บทที่ 3 ใครโทรจิก
วันต่อมา..
จอมทัพเข้าห้องบรรยายด้วยสีหน้าและแววตานิ่งขรึมอย่างทุกครั้ง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือผมถูกเซตมาอย่างดี ดูเนี๊ยบ ดูทรงนายแบบเกินกว่าจะเป็นผู้ชายที่ชอบลากอีแตะหูหนีบไปเดินห้างอย่างจอมทัพ
แปลก..แปลกจนอัคคีอดไม่ไหวต้องเอ่ยปาก
“ผีบิวตี้บล็อกเกอร์เข้าสิงมึงเหรอถึงเซตผมมาซะหล่อ ปกติแค่อาบน้ำแปรงฟันมาเรียนตอนเช้าได้ก็ดีถมเถ”
อย่างที่รู้กันคณะวิศวะมีนักศึกษาชายเสียส่วนใหญ่ เวลาเลิกเรียนหรือไม่มีงานค้างส่ง พวกเขามักรวมตัวไปท่องราตรีโต้รุ่งอยู่ตลอด เมาหัวราน้ำ นัดหญิงมาเย็บ ถ้าเงินเหลือ ๆ ก็ลงอ่างหาสาวช่วยอาบน้ำ กว่าจะนอนก็ตีหนึ่งตีสอง ฉะนั้นการตื่นมาเรียนคาบเช้าจึงทุลักทุเลพอสมควร
อย่างเมื่อคืนพวกเขาก็อยู่ร้านนั่งชิลแถวคอนโดจอมทัพ แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นมันถึงเทเพื่อน หนักไปกว่านั้นคือเทคนคุยที่พูดนักพูดหนาว่าตรงสเปก หลังจากพาไปฉี่บนคอนโดมันก็ปล่อยให้น้องไข่มุกกลับร้านคนเดียวเฉยเลย
“มึงมีพิรุธว่ะทัพ”
“อย่ายุ่ง” จอมทัพปัดมือที่ยุ่มย่ามกับผมออกไปให้พ้น
ไม่ต้องสืบว่าเรื่องที่ถูกอัคคีแซวเป็นฝีมือใคร เขาถูกนาเดียร์ปลุกมากินข้าวเช้าตั้งแต่ไก่โห่ ถูกจับแต่งตัว ถูกจับเซตผมจนมันแผล็บอย่างที่เห็น
หากเป็นตอนเด็กถือว่าปกติ เพราะนาเดียร์มักตื่นเช้า ตื่นคนเดียวไม่พอเจ้าหล่อนยังมุดรั้ววิ่งมาปลุกเขาถึงเตียง เสียงเร่งให้อาบน้ำ เร่งให้ทำธุระส่วนตัวดังแจ้วเกือบหนึ่งชั่วโมงของวันที่ต้องไปเรียน พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จทั้งคู่จะนั่งกินข้าวด้วยกัน
หลังจากนั้นก็สะพายกระเป๋าขึ้นรถเก๋งคู่ใจของพ่อใหญ่จอมทองเดินทางไปโรงเรียน
ความทรงจำวัยเด็กน่ะมันดี แต่เริ่มไม่ดีเพราะตอนนี้เขาโตเป็นหนุ่ม เธอเองก็โตเป็นสาว นาเดียร์ก็ใช่จะหน้าตาขี้เหร่ ตื่นมาเจอคนน่ารักใครจะควบคุมอารมณ์หื่นวัยหนุ่มได้ ไม่ใช่เพิ่งเป็น แต่เขาเป็นมานานแล้วต่างหาก
“เมื่อคืนมึงมีของดีแต่ไม่อยากเผื่อแผ่พวกกูใช่ไหม” อัคคียังเซ้าซี้ไม่เลิก ถามไข่มุกก็ไม่ยอมบอก เลยต้องมาเค้นเอากับเพื่อนแทน
“พูดมาก” จอมทัพหยิบหนังสือในเป้มาวางด้วยท่าทีเฉยเมย ไม่ใส่ใจอาการเสือกของเพื่อนสนิทแม้แต่น้อย
