เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการตื่นเก้าโมง และตั้งใจจะลุกมันสักเที่ยง แต่กลับถูกแม่เดินขึ้นมาเขย่าปลุกซะเสียงดัง
“นาว ๆ ตื่นได้แล้ว”
“อื้ออ”
ฉันเบ้หน้าหลับตาปี๋พร้อมกับพยายามมุดหน้าใส่หมอน เมื่อแม่กระชากผ้าห่มออกจากตัว ซ้ำยังเดินไปเปิดหน้าต่างให้แสงสว่างจากด้านนอกสาดเข้ามา
“ลุก ๆ พาพญาไปหาหมอแน บ่มีไผพามันไป” (ลุก ๆ พาพญาไปหาหมอหน่อย ไม่มีใครพาไป)
เปลือกตาบางที่ปิดสนิทปรือขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำว่าพญา
“เลาเป็นหยัง” (เขาเป็นอะไร)
พูดพร้อมกับลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพิ่งเห็นกันอยู่หลัด ๆ อย่าบอกนะว่าจะตายซะแล้ว
“กะเป็นแนวเก่านั่นล่ะ ตาพวงอยากให้ไปตรวจเบิ่งในเมือง ว่ากระดูกแขนมันเข้าที่ยัง” (ก็เป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ ตาพวงอยากให้ไปตรวจดูในเมือง ว่ากระดูกมันเข้าที่หรือยัง)
“อ๋ออ”
ฉันพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะยกมือขึ้นบิดขี้เกียจไล่ความงัวเงีย
“บ่มีไผพาไปเลยติ” (ไม่มีใครพาเขาไปเหรอ)
“อืม พ่อมึงกะพาผู้ใหญ่ไปเฮ็ดธุระทางบ้านม่วงพุ่น” (อืม พ่อมึงก็พาผู้ใหญ่ไปทำธุระทางบ้านม่วงโน่น)
แม่พูดถึงพ่อได้อย่างปกติ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เมื่อวานฉันกับพ่อทะเลาะกันหนัก แม่เองก็เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่เธอก็คงจะชินละมั้ง ฉันกับพ่อเพิ่งจะเคยทะเลาะกันเสียที่ไหน เราทะเลาะกันบ่อยจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพียงแค่เมื่อคืนมันหนักกว่าทุกครั้งเท่านั้นเอง
“หาลุกอาบน้ำได้แล้ว มันสิบ่ทันหมอพักเที่ยง” (ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว มันจะไม่ทันหมอพักกินข้าวเที่ยง)
แม่ย้ำคำพูดซ้ำอีกรอบ แม้จะอิดออด แต่ฉันก็ยอมลุกแต่โดยดี รีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อสีชมพูหวานแหวว และกางเกงยีนสีเข้มตัวโปรด ผมปล่อยยาวสลวย ไว้ค่อยมัดตอนนั่งขับรถแล้วกัน ไม่เช่นนั้นพันกันยุ่งเหยิงแน่
“มากินข้าวก่อน”
“บ่ สิไปกินในเมืองพุ่นล่ะ” (ไม่เป็นไร จะไปกินในเมือง)
ฉันไม่พูดอะไรให้มากความ รีบกระโดดคร่อมรถมอเตอร์ไซค์สีแดงคันเก่าทันที
“เอาล่ะเบาะเงิน” (เอาเงินหรือยัง)
“หยิบเอาแล้ว”
ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะลืมหยิบเงินเลย เพราะฉันไม่เคยลืมสิ่งที่จำเป็นขนาดนี้แน่นอน แถมยังหยิบมาเยอะกว่าที่แม่ต้องการจะให้อีกด้วย
ปิ๊ก ๆ ๆ
“มารับคนป่วยไปหาหมอจ้าา”
มาถึงบ้านตาพวงก็บีบแตรรถเสียงดัง พร้อมทั้งตะโกนบอกพี่พญาที่อยู่ด้านในให้รับรู้ เขาเดินออกมาจากบ้านทันทีด้วยชุดที่คุ้นตา เหมือนกับว่าจะเป็นชุดของพี่สิงห์ แต่แตกต่างกันอยู่มาก เพราะพี่สิงห์ผิวเข้ม ส่วนพี่พญาผิวขาวจั๊วะ ตัดกับเสื้อเชิ้ตสีดำที่กำลังสวมใส่ได้เป็นอย่างดี
“พ่อผู้ใหญ่ล่ะ?”
