“คุณแม่คะหนูหิวน้ำ”
“น้องปิ่นฟื้นแล้ว”หญิงสาวเผยรอยยิ้มเมื่อเห็นลูกสาวฟื้น จากนั้นเธอก็ป้อนน้ำให้ลูกสาวอย่างระมัดระวัง
“คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย คุณแม่ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าเลย”
“ก็เพราะทุกคนเป็นห่วงน้องปิ่นไงคะ”
“น้องปิ่นรู้สึกปวดหัวจังเลยค่ะ”เด็กหญิงเผยสีหน้าเจ็บปวด
“ถ้ารู้สึกปวดก็นอนพักต่อนะ”
“คุณพ่อยังโกรธน้องปิ่นอยู่ใช่มั้ยคะคุณแม่”เมื่อเด็กหญิงไม่เห็นผู้เป็นพ่อเธอจึงเข้าใจว่าผู้เป็นพ่อยังโกรธอยู่ ทั้งที่ความเป็นจริงชายหนุ่มถูกกีดกันไม่ให้เข้ามาในห้อง
“ทำไมถึงคิดว่าคุณพ่อโกรธคะ”ผู้เป็นแม่ถามลูกสาวด้วยความสงสัยเพราะเธอคิดว่าลูกสาวควรเป็นฝ่ายโกรธผู้เป็นพ่อด้วยซ้ำ
“ก็น้องปิ่นทำรถคุณพ่อเปื้อน และคุณพ่อก็โกรธ”
“แต่ว่าคุณพ่อทำน้องปิ่นบาดเจ็บนะ น้องปิ่นต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายโกรธคุณพ่อ”
“คุณพ่อไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นความผิดของน้องปิ่นเอง”
“ไม่ตั้งใจงั้นหรอ?”หญิงสาวส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจกับความไร้เดียงสาของลูกสาว
“คุณปู่คะ คุณพ่อไม่ได้ตั้งใจทำน้องปิ่นเจ็บ คุณปู่อย่าดุคุณพ่อนะคะ”
“ได้สิคะ ปู่จะไม่ดุคุณพ่อของหนู”ผู้เป็นปู่รีบรับปากหลานสาวเพราะต้องการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
“สัญญานะคะ”
“ปู่สัญญา ว่าแต่เจ้าหญิงน้อยของปู่หิวหรือยังนะ?”
“ยังไม่หิวค่ะ”
“แต่ว่าน้องปิ่นไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่มื้อเที่ยงแล้วนะ และตอนนี้ก็ได้เวลาข้าวเย็นแล้วด้วยแน่ใจนะว่าไม่หิว”
“น้องปิ่นไม่อยากทานข้าว อยากพัก”
“งั้นก็พักไปก่อน ถ้าอยากทานอะไรก็บอกแม่นะคะ”
“ค่ะ”
…..
“นี่มันก็ค่ำแล้ว น้องปิ่นไม่ยอมทานอะไรเลย”ผู้เป็นแม่เผยสีหน้ากังวลเมื่อลูกสาวที่กำลังป่วยมีอาการซึมและไม่ยอมทานอะไร
“ลองให้แกได้เจอกับพ่อดีมั้ย เผื่อจะยอมทานอะไรบ้าง”หญิงสูงวัยออกความเห็น
“ไม่อ่ะ ผมไม่อนุญาตให้มันมาเจอน้องปิ่นเด็ดขาด”ส่วนผู้เป็นสามีนั้นกลับปฏิเสธเสียงแข็ง
“คุณไม่เป็นห่วงหลานเลยรึไง”
“ก็เพราะห่วงหลานไงเลยไม่อยากให้มันเข้ามา”
“คุณทำอย่างกับลูกเราเป็นบุคคลอันตราย”
“ใช่ ผมกลัวมันจะทำอะไรน้องปิ่น”
“ก็ฉันบอกไปแล้วว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุ”
“ผมไม่เชื่อแบบนั้น มันจงใจทำร้ายน้องปิ่นเพื่อต้องการเห็นเราเจ็บปวด”
“ก็หลานเป็นคนบอกเองว่าโปรดไม่ได้ตั้งใจ”
“น้องปิ่นยังเด็กและไร้เดียงสา แกไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นอะไร”
“ไม่จริง หลานเราเป็นเด็กฉลาด แกรู้เรื่องทุกอย่าง มีแต่คุณนั่นแหละที่เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่าแต่ไม่รู้เรื่องอะไร”
“นี่คุณด่าผมหรอ”
“ใช่ ที่ผ่านมาฉันอยู่ข้างคุณตลอดแต่เรื่องนี้ฉันอยู่ข้างลูก ถ้าคุณไม่อนุญาตให้โปรดเข้ามาเดี๋ยวฉันจะเป็นคนพาลูกเข้ามาเอง”พูดจบหญิงสูงวัยก็เดินออกจากห้องไป ส่วนผู้เป็นสามีที่ไม่เคยเห็นภรรยาเป็นแบบนี้มาก่อนจึงไม่กล้าขัด
“แม่นึกว่าโปรดถอดใจกลับบ้านไปสะละ”ผู้เป็นแม่ออกมาตามหาลูกชายแล้วพบว่าเขายังคงนั่งรออยู่ตรงโซฟาด้านนอกเธอจึงเผยรอยยิ้ม
“น้องปิ่นเป็นยังไงบ้างครับแม่?”ส่วนชายหนุ่มก็แสดงความเป็นห่วงลูกสาว
“น้องปิ่นฟื้นแล้ว แต่ดูซึมๆไม่ยอมทานอะไรเลย”หญิงสูงวัยเผยใบหน้ากังวล
“ความผิดผมเอง”
“ถ้ารู้ตัวว่าผิดก็ควรรีบแก้ไขและปรับปรุงตัว ไม่มีอะไรสายเกินแก้”
“แล้วจะให้ผมแก้ยังไงในเมื่อคุณพ่อปิดโอกาสไม่ให้เข้าไปเจอลูก”
“เข้าไปเถอะไม่ต้องไปสนใจพ่อ”
“แล้วพ่อจะไม่ว่าอะไรหรอครับ”ชายหนุ่มกลัวมีปัญหากับผู้เป็นพ่อจึงไม่กล้าตามผู้เป็นแม่เข้าไป
“แม่เปิดโอกาสให้ลูกแล้วนะ จะเข้าไปหรือไม่เข้าไป”
“ครับแม่”เมื่อชายหนุ่มเห็นท่าทีจริงจังของผู้เป็นแม่จึงเดินตามเข้าไป
…
“ดูสิว่าใครมาหา”หญิงสูงวัยเข้าไปหาหลานสาวพร้อมกับลูกชาย
“คุณพ่อ”ส่วนเด็กหญิงทันทีเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อก็เผยรอยยิ้ม
“ดีใจหล่าสิที่ได้เจอพ่อ”ผู้เป็นย่าถามหลานสาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ค่ะ”
“งั้นปู่กับย่าแล้วก็แม่แพทจะออกไปรอด้านนอกนะ”เนื่องจากหญิงสูงวัยรู้ดีว่าลูกชายต้องการอยู่กับลูกสาวสองต่อสองจึงพาสามีและลูกสะใภ้ออกไปรอด้านนอก
“ค่ะคุณย่า”
“เป็นยังไงบ้าง”เมื่อเหลือเพียงสองคนพ่อลูกชายหนุ่มก็รวบรวมความกล้าเข้าไปหาลูกสาวพร้อมกับชวนพูดคุย
“ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ ”
“ปวดหัวก็ต้องกินยานะ แต่ก่อนจะกินยาต้องทานข้าวก่อนไม่งั้นจะแสบท้อง”เมื่อเด็กหญิงโต้ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มชายหนุ่มจึงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น
“คุณพ่อหายโกรธน้องปิ่นแล้วหรอคะ”
“หมายถึงเรื่องรถอ่ะหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“พ่อไม่ได้โกรธ ใครจะไปโกรธลง”เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มแทนตัวเองว่าพ่อต่อหน้าลูกสาว
“แต่ว่าเมื่อเช้าคุณพ่อดูโกรธน้องปิ่นมาก”
“พ่อขอโทษนะ พ่อผิดเองที่ไม่ได้ดูรูปที่น้องปิ่นวาด แต่พอดูดีๆพ่อว่ามันสวยมากเลยนะ”
“คุณพ่อพูดจริงหรอคะ”
“พูดจริง เพราะพ่อไม่ได้ล้างออก”
“แล้วคุณพ่อไม่กลัวมันจะสกปรกหรอคะ?”
