“เทียน...อย่าบอกนะไอ้โรคจิตที่แกว่า คือพี่ตฤณ” มัทนาถามอย่างร้อนใจ
“ใช่...แล้ว...พี่ตฤณ...คือ?” เทียนไขมองหน้าไอ้หื่นสลับกับเพื่อนสาวอย่างงงงวย
“นี่พี่ตฤณ หรือพ่อเลี้ยงตฤณแห่งไร่สายหมอก” มัทนารีบแนะนำตัวให้เพื่อนรู้จักทันที ยิ่งเห็นสายตาของญาติผู้พี่ คิดว่าคงมี Something บางอย่างกับเทียนไข
“ชิ...น่าจะหมอกหงอย!” เทียนไขทำปากมุบมิบ แต่เหมือนไอ้หน้าหื่นน่าจะหูผี
“ลองดูไหมครับ...ว่าหงอกหรือเปล่า” เขาตอบก่อนจิบเหล้าในแก้วด้วยรอยยิ้ม ยักคิ้วข้างเดียวอย่างกวนบาทา
“อุ๊ป!!!” สองสาวมัทนาและบุษบาส่งเสียงพร้อมกัน ที่ฝีปากทั้งคู่นั้นแซ่บไม่ไหว
“พี่ตฤณ...ไปรังแกอะไรเพื่อนมัทหรือเปล่าคะ” มัทนาสงสัยในความสัมพันธ์ของสองคนนี้ ทั้งหรี่ตามองทั้งคู่อย่างจับผิด
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ แต่ยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากเบา ๆ มองสบตาอย่างมีความหมายไปทางเทียนไขที่เริ่มร้อนตัว
“ปะ...เปล่า...คะ...แค่แย่งที่จอดรถ” เทียนไขรีบละล่ำละลักตอบไปก่อนที่ไอ้พ่อเลี้ยงหน้าหม้อนี่จะบอกเพื่อน
“ว้าว...พรหมลิขิตหรือเปล่าคะเนี่ย...ถึงได้มาเจอกันที่นี่อีก” บุษบาบาริสต้าเริ่มทำงาน ชงเข้ม ๆ ให้เพื่อนเผื่อเพื่อนจะขายออก
“ใครว่าผีผลักสิไม่ว่า” เทียนไขเถียงขาดใจ หากเป็นพรหมลิขิตน่าจะผิดคู่ เธอรักผู้ชายแบบนี้ไม่ได้หรอก เขามันไม่ใช่พระเอกแต่เป็นตัวร้ายต่างหาก
“หูยยย” มัทนาเห็นเพื่อนกระเง้ากระหงอด ยิ่งอยากให้ทั้งคู่ลงเอย เพราะพี่ตฤณนั้นเพิ่งอกหักจากพี่หนึ่งดาว หากได้เทียนดามใจคงจะดีไม่น้อย
“ผีจับหัวมากกว่า” ชายหนุ่มตอบกลับ พร้อมเรียกร้อยยิ้มให้กับอีกสองสาว คำกับผวนแสนทะลึ่งที่พวกเธอก็พูดคุยเล่นกันประจำ
นี่สินะที่เรียกว่าเนื้อคู่
“ทะลึ่ง!” เทียนไขด่าไปหนึ่งคำ
“ผีลูบหัวหรือเปล่านะ” บุษบายังชงเข้มเช่นเดิม
“ไม่ต้องชง...พอแล้ว” บรรยากาศที่เริ่มสนุกของทุกคน แต่กลับกร่อยของเทียนไข จนเธออยากกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้ หากไม่ใช่ว่าตนเองดันเปิดเหล้าแล้วจะเลี้ยงทุกคน คงกลับไปตั้งแต่ไอ้บ้านั่นมาร่วมโต๊ะด้วยกันแล้ว
“ไม่ยักรู้ว่าเพื่อนเราดื่มเก่ง” ตฤณกระซิบถามมัทนา
“ปกติไม่เก่งค่ะ ไม่รู้วันนี้ไปโดนตัวไหนมา” มัทนากระซิบกลับ
‘ดื่มย้อมใจสินะ’ เขาคิดตามท่าทางของเธอ
ตฤณไม่รู้ทำไมถึงได้สนใจผู้หญิงคนนี้นัก กว่าที่ทั้งหมดจะแยกย้ายก็เที่ยงคืนกว่า
ตฤณขับรถตามเทียนไขไปตลอดทาง ทั้งที่ไม่ได้เป็นทางเดียวกัน เขาเห็นเธอดื่มเหล้าหนักก็กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ แม้ว่าจะอาสาไปส่งแล้วก็ไม่ยอม