คนตรงหน้าเอ่ยถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหา
“ไม่ว่าง ว่างแต่อีมะนาวคนเดียวนี่แหละ เดี๋ยววันนี้ฉันจะพาพี่ไปหาหมอเอง”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองมาที่รถคู่ใจของฉันอย่างไม่ไว้ใจ
“ไหนบอกว่าไกล”
“ไม่ไกลหรอก ยี่สิบกว่าโลเอง”
ว่าแล้วก็ตบแปะ ๆ ลงที่เบาะรถ พร้อมกับเตะขาตั้งขึ้นในท่าเตรียม
“เดี๋ยวฉันขับเอง”
“ได้ไงล่ะ พี่เจ็บแขนอยู่นะ ให้ฉันขับดีกว่า”
“ไหวเหรอ?”
เขาถามย้ำ สีหน้าดูไม่ไว้ใจฉันเลยสักนิด เห็นแบบนี้ไม่เคยมีประสบการณ์รถล้มนะบอกไว้ก่อน มีแต่ขับชนกำแพงวัด แต่นั่นก็เพราะหมาวิ่งไล่หรอกน่า แถมอีแหวนกับอีตองก็ร้องโวยวายเสียงดังทำลายสมาธิด้วย
“ขึ้นมาเถอะน่า”
ฉันออกคำสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง จนเขายอมขึ้นมานั่งซ้อนท้าย
“เกาะเอวด้วย”
“ไม่ตกหรอก”
เขาปฏิเสธแทบจะทันที ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นคงฉวยโอกาสกอดฉันแน่นจนแทบหายใจไม่ออกไปแล้ว แต่พอเป็นพี่พญา เขาดูรังเกียจฉันนักหนา จนฉันแอบสงสัยว่ากับคนอื่นเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า
“กอดเถอะน่า”
ว่าแล้วก็ดึงมือเขาเข้าไปกอดเอว แต่เขาก็ชักกลับอย่างรวดเร็ว
“ไม่เอา เดี๋ยวชาวบ้านเห็นจะดูไม่ดี”
“เห็นก็ดีสิ เขาจะได้รู้ว่าพี่น่ะของฉัน”
“อะไรนะ”
ว่าแล้วเชียว เวลาพูดมากก็ชอบหลุดอยู่เรื่อย
“มะ ไม่มีอะไร นั่งดี ๆ นะ”
สิ้นประโยค รถมอเตอร์ไซค์สีแดงก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังแทบหงาย จนเขาต้องคว้าเอวฉันไว้แน่น
หึ ก็บอกให้กอดเอวแต่แรก เป็นไงล่ะ สุดท้ายก็ต้องมากอดเอวฉันอยู่ดี
ระหว่างทางฉันกลัวว่าเขาจะเบื่อ เลยชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้เป็นเพราะลมมันแรงหรือเพราะอะไรไม่อาจทราบ แต่เขาไม่ตอบโต้อะไรกลับมาเลย เอาแต่นั่งนิ่ง ปล่อยให้ฉันพล่ามอยู่คนเดียวจนเสียงแหบ ผ่านไปหลายสิบนาที ฉันก็พาเขามาถึงโรงพยาบาลประจำอำเภอ ที่ตอนนี้มีผู้คนแน่นหนา เห็นแล้วก็นึกท้อที่ต้องนั่งรอทั้งวัน
“โรงพยาบาลรัฐมันคนเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
คนร่างสูงเอ่ยพึมพำ พร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบบริเวณ
“วันนี้เป็นวันปกติไหม”
“ปกติมาก คนก็เยอะแบบนี้ตลอดนั่นแหละ ปะ”
ฉันชวนให้เขาเดินตามเข้ามาด้านใน ก่อนจะตรงไปที่จุดคัดกรอง
“เอาบัตรประชาชนมา”
ฉันยื่นมือส่งให้กับอีกฝ่าย แต่เขากลับเมินมือของฉันแล้วหันไปพูดกับพนักงานประจำจุดคัดกรอง
“ห้องหมอธีรพลไปทางไหนครับ”
“ชั้นสองห้อง 18 ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เขากล่าวขอบคุณแล้วเดินนำฉันขึ้นไปที่ชั้นบน
“เอ้า! รอด้วยสิ”
ขาของเขายาวกว่าฉันมาก เดินไปกี่ก้าวก็ถึงหน้าห้อง 18 แล้ว และหน้าห้องนี้มีผู้ป่วยนั่งรอพบหมออยู่ด้านหน้าไม่ต่ำกว่าสิบคน แต่พี่พญากลับเดินเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ต่อคิวใครเลย ทำเอาคนที่นั่งรออยู่ก่อนหน้างุนงงไปตาม ๆ กัน
“พี่พญา พี่ต้องไปซักประวัติก่อน”
ฉันตามเข้าไปในห้องของหมอ แล้วก็ต้องหยุดกึกเพราะตอนนี้หมอผู้ชายวัยกลางคนร่างผอมบางกำลังสอบถามอาการคนไข้อยู่
“คุณพญา!”
หมอโพล่งออกมาเสียงดังทั้งที่พี่พญายังไม่ทันได้แนะนำตัว ที่แท้พวกเขาก็รู้จักกันนี่เอง แต่สนิทยังไงก็ควรต่อคิวหรือเปล่า เดินเข้ามาในห้องตรวจแบบนี้มันเสียมารยาท เดี๋ยวก็โดนหมอดุหรอก
“ป้าครับ เดี๋ยวออกไปรอที่ด้านนอกสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมเรียก”
คุณหมอรีบบอกให้คนไข้ที่อยู่ก่อนหน้าออกไปที่ด้านนอก เช่นเดียวกับพี่พญาที่หันมาสั่งฉัน
“ออกไปรอด้านนอกก่อน”
“หือ?”
ฉันเลิกคิ้วถามพลางชี้มือเข้ามาที่อกของตัวเอง
“ไปรอด้านนอกก่อน”
คราวนี้เขาย้ำคำเสียงหนักขึ้น และสีหน้าจริงจังทันที ฉันเลยต้องยอมออกมารอด้านนอกก่อน ปล่อยให้เขากับคุณหมอได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยง ข้าวเช้ายังไม่ทันได้ตกถึงท้องเลย ฉันตั้งใจว่าจะลงไปกินข้าวรอเขาก่อน แต่ยังไม่ทันจะขยับออกไปจากเก้าอี้ ประตูห้องของหมอธีรพลก็เปิดออก ปรากฏให้เห็นพี่พญาที่เดินออกมาพร้อมกับถุงยาและเอกสารซองสีน้ำตาลในมือ
“เสร็จแล้วเหรอ”
“อืม”
เขาตอบกลับเพียงสั้น ๆ แล้วเดินลงบันได โดยมีฉันเดินประกบข้าง
“ไวจัง อย่างกับคนไข้วีไอพีแน่ะ บัตรประชาชนก็ไม่ต้องยื่น พี่รู้จักหมอด้วยเหรอ เป็นอะไรกับหมออะ เผื่อมาหาหมอรอบหน้าฉันจะได้ใช้เส้นพี่บ้าง”
คนร่างสูงหันมามองเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินกลับมาที่รถ คนอะไรไม่รู้ หวงคำพูดยิ่งกว่าไข่ในหิน ถ้าพูดมากดอกพิกุลทองมันจะร่วงออกมาหรือยังไง