“ถ้ากลัวสกปรกพ่อก็ล้างออกไปแล้วสิคะ และที่พ่อไม่ล้างออกก็เพราะชอบรูปที่น้องปิ่นวาด”
“งั้นไว้น้องปิ่นหายดีแล้วจะไปวาดให้อีกนะคะ”เด็กหญิงพูดออกไปด้วยความไร้เดียงสาส่วนผู้เป็นพ่อที่ได้ยินดังนั้นก็หลุดขำ
“ไม่ดีมั้ง ถ้าอยากวาดรูปวาดในกระดาษดีกว่าและอย่าหาวาดรถของคนอื่นนะคะ”
“ก็ตอนนั้นน้องปิ่นวาดในกระดาษแล้วคุณพ่อฉีกทิ้ง ดังนั้นน้องปิ่นเลยไปวาดที่รถแทน”คำพูดของลูกสาวทำเอาผู้เป็นพ่อจุกอกจนพูดไม่ออก
“พ่อขอโทษนะต่อไปพ่อจะไม่ทำแบบนั้นอีก”ผู้เป็นพ่อรู้สึกผิดต่อการกระทำของตัวเองที่ผ่านมาจึงขอโทษลูกสาวทันที
“คุณพ่อคะน้องปิ่นไม่อยากหาย น้องปิ่นอยากอยู่ที่นี่นานๆ”
“ทำไมน้องปิ่นถึงพูดแบบนั้นคะ มันไม่ดีนะรู้มั้ย”
“ก็น้องปิ่นอยากเห็นคุณพ่อเป็นแบบนี้นานๆ น้องปิ่นกลัวว่าถ้ากลับไปบ้านแล้วคุณพ่อจะไม่เป็นแบบนี้อีก”
“ไม่เอา ไม่คิดแบบนั้น”
“คุณพ่อต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่กลับไปเป็นเหมือนตอนนั้นอีก”
“พ่อสัญญา และถ้าน้องปิ่นหายดีแล้ว เราจะได้อยู่ด้วยกันทุกที่ที่น้องปิ่นอยากไป”
“คุณพ่อไม่ได้โกหกใช่มั้ยคะ”
“ไม่โกหก พ่อสัญญา”
“ค่ะ น้องปิ่นจะรีบหายไวๆนะคะ”
“ถ้าอยากหายไวๆก่อนอื่นต้องทานข้าวเยอะๆ แล้วก็ต้องทานยาด้วย”
“ค่ะ น้องปิ่นจะทานข้าวเยอะๆ แต่คุณพ่อต้องทานเป็นเพื่อนน้องปิ่นด้วย”
“ตกลง”
ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถเอาชนะใจลูกสาวภายในระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมง
ตลอดระเวลากว่าสองสัปดาห์ที่เด็กหญิงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เป็นช่วงระยะเวลาที่เด็กหญิงนั้นได้รับความรักความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะมีผู้เป็นพ่อคอยเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหาย
“วันนี้น้องปิ่นจะนอนกับคุณพ่อ”พูดจบเด็กหญิงก็เดินถือตุ๊กตาตัวโปรดออกจากห้องไป นั่นจึงทำให้ผู้เป็นแม่ต้องนอนคนเดียวในค่ำคืนที่เงียบเหงา”
“ก๊อกๆๆๆ คุณพ่ออยู่ในห้องมั้ยคะ ”
“ว่าไงคนสวยของพ่อ”ชายหนุ่มที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จแต่ยังไม่ได้แต่งตัวและนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวพันรอบเอวออกไปเปิดประตูห้องทันทีที่ได้ยินเสียงเล็กๆของลูกสาว
“น้องปิ่นขอนอนด้วยได้มั้ยคะ”
“ได้สิคะ”
“แล้วให้คุณแม่มานอนด้วยได้มั้ยคะ น้องปิ่นกลัวคุณแม่เหงา”
“แต่พ่อว่าเรานอนกันสองคนอ่ะดีแล้ว ให้แม่ได้มีเวลาส่วนตัวบ้าง”
“น้องปิ่นแค่อยากนอนกับคุณพ่อคุณแม่เหมือนกับที่เรานอนด้วยกันที่โรงพยาบาล”
“ตามใจน้องปิ่นเลย”
“งั้นหนูไปตามคุณแม่นะคะ”เด็กหญิงเดินกลับไปยังห้องตัวเองอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันได้เข้าไปในห้องของผู้เป็นพ่อ จากนั้นไม่นานเด็กหญิงก็กลับมาพร้อมผู้เป็นแม่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มในขณะใบหน้าของผู้เป็นแม่แลดูอึดอัดเล็กน้อย
“น้องปิ่นขอนอนตรงกลางนะคะ”พูดจบร่างเล็กก็ปีนขึ้นไปนอนกลางเตียงกว้าง ส่วนหญิงสาวและชายหนุ่มต่างทำเมินใส่กัน
“วันนี้น้องปิ่นอยากให้ใครเล่านิทานให้ฟังเอ่ย”ชายหนุ่มถามลูกสาวในขณะที่สายตานั้นจ้องมองภรรยาที่กำลังยืนถือหนังสือนิทาน
“อยากให้คุณพ่อเล่านิทานค่ะ เพราะคุณแม่เล่าเยอะแล้ว”เด็กหญิงบอกความต้องการของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าคำตอบที่ไร้เดียงสานั้นทำเอาผู้เป็นพ่อพอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ในทางกลับกันผู้เป็นแม่กลับเผยสีหน้าที่แลดูน้อยอกน้อยใจ
“ผมรู้นะว่าคุณแกล้งหลับ”หลังจากที่ชายหนุ่มเล่านิทานจนลูกสาวตัวน้อยนั้นหลับไป เขาก็หันไปคุยกับแม่ของลูกที่นอนหลับตาอยู่ข้างๆลูกสาว
“ฉันไม่ได้แกล้งหลับ แค่ยังหลับไม่สนิท”หญิงสาวตอบกลับชายหนุ่มในขณะที่ยังคงหลับตา
“ผมว่าคุณนอนไม่หลับมากกว่า ถ้ารู้สึกอึดอัดมากจะกลับไปนอนที่ห้องตัวเองก็ได้นะเพราะลูกหลับแล้ว”
“อืม”พูดจบเธอก็ค่อยๆลุกจากเตียงกว้างจากนั้นก็เดินออกจากห้องไปด้วยความโล่งอก