นางพยายามดิ้นรนเพื่อให้ร่างกายของตนเป็นอิสระ แต่คนที่มีพละกำลังเหนือกว่ารวบแขนทั้งสองข้างของนางไว้เพียงใช้มือข้างหนึ่ง จากนั้นจับร่างของนางพลิกเข้าหาเรือนกายกำยำ จนแผ่นหลังของนางแนบชิดกับแผ่นอกของเขา ก่อนที่ท่อนแขนแข็งแรงจะโอบกอดร่างของนางเอาไว้
“ทำอะไรของท่าน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ”
“อะไรกันหมิงเอ๋อร์ เจ้ากับข้าหาใช่คนอื่นคนไกล ไยเจ้าจึงมีท่าทีรังเกียจข้าเช่นนั้นเล่า เจ้าจำไม่ได้แล้วหรือ สำหรับเจ้ากับข้า มากกว่ากอด เราก็เคยทำร่วมกันมาแล้ว”
หวงเสี่ยวฉีกอดรัดเหอลี่หมิงเอาไว้ในอ้อมแขน ซ้ำยังแสร้งเรียกนางอย่างสนิทสนม ตอนนี้ใบหน้างามสง่าดุจเทพเซียนก็เลื่อนมาใกล้ใบหน้าข้างหนึ่งของนาง จนเหอลี่หมิงรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่กระทบลงบนผิวแก้ม ใบหน้างดงามร้อนจัด แม้ว่าจะไม่เห็นใบหน้าของตน แต่นางเดาว่ามันคงเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นไปแล้วอย่างแน่นอน
“ข้ามิเคยทำเรื่องใดๆ ร่วมกันกับท่านทั้งสิ้น ปล่อยข้านะ คนบ้า!”
“นี่เจ้ากล่าวหาว่าข้าเป็นคนสติฟั่นเฟือนไปแล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าช่างปากกล้ายิ่งนัก เช่นนั้น ข้าควรลงโทษเจ้าดีหรือไม่”
เสียงทุ้มเอ่ยอย่างหยอกเย้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มผุดพรายอยู่บนใบหน้าของเจ้าของคำพูด หวงเสี่ยวฉีจงใจเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกับผิวแก้มหอมกรุ่น ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเอ่ยแทบไม่เป็นภาษา
“ทะ ท่าน!”
“เรียกข้าเสียงสั่นเช่นนั้น เจ้าต้องการสิ่งใดจงบอกข้า แม้แต่ตัวข้า ตอนนี้ข้าก็ให้เจ้าได้”
แม้จะรู้ว่าเขาจงใจกลั่นแกล้งนาง แต่นางมิอาจปฏิเสธได้ว่าใจดวงน้อยของนางกำลังแกว่งไกว มนุษย์โบราณผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก เล่ห์เหลี่ยมช่างแพรวพราว หากนางต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ต่ออีกสักหน่อย คงได้ตกหลุมพรางของเขาอย่างแน่นอน
“แม้แต่ตัวของท่านก็จะมอบให้ข้าได้ใช่หรือไม่”
เสียงที่เคยเอ่ยอย่างแข็งกระด้างแปรเปลี่ยนเป็นหวานหยดจับขั้วหัวใจ ก่อให้เกิดความเคลือบแคลงอยู่หลายส่วน แต่ถึงกระนั้นหวงเสี่ยวฉีก็ยังตอบคำถามของนาง
“ใช่”
“ก็ดี ถ้าเช่นนั้น ความเจ็บปวดของท่าน มอบมันให้ข้าก็แล้วกัน นี่แน่ะ”
“โอ๊ย!”
เหอลี่หมิงว่าพลางกระทืบเท้าลงบนเท้าของหวงเสี่ยวฉีอย่างเต็มรัก เพราะไม่ทันได้ระวังตัวและแรงกระทำที่ไม่เบานัก เรียกว่าหนักเอาการก็ยังได้ ร่างเล็กจึงเป็นอิสระจากวงแขนแข็งแรง เหอลี่หมิงรีบเดินกึ่งวิ่งจนไปหยุดอยู่หน้าประตูห้อง แล้วหันมาพูดเชิงเยาะหวงเสี่ยวฉีที่กำลังยกเท้าข้างดังกล่าวขึ้นมากอบกุม
“ขอบคุณท่านมากที่เมตตามอบความเจ็บปวดของท่านให้แก่ข้า”
เหอลี่หมิงยิ้มเยาะก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินกึ่งวิ่งจากไป ปล่อยให้คนที่เพิ่งคลายความเจ็บมองตามแผ่นหลังของนางไปจนลับสายตา สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
ตอนนี้เขาค่อนข้างมั่นใจว่านางไม่เหลือความทรงจำเดิมอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่หากนี่เป็นเพียงการเสแสร้ง เขายอมรับเลยว่าฝีมือการตบตาของนางไม่ธรรมดา แต่ทว่าเขายังมีข้อพิสูจน์อีกข้อหนึ่งที่จะมั่นใจได้ว่านางมิได้สร้างเรื่องหลอกลวง กลิ่นกายหอมละมุนคล้ายดอกไม้แรกแย้มของนางยังติดอยู่ที่ปลายจมูก น่าแปลก ก่อนหน้านี้เขามิเคยได้กลิ่นเช่นนี้จากนางมาก่อน มีแต่กลิ่นหอมที่ปรุงแต่งเสียมากกว่า ท่าทางขัดขืนดิ้นรนตอนที่ตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา กระตุ้นให้เขาอยากเอาชนะและอยากครอบครองนางอย่างที่มิเคยมาก่อน
เห็นทีเขาคงต้องใช้ข้อพิสูจน์ข้อที่ว่าเสียแล้วกระมัง
*จบตอนพอดีเลยมาน้อยค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอัปเพิ่มให้ (^_^)