“เฮ้ย!! ห่อข้าวมาด้วย?” เสียงดังไม่พออัคคียังสะกิดเพื่อนอีกสองคนให้หันมาดู
อาทิตย์กับแดนไทจึงกระทำการสาระแนด้วยการหยิบกล่องสีฟ้ามาวางบนโต๊ะ สามหนุ่มมองหน้ากันแล้วหัวเราะ ก่อนหันมาหรี่ตาจับผิดคนหน้ามึนอย่างพร้อมเพรียง
“ไหนเหลามาซิอ้ายทัพ กูอยากรู้ว่าใครทำข้าวกล่องให้มึง” แดนไทกระแทกไหล่ถามยิ้ม ๆ
ด้วยความที่จอมทัพเป็นคนอีสานและมักแต่งตัวปอน ๆ พวกเขาจึงเรียกมันว่า ‘อ้ายทัพ’ แต่ถึงจะแต่งตัวปอน ๆ ขับกระบะสี่ประตูธรรมดา ชอบใส่เสื้อเก่ากับกางเกงสีซีดจอมทัพก็ยังเท่ ต่อให้ใส่เสื้อแถมปุ๋ยลากอีแตะหูหนีบ ก็ไม่อาจบดบังรัศมีความหล่อของเจ้าตัวได้
มันหล่อชนิดที่ว่าตอนย้ายมาใหม่ ๆ สาวในมหา’ ลัยคลั่งไคล้กันถ้วนหน้า ถึงขนาดตามมาเฝ้าถึงคณะ ตามไปสนามบาส บางคนซื้อของแพง ๆ เอาใจ มากหน้าหลายตาจำเกือบไม่หมด ถ้ามันเรียนตั้งแต่ปีหนึ่งมันคงได้ประกวดเดือนมหา’ ลัยแน่นอน
“บอกมาใครทำข้าวกล่องให้มึง”
“มีแต่ผลไม้ ใช่ข้าวที่ไหนล่ะ” คนถูกกระแซะจำใจต้องบอก พร้อมกันนั้นก็หยิบกล่องเจ้าปัญหาเก็บใส่เป้ตามเดิม
เพราะเป็นคนขับถ่ายยาก นาเดียร์จึงมักสรรหาผลไม้ให้เขากินเป็นประจำ ไม่รู้เธอตื่นเช้าแค่ไหนถึงได้มีสับปะรดกับมะละกอสุกใส่กล่องมาให้กินที่มหา’ ลัย เดาว่าคงไม่ได้สำรวจแค่ห้อง นาเดียร์คงสำรวจร้านค้าแถวคอนโดเป็นที่เรียบร้อย
“ยิ่งน่าสงสัยว่ามึงซุกหญิง เทน้องมุกเพราะมีคนใหม่แล้วดิ” เป็นเสียงของอาทิตย์ที่เริ่มตั้งประเด็น อีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่ใช่อย่างที่พวกมึงคิด”
“แล้วมันยังไง?” อัคคีถามย้ำอย่างจริงจัง
“ไม่บอก”
“เอ้า!”
“เอ้า!”
“เอ้า!”
สามหนุ่มที่ตั้งท่าใส่ใจร้องออกมาพร้อมกัน
จอมทัพก็เป็นแบบนี้ ถ้าไม่อยากพูดใครก็ง้างปากมันไม่ได้ เหมือนจะเจ้าชู้จีบหญิงเก่ง แต่จริง ๆ ไม่เคยจีบใคร ทุกคนเข้าหามันเอง ขนาดไข่มุกที่ว่าตรงสเปก ฝ่ายหญิงยังเป็นคนทักมาคุยก่อน
“ไอ้ทัพ! จะพูดไม่พูด ไม่งั้นพวกกูเลิกคบ” แดนไทข่มขู่ท่าทีจริงจัง
ทว่าคนถูกขู่หาได้สนใจไม่ แถมจอมทัพยังตอกกลับอย่างเจ็บแสบอีกต่างหาก
“ตอนเรียนถ้าตั้งใจเหมือนตอนเสือก พวกมึงคงได้เกียรตินิยม”
“ปากดีนะมึง!” อัคคีกัดฟันพูด
“ก็หยุดเสือกสักที กูรำคาญ!”
สายตาทุกคู่พุ่งไปมองจอมทัพด้วยความหมั่นตีน ก็ปากดีแบบนี้ไงสาวถึงอยู่ด้วยไม่นาน ไอ้เพื่อนหน้ามึนชอบมีสัมพันธ์แบบนัดเย็บชั่วคราว เป็นความสมัครใจทั้งสองฝ่าย พวกเขาไม่เคยเห็นมันตามตื๊อหรือจีบใครเป็นจริงเป็นจังสักคน
“เออ..ต่อไปก็อย่านับพวกกูเป็นเพื่อนก็แล้วกัน”
“งอน?” จอมทัพเลิกคิ้วถามในจังหวะที่อัคคีทำเสียงสอง ใครจะเชื่อว่าคนเถื่อนอย่างมันจะขี้น้อยใจ ทุกอย่างคือการแสดง อัคคีการละครชัด ๆ
“เงียบเลยพวกมึง อาจารย์ปราโมทมาแล้ว เดี๋ยวก็ถูกตีกบาล,กระบาลแตกหรอก” อาทิตย์เป็นคนร้องบอกเพื่อน ๆ จากนั้นบทสนทนาของสี่หนุ่มก็เป็นอันปิดฉากลง
เช้านี้ต้องเรียนวิชาเฉพาะ อาจารย์ก็สายโหดอย่าบอกใคร ขืนเสียงดังได้โดนหนังสือบินใส่หัว ซึ่งอัคคีเคยเจอมาแล้ว หัวปูดตั้งหลายวันกว่าจะหาย
ชาวแก๊งเรียนวิศวะโครงสร้างซึ่งเป็นสาขาย่อยของวิศวกรรมโยธา อีกหนึ่งเดือนก็สอบปลายภาค จึงต้องตั้งใจเป็นพิเศษเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ไว้ใช้สำหรับทำข้อสอบ
เรียนหนัก ดื่มโหด ก็หนุ่ม ๆ คณะวิศวกรรมศาสตร์นี่แหละ
หลังเลิกเรียนสองหนุ่มก็มานั่งคุยงานที่ต้องส่งอาจารย์ก่อนสอบ หากนับว่าจอมทัพสนิทกับใครที่สุดในแก๊ง ก็เห็นจะเป็นอัคคี ส่วนอาทิตย์กับแดนไทเป็นคู่หูกัน แต่ทั้งหมดคือกลุ่มเดียวกัน รวมถึงเพื่อนร่วมคลาสอีกหลายคนที่ชอบแฮงเอาท์ด้วยกันอยู่บ่อย ๆ
ร้านอยู่ใกล้คอนโดของจอมทัพ ซึ่งเป็นย่านชุมชน อยู่ใกล้มหา’ลัย อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า ห้องพักแถวนี้จึงแพงหูฉี่ เหตุนี้จอมทัพจึงจ่ายค่าเช่าต่อเดือนสูงมาก
เดิมทีจะเลือกขนาดหนึ่งห้องนอนเพราะราคาถูก แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกขนาดสองห้องนอนกับสามห้องน้ำ นึกแล้วก็ดีใจที่ตัดสินใจถูก ไม่งั้นคงบันเทิงถ้าต้องนอนห้องเดียวกับนาเดียร์
Rrrr
Rrrr
“รับเถอะ ไม่ก็ปิดเสียงไป กูรำคาญ! จะคุยงานก็ดังอยู่นั่นแหละ” อัคคีมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีเสียงเตือนและแสงวูบวาบนาทีต่อนาทีเลยทีเดียว
“อืม” จอมทัพไม่ได้ปิดเสียงแต่คว่ำหน้าจอลงบนโต๊ะแทน
“ไอ้สองตัวแม่งติดกี ไม่มาช่วยทำเลยว่ะ กูโคตรเซ็ง”
งานกลุ่มมีสี่คนแต่อาทิตย์กับแดนไทไปตามจีบสาว ภาระเลยตกมาที่เขากับจอมทัพ คิดแล้วอัคคีอยากโทรด่าไอ้พวกนั้นฉิบหาย
“งานก่อนพวกมันก็ทำสองคน ส่วนมึงกับกูติดกี ถือว่าหายกัน” จอมทัพพูดตามจริง
“เออ ๆ กูแค่บ่น” อัคคีจำใจปล่อยผ่าน จากนั้นก็เริ่มคุยอย่างจริงจังเพื่อได้ข้อมูลครบถ้วน
Rrrr
ในตอนกำลังคุยอย่างออกรสออกชาติเสียงเรียกเข้าก็ดังขัดจังหวะ อัคคีจึงเริ่มโวยอีกรอบ หงุดหงิดไอ้สองตัวไม่พอ ยังต้องมาหงุดหงิดกับจอมทัพอีก
“ไอ้เหี้ย! มึงจัดการหน่อยดิวะ! โทรจิกอย่างกับเมีย ตกลงใคร?”
