ของพี่เล็กปะ

1384 Words
หลังจากที่น้าอรไม่อยู่ ภารกิจส่งข้าวส่งน้ำจึงตกเป็นของฉันไปโดยปริยาย ไอ้อยากบ่นมันก็อยากอยู่นั่นแหละ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันก็มีส่วนผิดที่ทำให้ไอ้พี่พญาอะไรนั่นเจ็บหนักขึ้นไปกว่าเดิม เลยต้องยอมไถ่โทษจนกว่าน้าอรจะกลับมา “กับข้าวครับกับข้าววว” เสียงดังแว้ด ๆ แผ่ออกมาหลังจากที่เตะขาตั้งหยั่งรถมอเตอร์ไซค์เสร็จ ในมือก็ชูปิ่นโตขึ้นพร้อมกับเดินเข้าบ้านตาพวง “ตาพวงงง กับข้าวมาส่...” เสียงพูดของฉันขาดหายไปทันที เมื่อเดินเข้ามาด้านในแล้วพบกับบุคคลที่คิดว่าคงกำลังนอนอยู่บนแคร่ร้อน ๆ แต่ตอนนี้เขากำลังเดินตัวเปียกออกมาพร้อมกับผ้าสีน้ำตาลพันรอบเอว ท่อนบนเปลือยเปล่า แต่มีผ้าสีขาวผืนไม่ใหญ่มากคลุมไหล่เอาไว้อยู่ มีหยดน้ำใส ๆ เกาะทั่วร่างไม่เว้นแม้แต่เส้นผม และตอนนี้ก็กำลังจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาราบเรียบ “เอ่อ... ฟื้นล่ะเบาะ” (ฟื้นแล้วเหรอ) ฉันยกมือขึ้นโบกทักทาย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบ เอาแต่ยืนนิ่ง ก่อนจะดึงผ้าที่คลุมไหล่ออกมาเช็ดเส้นผมที่เปียกโชก เผยให้เห็นเรือนร่างกำยำที่ยังเหลือรอยช้ำอยู่บ้าง “หือออ ของแท้เบาะอ้าย” (หือออ ของแท้เหรอพี่) ฉันเบิกตาโพลงก่อนจะวางปิ่นโตลงบนโต๊ะ พลางเดินเข้าไปใกล้ชายร่างกำยำเรือนร่างช้ำเลือดเป็นเวิงกว้างหลายจุด “ขอบายแนเด้อ” (ขอจับหน่อยนะ) ว่าอย่างมารยาทดี แต่ทว่ากลับไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต รีบทาบมือสัมผัสลอนกล้ามเนื้อจนอีกฝ่ายสะดุ้งยึกเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ยอมถอยหนี “จุ๊ ๆ ๆ แน่นปึ๊ก! แต่ว่า...” ฉันช้อนสายตาขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างไม่เคอะเขิน ก่อนจะเอ่ยแซวออกไปตรง ๆ “เขาว่าคนกล้ามใหญ่หำน้อย แล้วของอ้าย... น้อยบ่?” (เขาว่าคนกล้ามใหญ่ ไอ้นั่นมันจะเล็กเหรอ ของพี่เล็กปะ) “...” คนถูกถามตกใจกับความตรงไปตรงมาของฉัน แต่ยังไม่ยอมเอ่ยอะไร เอาแต่จ้องหน้านิ่ง ๆ จนเป็นฉันที่ประหม่าเสียเอง “เงียบจังซี่ แปลว่าอยากให้พิสูจน์” (เงียบแบบนี้แปลว่าอยากให้พิสูจน์) ฉันยิ้มร่ารีบยกมือขึ้นมารูดถูกันในท่าเตรียม ก่อนจะคว้าหมับเข้ากลางเป้าแต่ดันช้าไปกว่าฝ่ามือหนาที่คว้าข้อมือฉันได้ทัน “อีนาว! มึงสิเฮ็ดหยัง” (อีนาว มึงจะทำอะไร) เสียงทักท้วงด้วยความฉุนเฉียวทำให้ฉันรีบสะบัดมือออกจากการถูกเกาะกุม ก่อนจะหันไปเกาหัวแกรกและปั้นหน้าเขินส่งให้ตาพวงที่เพิ่งเดินเข้ามาจากทางหลังบ้าน “หยอกอ้ายเลาเล่นซือ ๆ เห็นบ่ปากจักเทือ เลาเป็นใบ้ติ” (หยอกพี่เขาเล่นเฉย ๆ หรอกน่า เห็นไม่พูดไม่จา ก็นึกว่าเป็นใบ้) พูดพร้อมกับหยิบปิ่นโตยื่นส่งให้กับตาพวง ที่กำลังจ้องมองฉันอย่างไม่ไว้ใจ “มันเว่าได้ แต่มันแค่บ่อยากเว่านำมึง” (มันพูดได้ แต่มันแค่ไม่อยากพูดกับมึง) “หยิ่งคัก” (โคตรหยิ่ง) ฉันหันไปมองค้อนใส่ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง ที่ยังคงสีหน้าไว้ในระดับเดิม “ยืดแขนได้บ่พญา” (ยืดแขนได้ไหมพญา) ตาพวงละความสนใจจากฉัน จากนั้นก็ตรงเข้าไปตรวจสอบร่างกายของชายหนุ่ม ที่ดูเหมือนว่าเขาจะดูดีขึ้นมาหลายระดับ เริ่มเห็นเค้าโครงหน้าจริง เพราะรอยช้ำและความบวมลดน้อยลง หล่ออย่างที่มินตรามันพูดจริง ๆ ด้วยแฮะ “ข้างซ้ายยืดได้ครับ แต่ด้านขวายังยืดไม่สุด” เขาตอบกลับเป็นภาษากลาง พูดอีสานไม่ได้ก็ไม่บอก ปล่อยให้ฉันพร่ำภาษาอีสานใส่อยู่ตั้งนาน “ดี ๆ มันสิคอยดีขึ้นดอก” (ดีแล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้วล่ะ) ตาพวงเดินเข้ามาวางมือบนไหล่หนา พร้อมทั้งสำรวจไปตามเนื้อตัว “มึงสิไปไส” (มึงจะไปไหน) ฉันถูกเรียกตัวเอาไว้ ในตอนที่เตรียมจะเดินกลับออกมาจากบ้าน “กลับบ้านข่อยตั้ว ข่อยมีเฮือนมีซานเนาะ” (กลับบ้านฉันสิ ฉันมีบ้านมีช่องนะ) พูดจบก็หลบลูกมะกรูดที่อยู่ในมือตาพวงแทบไม่ทัน ฉันเป็นผู้หญิงร่างบอบบางนะ! ไม่อ่อนโยนกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ บ้างเลย “อย่าฟ่าวไป มาทายาให้บักพญาก่อน” (อย่าเพิ่งไป มาทายาให้ไอ้พญาก่อน) “ฮะ!” ฉันอุทานพร้อมทั้งทำหน้าเหมือนจะตาย “เจ้าคือบ่ทาเอง” (ทำไมตาไม่ทาเอง) “กูสิไปนิมนต์พระขึ้นเฮือนใหม่ให้เพิน ฮึมึงสิไปนิมนต์เอง” ฉันกลอกตาขึ้นบนอย่างเบื่อหน่าย สุดท้ายก็ยอมเดินหน้าเหวี่ยงมาทิ้งตัวลงนั่งที่แคร่ “ไสล่ะยา ให้ทาหม่องได๋แน” (ไหนยา ให้ทาตรงไหนบ้าง) “ในถ้วยนี่ล่ะ หม่องได๋มีแผลกะทาโลด” (ในถ้วยนี้แหละ ตรงไหนมีแผลก็ทาเลย) พูดจบก็เดินหายออกไปจากบ้าน ปล่อยให้ฉันอยู่กับพี่พญาสองคน ตาพวงคงลืมไปแล้วจริง