“ยายเด็กดื้อ!” เขาสบถขณะขับรถตามไปจนถึงบ้านหลังหนึ่งที่ภายในบ้านเงียบสงัดจนเขาต้องลงมาดูว่าใช่บ้านเธอหรือเปล่า
แต่เมื่อเห็นแม่สาวที่ร่ำสุราราวกับน้ำเปล่าเดินโซเซลงมาเปิดประตู ก็รู้ทันทีว่าเธอพักที่นี่
“เทียนไข ปานดาวงั้นเหรอ” เขาเลื่อนดูโทรศัพท์ ที่ยายมัทส่งข้อมูลเพื่อนสาวมาละเอียดยิบจนเรียกได้ว่า เหมือนอยู่บ้านเดียวกัน
แถมยังมีเรื่องดรามาอีก ทำให้เขาต้องมาส่งเพื่อนสาวของยายน้องตัวแสบ ที่แอบแม่เที่ยว ทั้งยังกำชับเขาว่าอย่าบอกแม่ว่าแต่งตัวแบบนี้มาเที่ยว
“อยู่คนเดียว?” เขาสะดุดคำว่าอยู่คนเดียว ไม่คิดว่ายายนี่จะชีวิตรันทดขนาดนี้
เมื่อเห็นเข้าไปในบ้านอย่างปลอดภัย เขาก็กลับขึ้นรถขับกลับคอนโดทันที
รอยยิ้มของชายหนุ่มยังเกลื่อนใบหน้ายามได้คิดถึงช่วงเวลาที่ได้จูบเธอ แม้ขณะนอนหลับเขาก็ยังไม่ลืม
ไม่ใช่ว่าไม่เคยจูบใคร แต่ไม่ใช่ใครที่จูบแล้วรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อน
วันถัดมาเทียนไขตื่นมาพร้อมกับอาการแฮงค์อย่างเต็มที่ เธอต้องกินยาบวกกับนอนพักอีกเกือบทั้งวัน และเตรียมตัวเดินทางกลับไปหอพักเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสัตว์ที่หัวหิน
รถที่ขาล่องใต้นั้นมีไม่มาก ทำให้เธอถึงที่หมายเร็วกว่าที่คิด หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงไปเดินเล่นที่ริมหาดเหมือนปกติ
การใช้ชีวิตคนเดียวของเทียนไขดำเนินไปตั้งแต่ตัดขาดกับพ่อ และเลือกที่จะยืนหยัดด้วยลำแข้ง จนตอนนี้ก็กลับไปเจอหน้าเขาอีกครั้ง แต่เธอก็ยังไม่คิดให้อภัย ขณะที่ปล่อยใจให้คิดเรื่องต่าง ๆ ไปนั้นเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ทำลายความเงียบงั้นลง
“เทียน...พ่อนะ”
เสียงที่ไม่อยากได้ยินดังออกมาจากโทรศัพท์ จนเธอแทบกดวาง
“อย่าเพิ่งวางนะ...พ่ออยากให้เทียนฟังพ่อก่อน”
ชุติพลรีบดักคอของลูกสาวไว้ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ตัวเองอยากได้จากลูก
“พ่ออยากให้เทียนมีงานที่มั่นคง และมีฐานะที่ดี เป็นแค่สัตวแพทย์เงินคงไม่พอกินหรอก หากเทียนแต่งงานกับคนที่พ่อเลือกให้”
“ไม่ต้องมายุ่ง” เธอตอบกลับทั้งที่ยังไม่ได้ฟังให้จบด้วยซ้ำ
“เทียนฟังให้จบก่อน ผู้ชายคนนี้จบนอก หน้าที่การงานก็ดี ลูกอาจจะสบายไปทั้งชาติเลยก็ได้นะ”
“ห่วงตัวเองเถอะค่ะ...อีกไม่นานเทียนก็จะเปิดคลินิกของตัวเองแล้ว” เธอพูดแล้วก็วางสายไปทันที โดยไม่ได้มีความคิดอยากเปิดคลินิกเองเลยสักนิด แต่เขาหยามเธอ คิดว่าเธอไม่มีวันยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองได้ จึงกล้าพูดในสิ่งที่เกินฝันของตัวเองออกไป
“บ้าเอ้ย...พูดไปได้ยังไง จะเอาเงินที่ไหนไปทำวะ” พูดแล้วก็อยากตบปากตัวเอง เธอเป็นพวกแพ้ไม่ได้ โดยเฉพาะพ่อกับเมียใหม่ของพ่อนั่น