“ไม่ใช่ใครทั้งนั้น กูปิดเครื่องแล้ว มึงคุยต่อเลย” จอมทัพยัดโทรศัพท์ใส่เป้เพื่อตัดปัญหา
จิกเก่งขนาดนี้จะเป็นใครไปได้นอกจากนาเดียร์ คนนี้ยิ่งกว่าเมียเสียอีก เจอกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงก็เหมือนเขาได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม
แบบที่ยังเป็นเพื่อนสนิท แบบที่ยังได้อาศัยอยู่ในบ้านรั้วติดกัน..
ผ่านไปราวสามสิบนาทีความบังเอิญที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเพื่อนหน้าใสที่จอมทัพเลี่ยงพูดถึงมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มหวานหยดไม่ชวนมองเท่าการแต่งตัวของเธอ
วันนี้ร่างผอมบางอยู่ในชุดกางเกงยีนขายาวกับเสื้อสายเดี่ยวสีชมพู เห็นร่องอกแวบ ๆ แวม ๆ ผมยาวสลวยถูกถักเปียข้างเดียวแล้วเบี่ยงมาด้านหน้า นาเดียร์สวมหมวกแก๊ปที่มีอักษรย่อ ‘JT’ ปักอยู่ สงสัยคงเข้าไปหยิบในห้องมาใส่ และไอ้เพื่อนขี้เสือกคงจำได้ว่าหมวกใบนี้ไข่มุกสั่งทำให้เขา มันถึงยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนเสียยกใหญ่ ทำเหมือนเขาจับปลาสองมืออะไรทำนองนั้น
“น่ารักขนาดนี้ มึงถึงไม่อยากให้พวกกูเห็น”
คำพูดของอัคคีไม่สำคัญเท่าหญิงสาว จอมทัพเลยไม่ตอบโต้ เขาพุ่งความสนใจไปยังนาเดียร์ในทันที
“มาตามเหรอ?”
“เปล่า..เรามาซื้อน้ำปั่นร้านโน้น พอดีเห็นทัพนั่งอยู่ร้านนี้เลยมาหา”
“โทรทำไมตั้งหลายรอบ”
“จะถามว่าตอนเย็นอยากกินอะไร เราจะทำให้กิน”
ถึงประหม่ากับสายตาของคนแปลกหน้า นาเดียร์ก็ยังพูดกับเพื่อนสุดหล่อด้วยน้ำเสียงสดใส ไม่เพียงแค่นั้นเธอยังหย่อนสะโพกนั่งเคียงข้าง แสดงความสนิทสนมโจ่งแจ้ง แต่เลือกจะไม่สบตากับอีกคน
มีหรืออัคคีจะปล่อยผ่าน ยิ่งหลบเขาก็ยิ่งอยากรู้ สาวที่ไม่รู้จักกับเพื่อนหน้ามึน มันต้องมีลับลมคมในแน่นอน
“หวัดดีครับ”
เงียบ..