ๆ ว่าฉันเป็นผู้หญิง ให้อยู่สองต่อสองกับชายแปลกหน้ามันไม่ได้ ถึงฉันจะชอบทำตัวแรง ๆ ก็เถอะ “มานั่งสิ” ฉันเงยหน้าขึ้นเรียก จากนั้นก็หยิบถ้วยเล็ก ๆ ที่บรรจุสมุนไพรสีเขียวอี๋ตำละเอียดเอาไว้ด้านใน ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่กลิ่นคือไม่ไหวจริง ๆ “เจ็บบอกนะ” ทันทีที่เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน ฉันก็ไม่รอช้า ละเลงทายาที่ต้นแขนของเขาทันที อีกฝ่ายสะดุ้งยึกเล็กน้อย แต่ไม่ได้ปริปากร้อง เอาแต่ทำหน้านิ่งเหมือนหุ่นยนต์ตลอดเวลา “เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่พูดไม่จา หรือว่า...” ฉันเว้นเสียงไว้ให้เขาสงสัย แล้วหันมามองหน้า “เพราะฉันสวยเกินไป พี่เลยเขิน” พูดพร้อมกับกะพริบตาวิ้ง ๆ ส่งให้ หวังให้เขาหลุดขำหรือพูดอะไรออกมาบ้าง แต่อีกฝ่ายก็ยังนิ่ง “ปากกืกบ้อวะ” (เป็นใบ้หรือไงวะ) ฉันพึมพำเสียงเบา แต่ก็จงใจให้อีกฝ่ายได้ยิน “เป็นไข้ เจ็บคอ ไม่อยากพูด” ประโยคแรกที่เขายอมพูดด้วย แต่ก็เป็นประโยคแทนคำพูดว่าไม่ต้องชวนคุยอีก “แล้วทำไมไม่ไปหาหมอล่ะ? ฉันว่าไปตรวจดูสักหน่อยก็ดีนะ ว่าสมงสมองพี่กระทบกระเทือนหรือเปล่า” ปากพูดไป มือก็ถูสมุนไพรไปตามเรือนร่างที่เป็นบาดแผล “หรือไม่มีรถ ฉันพาไปได้นะ แต่จ่ายค่าน้ำมันมาล่ะ ไม่ใช่ใกล้ ๆ นะบอกไว้ก่อน” พูดออกมาไม่กี่คำ เขาก็เงียบไปอีก เฮ้ออ แล้วแบบนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหมได้ยังไง พออีกฝ่ายไม่พูด ฉันเลยหยุดชวนคุย จนกระทั่งทายาเสร็จ “ขอบใจ” เขาบอกพร้อมกับหมุนไหล่และคอพลางทำหน้าเหยเก “ฉันชื่อมะนาวนะ เป็นหลานผู้ใหญ่บ้าน แล้วก็เป็นคนบอกให้พ่อผู้ใหญ่ไปช่วยพี่เองแหละ” “แล้วก็เป็นคนเอารองเท้าตบหน้าฉันด้วยใช่ไหม?” “...” คำถามของอีกฝ่ายไม่ต่างจากไม้หน้าสามกระทบเข้าหน้า ตาพวงนะตาพวง บอกว่าอย่าบอกไง! “เอ่อ... มะ ไม่ใช่ เพื่อนอีกคนน่ะ มันชื่อแหวน” ฉันอึกอัก พลางยิ้มขำกลบเกลื่อน “แต่ฉันจำได้ว่าเป็นเธอ” ความจำดีจังวะ “นี่ไงงง! ถึงบอกให้ไปหาหมอตรวจสมอง พี่จำผิดคนแล้ว” ฉันวางถ้วยสมุนไพรไว้บนโต๊ะ ก่อนจะตีมึนแล้วเดินออกจากบ้านไป เพราะไม่รู้ว่าถ้าขืนอยู่ต่อจะถูกเขาถอดรองเท้าออกมาตบหน้าคืนไหม ยิ่งทำหน้าดุ ๆ อยู่ด้วย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD