เช้าวันที่อากาศดี ฉันยังคงทำหน้าที่เดิม คือการหอบปิ่นโตใส่อาหารมาที่บ้านของตาพวง แต่วันนี้พิเศษหน่อย เพราะแวะร้านค้าซื้อขนมมาฝากพี่พญาด้วย คิดว่าเขาอยู่แต่บ้านคงเบื่อ อย่างตาพวงก็คงไม่ได้ซื้อขนมมาให้เขากินเล่นแก้เซ็งตอนที่อยู่เฝ้าบ้านเพียงลำพัง
“ชะเง้อคอหาใครอยู่เอ่ย รอนังมะนาวอยู่หรือเปล่า?”
ฉันยิ้มแป้นทักทาย ในขณะที่คนร่างกำยำกำลังออกกำลังกายที่แขนโดยการฝึกยกของหนัก
“โห ผ่านไปไม่กี่วัน แผลที่หน้าจะหายแล้วนะเนี่ย”
ฉันทักท้วงอย่างสนิทสนม แต่คงสนิทอยู่ฝ่ายเดียว เพราะทันทีที่ฉันยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เขาก็จ้องหน้าฉันนิ่งทันที
“กับคนอื่นพี่ทำหน้าแบบนี้ไหม”
ฉันถามออกไปตรง ๆ เพราะแปลกใจที่เขาเอาแต่ปั้นหน้านิ่งใส่ตลอดเวลา
“ได้อะไรมากินบ้าง”
เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถาม แต่หันมาถามฉันแทน
“ต้มปลาข่อ รู้จักไหมปลาข่อน่ะ”
“ปลาช่อนน่ะเหรอ”
“ใช่”
ฉันทิ้งก้นลงนั่งข้างเขา ก่อนจะหยิบปิ่นโตสูงสามชั้นออกมาวางเรียง
“มีปิ้งปลาด้วยนะ ฉันทำเองแหละ เค็มถูกใจ ไตถูกตัด”
เกริ่นมาขนาดนี้แล้วก็กินโชว์ไปซะเลย ในขณะที่อีกฝ่ายยังเอาแต่มองหน้าฉันไม่วางตา ราวกับมีปัญหากับใบหน้าของฉันนัก
“ทำไมชอบมองหน้า”
คนอย่างฉัน สงสัยอะไรก็ถามออกไปตรง ๆ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
“แล้วจะให้มองอะไร”
“มองนมก็ได้ นมใหญ่นะ”
“...”
เขาเผลอมองตามที่พูด ก่อนจะเบนหน้าหลบอย่างเสียอาการ
“อายบ้างก็ได้มะนาว ฉันเป็นผู้ชาย”
“ฮ่า ๆ ๆ ฉันหมายถึงนมกล่องนี้ พี่คิดไปไกลถึงไหนฮะ”
ว่าแล้วก็หยิบนมถั่วเหลืองสีฟ้ากล่องใหญ่ให้ดู นั่นยิ่งทำให้เขาทำหน้าเหมือนจะตายเข้าไปใหญ่
“รู้แล้วว่าทำไมตาพวงไม่ให้ยุ่งกับเธอ”
“ตาพวงห้ามเหรอ? ทำไมอะ”
ฉันรีบวางนมกล่องในมือลง แล้วขยับเข้าไปใกล้ขึ้นอีกด้วยความอยากรู้
“ก็เพราะเป็นแบบนี้ไง”
“แบบนี้... แบบไหน?”
คนข้างกันไม่ตอบคำถาม เพียงแค่ก้มลงไปหยิบขวดน้ำแกลลอนใหญ่ขึ้นมาถือ ก่อนจะวางลง แล้วถือขึ้นใหม่คล้ายกับว่ากำลังใช้สิ่งนี้เพื่อออกกำลังกายที่ต้นแขน
“จิ๊! พี่นี่เป็นผู้ชายที่ไม่สนุกเอาซะเลย”
ฉันมุ่ยหน้าพร้อมกับกอดอกเอาไว้แน่น ขายกไขว้ขึ้นด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง แต่สายตายังไม่คลายออกไปจากคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“พี่จะอยู่ที่นี่นานไหม”
“ถามทำไม”
เขาถามโดยไม่มองมา
“ฉันจะได้รู้ไง ว่าจะต้องคอยส่งข้าวส่งน้ำให้พี่อีกนานแค่ไหน”
“จนกว่าน้าอรจะมา”
“แล้วน้าอรมาตอนไหน”
“ไม่รู้”
ขอบคุณสำหรับคำตอบ ที่ไม่ได้ต่างอะไรจากการไม่ตอบคำถามเลย
“แล้วพี่เป็นคนบ้านไหน ทำไมถึงได้มานอนอยู่ที่โขดหินแบบนั้น”
ฉันชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย เพราะเห็นว่าตาพวงไม่อยู่ เลยกลัวว่าเขาจะเหงา แต่ดูเหมือนว่าเขาอยากเหงามากกว่าอยากให้ฉันอยู่ด้วยนะ
“ไปดูหมอลำแล้วโดนตีเหรอ ใคร? พอจะรู้ไหม เดี๋ยวฉันสั่งลูกน้องไปล้างแค้นคืน เอาให้นอนหยอดน้ำข้าวต้มเหมือนพี่เลยดีไหม”
ฉันร่ายยาวอย่างเอาใจ หวังว่าเขาจะเปิดปากพูดกับฉันบ้าง แต่เขาก็ยังนิ่ง
“ให้เดานะ ฉันว่า... พี่คงไม่มีเมียแน่เลย”
ฉันเปลี่ยนท่าเป็นยกขาขึ้นกอดเข่า พร้อมกับเชิดหน้าขึ้นพูด หวังเรียกร้องความสนใจ และมันก็ได้ผล
“รู้ได้ไง”
“ก็พี่น่าเบื่อ”
ฉันพูดแหย่ หวังว่าเขาจะตอบโต้คืนบ้าง แต่สุดท้ายก็มีแค่ความเงียบ
“ทรงนี้เอาไม่เป็นแหง ๆ”
“เอาอะไร”
“ก็เอากันน่ะ เด้างับ ๆ รู้จักไหม”
“เฮ้ออ”
เขาถอนหายใจเสียงดัง จากนั้นก็วางขวดน้ำลงแล้วทำเหมือนจะเดินหนีไป
“เอ้า เดี๋ยวสิ อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนนะเนี่ย”
ฉันคว้าข้อมือหนาเอาไว้ แต่มันดันโดนแผลเขาพอดี
“ขอโทษ ๆ เจ็บไหม”
ฉันลุกพรวดทันทีที่เห็นเขาเบ้หน้า รีบดึงมือเขาขึ้นมาดูว่าเลือดออกหรือเปล่า เพราะเมื่อกี้ฉันคว้าเขาไว้แรงมาก
“เจ็บไหม”
ฉันถามอย่างรู้สึกผิด พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคนร่างใหญ่ในระยะใกล้ ถึงได้รู้ว่าเราอยู่ใกล้กันมาก มากเสียจนฉันเผลอนิ่งไปชั่วคราว เพราะโดนความหล่อของเขาสะกดไว้กับที่
ป๊าดดด คนอิหยังมาหล่อคักแนแท้สู คันบ่ติดว่าปากกืก กูสิจีบเฮ็ดพ่อของลูกแท้ ๆ
“อีนาว! มึงมาเฮ็ดหยังอยู่นี่” (อีนาว มึงมาทำอะไรที่นี่)
เสียงที่ดังก้อง ทำให้ทั้งฉันและพี่พญาผละออกจากกันโดยอัตโนมัติ และบุคคลปริศนาที่โผล่เข้ามา คือพ่อผู้ใหญ่ที่เพิ่งย่างเท้าเข้ามาในบ้าน
“ข่อยเอากับข้าวมาส่ง” (ฉันเอากับข้าวมาส่ง)
ว่าพลางชี้มือไปที่ปิ่นโตและถุงขนมที่วางกองอยู่บนแคร่
“เอากับข้าวมาส่งแล้วมึงคือเข้าไปใกล้เขาปานนั่น มึงนี่มันเคียวคักแน เห็นผู้ซายเป็นบ่ได้” (เอากับข้าวมาส่ง แล้วมึงเข้าไปใกล้เขาขนาดนั้นทำไม? มึงนี่มันแรดจริง ๆ เห็นผู้ชายเป็นไม่ได้)
ว่าแล้วไง... ถ้าพ่อผู้ใหญ่เห็น ฉันต้องโดนต่อว่าชุดใหญ่แน่
“บัดหน้ามึงบ่ต้องมาส่งแล้ว เห็นเขาเป็นผู้ซายแนกะอยากโตสั่นโลด หัดรักนวลสงวนโตแนแมะ เป็นผู้หญิงหยังเฮ็ดโตเป็นตาอาย พ่อแม่มึงมีแต่สิขายหน้า” (ต่อไปไม่ต้องมาส่งอาหารแล้ว เห็นเขาเป็นผู้ชายหน่อยก็ตัวสั่น หัดรักนวลสงวนตัวบ้างสิ เป็นผู้หญิงทำตัวน่าอาย มีแต่จะทำให้พ่อแม่ขายหน้า)
“ขายหน้ากะขายหน้าแต่พ่อแม่ข่อยตั้ว บ่ได้ขายหน้าเจ้า” (ขายหน้าก็ขายแค่พ่อกับแม่ฉัน ไม่ได้ไปขายหน้าพ่อผู้ใหญ่สักหน่อย)
อดทนอยู่นาน แต่เขาไม่ยอมหยุดพูด ฉันเลยต้องโวยกลับ
“เป็นหยังสิบ่ขาย กูกะเลี้ยงมึงมา” (ทำไมจะไม่ขาย กูก็เลี้ยงมึงมา)
“เลี้ยงกะซำเลี้ยงนั่นล่ะ เจ้าบ่แมนพ่อข่อย” (เลี้ยงก็แค่เลี้ยงนั่นแหละ พ่อผู้ใหญ่ไม่ใช่พ่อฉันสักหน่อย)
ฉันพูดด้วยความฉุนเฉียว ก่อนจะเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมาจากบ้าน อุตส่าห์อารมณ์ดีแล้วแท้ ๆ ไม่น่าเข้ามาขัดจังหวะวันดี ๆ ของอีนาวเลย!