ไม่มีเสียงตอบกลับแต่อัคคีก็ไม่ยอมแพ้ เขายังคงเล่นหูเล่นตาใส่คนน่ารักพร้อมพูดอย่างกรุ้มกริ่ม
“ไม่อยากรู้จักผมเหรอครับ ไม่สิ..ขอถามเลยแล้วกันว่าเป็นอะไรกับไอ้นี่” คนอยากเสือกชี้ไปยังเพื่อนหน้าหล่อ
“........” นาเดียร์เกาะแขนจอมทัพแทบจะทันที ช้อนตาขึ้นมองอย่างวิงวอนเพื่อขอให้เขาช่วยตอบ
เธอป่วยเป็นโรคกลัว (phobia) มาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะได้รับการรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง อาการจึงดีขึ้นในระดับเกือบปกติ ซึ่งหมอสั่งให้หยุดยามาหนึ่งปี แต่บางทีก็ยังมีอาการอยู่บ้างเวลาถูกจับจ้องเชิงเจ้าชู้จากคนไม่รู้จัก
“ไม่ตอบ? แสดงว่ามีอะไรในกอไผ่ ใช่ไหมอ้ายทัพ?” ประโยคหลังอัคคีหันมาถามฝ่ายชายแทน
“มีก็เหี้ยแล้ว! คนนี้เพื่อนกู!” จอมทัพชำเลืองมองคนข้างกาย เห็นมือเล็กสั่นเทาก็เข้าใจว่าอาการเก่ากำเริบ จึงก้มลงส่งเสียงปลอบโยนเพื่อให้เธอคล้ายกังวล
“มันเป็นเพื่อนเราเอง ถึงขี้เสือกแต่มันน่ารักนะ”
“อื้อฮือ..อ้ายทัพ” อัคคีเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงล้อเลียนในจังหวะที่หญิงสาวซบหน้าบนต้นแขนของจอมทัพ
ปกติไอ้นี่ยอมให้คนคลอเคลียที่ไหน นิสัยแข็งเป็นเสาหินเลยล่ะ สาวที่มีซัมติงด้วยก็แค่นั่งคุย ไม่เคยเห็นมันยอมให้กอดอย่างในเวลานี้
“อยู่กับเราเธอไม่ต้องกลัว” ฝ่ามือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวของหญิงสาวเบา ๆ
“เราไม่กลัว” คนถูกปลอบพูดอย่างเข้มแข็ง แต่กระนั้นก็ยังเกาะซบแขนแกร่งไว้แน่น
“ไม่กลัวก็ทักทายมันหน่อยเร็วคนเก่ง” จอมทัพก้มหน้าลงต่ำพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เป็นการกระทำที่แปลกประหลาดสำหรับอัคคี อยู่กับคนอื่นแข็งเหมือนสาก พออยู่กับคนนี้ละมุนยังกับปุยนุ่น
เพื่อนแบบใด? อัคคีชักสงสัย
“หวัดดี เราชื่อนาเดียร์ เรียกเดียร์เฉย ๆ ก็ได้ค่ะ”
“ออ..หวัดดี เรียกเราว่าอัคได้เลยนะ” คนถูกทักทายตอบรับอย่างมึนงง
อะไรที่ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น บอกเป็นเพื่อนแต่พฤติกรรมออกทางผัวเมีย เรื่องนี้อัคคีจะไม่ยอมเห็นคนเดียวเด็ดขาด ว่าแล้วคนคิดเร็วทำเร็วก็ยกโทรศัพท์มาถ่ายรูป ก่อนส่งเข้ากลุ่มให้ชาวแก๊งช่วยพิจารณาว่าใช่อย่างที่คิดหรือเปล่า
“ทำเกินไปไหมวะ” ประโยคนี้จอมทัพพูดกับอัคคี
“เกินอะไร กูแค่ถ่ายรูป”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
“ตกลงเป็นเพื่อนจริงดิ” ในที่สุดคนอยากเสือกก็วกกลับมาเรื่องเดิม
“เดียร์เป็นเพื่อนสนิทกูเอง”
“สนิท?”
“ก็ตั้งแต่สองสามขวบเลย”
“ตอนนี้โตแล้วยังสนิทอยู่ปะ?”
