.........
แขกเพียงคนเดียวของภูพราวดาวรีสอร์ตลืมตาตื่นอีกทีก็ตอนที่แสงตะวันเจือสีส้มเข้ม กดดูหน้าจอมือถือก็พบว่าเป็นเวลากว่าห้าโมงเย็นแล้ว ร่างสูงผลุนผลันลงจากเตียงตรงไปเปิดเป้ค้นเอาเสื้อยืดสีกรมท่ามาสวม ก่อนเปิดประตูแล้วก้าวพรวดลงจากบ้านพัก
ไม่ใช่พอเขารู้ว่าเธออยู่ที่นี่ก็หนีเปิดเปิงไปแล้วหรอกนะ
ใจเต็มไปด้วยความกังวลที่ค่อนไปทางกลัวพลอยเปลี่ยนฝีเท้าเป็นวิ่ง กระทั่งโผล่พรวดเข้าไปในเรือนต้อนรับ เจนนินทร์นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟาพลันมองไปทางต้นเสียงอย่างตกใจ
กันต์ดนัยแอบถอนหายใจโล่งอกที่เจ้าหล่อนไม่ได้หนีอย่างที่หวั่น ร่างสูงตรงดิ่งไปหาครั้นพอจะยอบนั่งข้างๆ เจ้าหล่อนก็ผุดลุกขึ้นพร้อมวางหนังสือคู่มือคุณแม่มือใหม่ไว้บนโต๊ะเสียงดัง
“จะถามว่าห้องอาหารอยู่ตรงไหน หิวแล้ว” ร่างสูงถามพลางเดินตามคนท้องต้อยๆ จนแทบสิงร่าง
“ที่นี่เจ๊งไปตั้งหลายเดือน ไม่เปิดให้แขกเข้าพักแล้วจะมีห้องอาหารได้ยังไง” เจนนินทร์หมุนตัวกลับไปตั้งใจจะมองด้วยสายตาหยันเสียหน่อย แต่พลันรีบชักเท้าหนีอย่างตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะอยู่ใกล้จนท้องนูนของเธอชนเข้ากับกายแกร่ง
“งั้นแถวนี้มีร้านอาหารใกล้ๆ ไหม”
“ไม่รู้ อยากรู้ก็เดินไปสิคะ ไม่มีรถให้ยืมหรอกนะไม่ได้เอาไว้บริการใคร”
“เจน พูดกับพี่เขาดีๆ หน่อยสิ” เรไรแวบเข้ามาจากมุมโปรดตรงระเบียง พอได้ยินเสียงลูกสาวแว๊ดใส่ชายหนุ่มก็อดแทรกขึ้นไม่ได้
“ก็เราไม่ชอบกันแล้วนี่คะ ไม่ได้ญาติดีต่อกัน เลยไม่มีเหตุผลให้ต้องพูดจาดีๆ”
ตอนนั้นโกรธเกลียดเธอแทบตาย ไล่กันเยี่ยงหมูเยี่ยงหมา เธอเสียน้ำตาและน้ำลายอธิบายไปตั้งกี่ลิตร แต่เขาไม่เคยรับมาใส่ใจ แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลับมาด้วยท่าทีใยดีกว่าเดิม
หรือลืมไปแล้วว่าเคยรังเกียจเธออย่างไร
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันดูไม่มีมารยาทเลย เจนถือว่าพี่เขาเป็นแขกก็ยังดี พี่เขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว เราก็ควรทำตัวให้มันดีๆ หน่อย อีกอย่างเดี๋ยวส่งผลต่ออารมณ์ของลูกนะ” เรไรปรามคนท้องที่กอดอกเข่นเขี้ยวมองชายหนุ่ม “คุณกันต์ทานข้าวด้วยกันก็ได้นะคะ น้าให้คนไปซื้อจากข้างนอกมาเยอะแยะเลย ก็ตั้งใจซื้อมาเผื่อคุณกันต์นั่นแหละค่ะ”
“จริงเหรอครับ คุณน้ายังใจดีเหมือนเดิมเลยนะครับ งั้นเย็นนี้ผมขอฝากท้องที่นี่เลยนะครับ”
“ยินดีจ้ะ ว่าแต่หิวแล้วใช่ไหม งั้นทานกันเลยไหมคะ”
กันต์ดนัยพยักหน้าตอบพลางกุลีกุจอไปช่วยสตรีวัยกลางคนทางโต๊ะอาหาร อาสาไปหยิบจานชามในครัวแล้วเทกับข้าวใส่ภาชนะ
ในขณะที่เจนนินทร์ยืนอยู่ที่เดิม หลับตาผ่อนลมหายใจเข้าออก พยายามประคองอารมณ์ให้ความคิดด้านลบครอบงำจิตใจน้อยที่สุด ท่องไว้ แค่คืนนี้คืนเดียว เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาก็ไปแล้ว
เจนนินทร์เดินไปเลื่อนเก้าอี้นั่งลงข้างมารดา รับจานข้าวจากชายหนุ่มจนเกือบเป็นกระชาก กันต์ดนัยเอายิ้มเข้าสู้แม้หญิงสาวไม่คิดชายตามอง
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมีเพียงเสียงช้อนกระทบจาน ความเงียบเหงายิ่งถูกเติมเต็มเมื่อหมู่นกกาโหวกเหวกร้อง กันต์ดนัยเหล่มองสตรีทั้งสองที่ทานข้าวกันเงียบๆ ในขณะที่เจนนินทร์หน้านิ่งกรุ่นด้วยไอโทสะ แต่เรไรสงบเงียบนัยน์ตาดูเศร้าเหม่อตลอดเวลา
มารดาของเจนนินทร์ในภาพจำของกันต์ดนัยคือผู้หญิงร่ำรวยไม่ถือตัว รอยยิ้มจริงใจและอบอุ่น มีบ่นบ้างตามประสาคนเป็นแม่ ทว่าตอนนี้แทบไม่เหลือเค้านั้นเลย อีกทั้งเรไรยังซูบผอมกว่าเดิมมาก สองแม่ลูกไร้สีสันทางอารมณ์เช่นเดียวกับใบหน้าที่ไม่มีใครแต่งแต้มเครื่องสำอางลงไป กันต์ดนัยทนความอึดอัดไม่ไหวจึงกระแอมเอ่ย
“คุณน้าครับแถวนี้พอจะมีร้านขายรองเท้าไหมครับ พอดีผมลืมเอารองเท้าแตะมา”
“จะซื้อทำไม ยังไงพรุ่งนี้เช้าคุณก็ต้องเช็คเอาท์แล้วกลับไปอยู่แล้ว”
เรไรส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจกับลูกสาว ก่อนขยายยิ้มให้ชายหนุ่ม “มีจ้ะ ที่นี่มีห้างฯ อยู่แต่อาจจะไกลสักหน่อย พรุ่งนี้เจนมีนัดตรวจครรภ์กับคุณหมอไม่ใช่เหรอ ก็ให้พี่เขาติดรถไปด้วยสิ”
“เรื่องอะไรล่ะคะ อย่าไปเลย เกะกะ”
“อย่าโกรธกันให้มากนักเลย อย่างน้อยเขาเป็นพ่อของลูกเรานะ เจนโตแล้ว อายุก็ปาไปยี่สิบเจ็ดแล้ว จะทำอะไรก็คิดถึงลูกให้มากๆ เด็กควรมีทั้งพ่อและแม่นะ...น้าอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” เรไรคลี่ยิ้มให้แขกกิตติมศักดิ์ ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เรไรทานได้เพียงเล็กน้อยซึ่งกลายเป็นเรื่องปกตินับตั้งแต่สามีจากไป
กันต์ดนัยมองตามร่างที่หายลับไปกับบันไดไม้ขั้นสุดท้าย ก่อนเบือนกลับมาทางเจนนินทร์ที่มือจับช้อนค้างอยู่เช่นนั้น เขารู้ว่าเธอกำลังคิดและรู้สึกเช่นไร คำว่าเด็กควรมีทั้งพ่อและแม่ที่เรไรเอ่ยกำลังสั่นสะท้านความรู้สึกของอดีตเด็กกำพร้า แต่เหนือสิ่งอื่นใด กันต์ดนัยก็อึ้งจนใจเต้นแรงที่เรไรบอกว่าเขาเป็นพ่อของเด็ก
ใช่เขาจริงๆ เหรอ ใช่จริงๆ ใช่ไหม
“ว่าแต่...”
“ไม่สะดวกคุยค่ะ อยากทานข้าวเงียบๆ คุณเองก็รีบทานรีบกลับไปได้แล้ว” น้ำเสียงว่าขรึมดุแล้ว การที่พูดโดยไม่มองหน้าคู่สนทนาสร้างความรู้สึกเหน็บหนาวยิ่งกว่ายืนบนผืนน้ำแข็งกลาเซียร์
กันต์ดนัยอึดอัดราวกับทรวงอกถูกทับถมด้วยเศษใบไม้แห้งสิบชั้น ราวกับหัวใจเต็มไปด้วยลมอึงอล ความรู้สึกมันคละเคล้ากันหลากหลาย
เขาอยากโกรธเจนนินทร์ มันควรจะเป็นเขาที่โกรธ เธอนอกใจ เธอมีอะไรกับคนอื่น แต่ทำไมถึงทำเหมือนเขาผิด การที่เธอท้องและหากเป็นลูกของเขาแต่กลับไม่ยอมปริปากเฉลย ก็ควรเป็นเขาอีกหรือเปล่าที่โกรธ
แต่นี่การกระทำของเธอ ทั้งคำพูดคำจาแสนห่างเหิน ท่าทีที่ราวกับอยากร้องไห้เสียเต็มแก่มันทำให้เขาอึดอัดปนไปกับความรู้สึกผิด
ทั้งสองรับประทานอาหารกระทั่งท้องอิ่ม กันต์ดนัยอาสาล้างจาน ส่วนเจนนินทร์เมื่อเช็ดโต๊ะจนสะอาดก็หยิบยาบำรุงครรภ์มาทานต่อ ร่างสูงคอยชำเลืองมองเป็นระยะ เจนนินทร์ดูจะรักใคร่สิ่งมีชีวิตในครรภ์อย่างแท้จริง สองมือบอบบางคอยลูบสัมผัสท้อง กลีบปากมีรอยยิ้มพลอยทำคนแอบมองยิ้มตาม กันต์ดนัยเสร็จสิ้นจากการล้างจานแล้วจึงผละมาหาเธอ
“ตกลงเด็กในท้องเป็นลูกของพี่ใช่ไหม”
ฝ่ามือแม่ชะงักบนหน้าท้องนูน ใบหน้าไร้เครื่องสำอางแต่สวยสะคราญไม่สร่างซาช้อนมองเขาเรียบนิ่ง สีหน้านั้นคนที่รู้จักกันดีเช่นเขาเข้าใจในลักษณะแววตาของเธอ...เจนนินทร์กำลังจะกวนประสาทเขา
“ใช่ก็บอกว่าใช่เถอะน่า”
“ที่นี่ผีดุนะคะ บ้านพักหลังนั้น 104 น่ะค่ะ เคยมีคนตาย เขาเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน อกหักช้ำรักและกินยาฆ่าตัวตายในห้องนอนนั้น...ฝันดีนะคะ หวังว่าพรุ่งนี้คุณจะรีบไปแต่เช้าตรู่”
พอให้คำตอบที่ห่างไกลจากคำถามเป็นร้อยเป็นพันโยชน์ก็สาวเท้าก้าวขึ้นบันได ริมฝีปากบางกรุ่นด้วยรอยยิ้มจนเกือบเป็นหัวเราะ ส่วนแขกกิตติมศักดิ์อึ้งเหวอยืนสถิตอยู่ที่เดิมราวกับต้องมนต์คำสาป
ยัยตัวแสบรู้ดีว่าเขากลัวผีแค่ไหน อยู่ในระดับที่เรียกว่าแทบขึ้นสมองเลยก็ว่าได้ เมื่อหกปีก่อนกันต์ดนัยเคยเล่นหนังผี ผ่านมาจนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่องนั้นที่แสดงเลย
ทิ้งระเบิดแล้วก็ไป แสบสุดๆ!