คำถามกวนบาทาดังออกมาไม่หยุดปาก จอมทัพก็อ่อนอกอ่อนใจในความเซ้าซี้ กะจะไม่ตอบแต่พอก้มมองคนที่เงยหน้าขึ้นมา เขาก็ยอมรับตามตรง
“สนิทสิ” เพียงเท่านั้นจอมทัพก็ได้เห็นรอยยิ้มดีใจจากเพื่อนตัวน้อย ที่ถึงแม้จะประหม่าเธอก็ยังอุตส่าห์ปลาบปลื้มกับสิ่งที่ได้ยิน
“งั้นเดียร์ก็มาจากขอนแก่นเลยอะดิ”
“อืม” จอมทัพตอบส่ง ๆ ทว่าคนโกหกไม่เป็นกลับแย้ง
“เรามาจากภูเก็ตต่างหาก”
“อ้าว บ้านไม่ได้อยู่ขอนแก่นเหมือนมันหรอกเหรอ”
“คือ..”
“เดียร์อยู่กับแม่ที่ภูเก็ต ตอนนี้ได้งานทำที่กรุงเทพเลยมาอยู่ที่นี่” เป็นจอมทัพที่ชิงตอบแทน นาเดียร์จึงเม้มปากแล้วค่อย ๆ หันไปสบตากับอัคคีแบบตรง ๆ พอเห็นรอยยิ้มเป็นมิตรไม่มีแววคุกคาม เธอก็ยิ้มตอบด้วยท่าทีเป็นมิตรเช่นกัน
“เพื่อนมึงยิ้มสวยวะทัพ กูจีบเลยแล้วกัน”
“หยุด!”
“หวง?”
“ไม่ได้หวง”
“งั้นกูก็จีบได้ดิวะ”
“จีบตีนกูนี่!”
“เอ้า! ของขึ้นทำไม?”
“ไม่ต้องเสนอหน้า คนชั่วอย่างมึงไม่เหมาะกับเพื่อนกูหรอก”
“มึงแหละไม่ต้องเสนอหน้า กูจีบเดียร์ ไม่ได้จีบมึง ไม่ต้องสาระแนมาขัดขวาง”
“กรุณาอย่ายุ่งกับเพื่อนกูครับ!!..เธอกลับเลยไหม เราคุยงานเสร็จพอดี” จอมทัพรวบหนังสือเก็บใส่เป้พร้อมส่งเสียงถาม แต่ไม่รอฟังคำตอบเขาก็ฉวยข้อมือของนาเดียร์ให้ลุกยืนพร้อมกัน
“จะกลับเลยเหรอ? แล้วเพื่อนล่ะ” หญิงสาวออกอาการลังเล
“กลับเลย..เราหิว” มือหนาประสานเข้ากับมือเล็กพาเดินออกจากร้าน โดยมีเสียงของอัคคีดังไล่หลังตามมา
“เดี๋ยว! มึงอย่าหนี กูยังคุยงานไม่จบ เหลืออีกหลายหัวข้อที่ยังไม่ได้ร่างเนื้อหา”
“เชิญมึงทำเอง “จอมทัพไม่สนใจอะไรอีก เขาจับมือนาเดียร์เดินไปพร้อมกันอย่างที่เคยทำมาตลอดหลายปี
หากชาวแก๊งได้เจอหญิงสาว ก็คิดว่าคงต้องมีการจีบ จอมทัพไม่ได้กันท่า แต่เพราะเจอกะทันหันเลยตั้งตัวไม่ทัน ไว้เตี๊ยมคำพูดกับนาเดียร์ให้ดีก่อน ถึงจะพามาแนะนำอีกรอบ ยังไงก็ตั้งใจให้เธอลงเรียนใหม่ ไม่ต้องทำงานหาเงินเอง เมื่อคืนเขาคุยกับสปอร์ตเซอร์รายใหญ่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อใหญ่จอมทอง
พ่อเป็นถึงเจ้าของไร่อ้อยหลายร้อยไร่ มีที่ดินให้เช่าอีกหลายสิบแห่ง ตึกแถวให้เช่าอีกเพียบ บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เปิดได้สี่ปีก็กำลังไปได้สวย เหตุนี้เขาถึงต้องเรียนวิศวะ เรียนจบก็เข้าทำงานที่บริษัทเลย พ่อได้ปูทางไว้รอ วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เพื่ออนาคตที่มั่นคง
เห็นไหม..พ่อใหญ่จอมทองรวยระดับเศรษฐี เลี้ยงเด็กตาดำ ๆ เพิ่มอีกคนได้สบายมาก