บทที่7

1259 Words
เพียงไม่นานหลงจู๊ก็รีบร้อนออกมาพร้อมเสี่ยวเออร์ แล้วให้สองพี่น้องเดินตามเข้าไปด้านในของร้าน "พวกเจ้าหาสิ่งนี้จากที่ใด" จือลู่จ้องมองหลงจู๊นิ่งแต่ไม่พูดออกมา หนิงเฉิงก็เช่นกัน หากเพียงแค่ดูจากท่าทางที่ตื่นเต้นของหลงจู๊ก็รู้ว่าของที่นำมาขายได้ และต้องได้ราคาที่ดีแน่ "เอ่อ ข้าถามผิดแล้ว พวกเจ้ามีมากน้อยเพียงใด" หลงจู๊เปลี่ยนคำถามเสียใหม่เมื่อเห็นสีหน้าของสองพี่น้องที่ดูจะไม่พอใจ แม้จะอยู่ในชุดปะชุน แต่ท่าทางของทั้งคู่ก็ทำให้เขามิอาจดูแคลนได้ "อยู่ที่ท่านว่าให้ราคาที่ดีเพียงใดเจ้าค่ะ" "ดีดีดี ไหนข้าขอดูเสียหน่อย" ชายชราหนวดขาวท่าทางทรงภูมิตบมือขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดที่แสนฉลาดของจือลู่ สองพี่น้องรีบลุกทำความเคารพและแนะนำตัวทันที "ไม่ต้องมากพิธี เจ้านำออกมาให้ข้าตรวจสอบเสียหน่อย" เขาโบกมือเพื่อให้ทั้งคู่นั่งลง หนิงเฉิงจึงนำถังเช่าในตอนแรกที่ตนส่งให้เสี่ยวเอ้อส่งให้ชายชราดู ท่านหมอโยวเมื่อหยิบถังเช่าที่หนิงเฉิงส่งมาให้ก็อดจะแปลกใจไม่ได้ ถังเช่าที่มีขนาดใหญ่ วิธีการเก็บก็สมบูรณ์ในสองคนนี้ต้องมีคนใดที่รู้วิธีเก็บเป็นแน่ แล้วยังทำความสะอาดมาเรียบร้อยแล้วด้วย "พวกเจ้ารู้วิธีเก็บ" เขาเงยหน้าขึ้นมาจากกองถังเช่า แล้วเอ่ยถามสองพี่น้อง "ข้าเพียงรู้มาเล็กน้อยเจ้าค่ะ ไม่กล้ารับคำชมของท่านหมอ" จือลู่ก้มศีรษะลง หมอโยวมองสองพี่น้องอย่างพิจารณา ใบหน้าของจือลู่เข้ารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกแต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคุ้นเคยเช่นไร "ท่านรับซื้อหรือไม่ขอรับ" หนิงเฉิงที่เห็นสายตาของท่านหมอโยวจับจ้องพี่สาวของตนอย่างพิจารณาก็เอ่ยขัดขึ้น "ซื้อ ซื้อ เจ้ามีมากเพียงใด" "ท่านซื้อเท่าใดเจ้าคะ" จือลู่ยังยืนยันว่านางต้องการที่จะฟังราคาก่อน "ข้าให้ชั่งละหนึ่งพันตำลึง" จือลู่ขมวดคิ้วคิด นางจับมือหนิงเฉิงที่ใต้โต๊ะเพื่อไม่ให้เขาแสดงอาการ (1=ชั่ง=500กรัม) หนึ่งชั่งหนึ่งพันตำลึงเท่ากับหนึ่งกิโลกรัมสองพันตำลึง จือลู่นางจึงหยุดคิด "เช่นนั้น หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงทอง เจ้าพอใจหรือไม่" หมอโยวรีบเพิ่มราคาเมื่อเห็นว่าจือลู่เหมือนจะหยุดคิด แต่ที่จือลู่กำลังคิดคือทั้งหมดที่นางนำมาจะขายได้มากเพียงใด นางไม่คิดว่าหมอโยวจะพูดถึงหนึ่งพันตำลึงทองไม่ใช่ตำลึงเงิน ได้ราคาเพิ่มเช่นนี้ใครจะไม่สนใจ แต่ตอนนี้หนิงเฉิงนั่งนิ่งเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว "พอใจเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านหมอที่เมตตา" จือลู่ดึงหนิงเฉิงให้ลุกขึ้นขอบคุณท่านหมอโยว หนิงเฉิงที่เพิ่งจะได้สติจึงได้นำถังเช่าออกมาจากทั้งสองตะกร้าวางลงบนโต๊ะต่อหน้าท่านหมอและหลงจู๊ ทั้งสองตกตะลึงสิ่งของที่หายากแต่สองพี่น้องหามาได้มากมายขนาดนี้ "พวกเจ้า พวกเจ้า ช่างเป็นลูกรักสวรรค์เสียจริง" หมอโยวเอ่ยขึ้นด้วยเสียงขาดๆหายๆ หลงจู๊เรียกเสี่ยวเอ้อให้ยกถังเช่าสองถุงไปชั่ง ระหว่างที่รอหมอโยวก็สอบถามความเป็นมาของทั้งคู่ว่ามาจากที่ใด เหตุใดถึงไม่เห็นบิดามารดาของทั้งคู่มาด้วย "มารดาของพวกเจ้าแซ่จ้าวอย่างนั้นหรือ" หมอโยวถามทั้งคู่ "มีอันใดหรือไม่เจ้าคะ" จือลู่ถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่แปลกไปของหมอโยว เมื่อรู้ว่ามารดาของพวกนางมาจากเมืองหลวงและใช้แซ่จ้าว "ไม่มีอันใด คนแซ่จ้าวมีมากนักภายในเมืองหลวง" เขาจำต้องโกหกทั้งคู่เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะใช่เช่นที่พวกเขาคิดหรือไม่ "ท่านหมอโยวขอรับ สมุนไพรหนัก สิบชั่งขอรับ" จือลู่พยักหน้าอย่างชื่นชม เพราะนางก็คิดไว้ว่าคงหนักประมาณนี้ แต่หนิงเฉิงที่กำลังคำนวณว่าจะได้รับเงินมากเพียงใดก็นิ่งเฉยอยู่ เพราะเขายังคำนวณออกมาไม่เสร็จ จือลู่ที่เห็นอาการของน้องชายก็กระซิบบอกว่าทั้งหมดเป็นเงินสามหมื่นตำลึงทอง แม้จะเก็บอาการตามคำพูดของพี่สาวแต่หนิงเฉิงก็ยังมือสั่นอย่างตกใจอยู่ดี "เจ้าจะรับเป็นตั๋วเงินทั้งหมดเลยหรือไม่" หมอโยวถามจือลู่ "ข้ารับเป็นตั๋วเงินทั้งหมดเจ้าค่ะ แต่ขอตั๋วเงินร้อยตำลึงเงิน กับห้าสิบตำลึงเงินด้วยเจ้าค่ะ" เพราะนางจำต้องซื้อของกลับเรือนด้วย สองพี่น้องนั่งรอเพียงไม่นานหลงจู๊ก็นำตั๋วเงินมาส่งให้ จือลู่นำตั๋วเงินใบละห้าสิบตำลึงแยกใส่อกเสื้อนางไว้สองใบและส่งให้หนิงเฉิงสองใบ ที่เหลือยัดใส่ถุงที่นางใส่ถังเช่ามาท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน หนิงเฉิงจึงช่วยพี่สาวนำผักป่าที่นำมาด้วยวางทับไว้ด้านบน หากมองผ่านๆก็จะเห็นเพียงทั้งคู่แบกผักป่ามาขาย ทั้งสองบอกลาหลงจู๊และท่านหมอโยวก่อนที่จะเดินออกจากร้านไป หมอโยวยืนมองสองพี่น้องอย่างใช้ความคิดเขาลูบคางตนเอง แล้วเดินกลับเข้าไปที่ห้องทำงานเพื่อเขียนจดหมายส่งไปที่เมืองหลวง จือลู่เมื่อออกมาจากโรงหมอนางก็พาหนิงเฉิงเดินไปหาอะไรกิน "เฉิงเออร์เจ้าอยากกินอันใด" หนิงเฉิงดวงตาสว่างวาบแล้วชี้ไปที่ร้านบะหมี่เนื้อที่ส่งกลิ่นหอมข้างทาง "ได้" จือลู่จึงเดินพาน้องชายไปนั่งที่โต๊ะ "ท่านลุงบะหมี่เนื้อ เพิ่มเนื้อสองที่เจ้าค่ะ" สองพี่น้องกินบะหมี่เนื้อย่างอร่อย นางมองหนิงเฉิงที่กินหมดอย่างรวดเร็วก็สั่งเพิ่มให้เขาอีกหนึ่งชาม เมื่อทั้งคู่กินหมด จือลู่ก็เดินพาน้องชายไปที่ที่ว่าการเพื่อสอบถามเรื่องซื้อเรือน เจ้าหน้าที่ว่าการเห็นสภาพสองพี่น้องที่แต่งตัวไม่ต่างจากขอทานเพียงแต่สะอาดกว่าเท่านั้นก็นึกดูแคลน ยิ่งจือลู่บอกว่านางจะมาสอบถามเรื่องเรือนที่ขายในเมือง เจ้าหน้าที่ด้านหน้าก็พากันหัวเราะอย่างขบขัน และไล่สองพี่น้องออกจากที่ว่าการไป จือลู่มองพวกเขาอย่างแค้นใจ พรุ่งนี้นางจะมาใหม่ แล้วจะซื้อจวนหลังใหญ่กลับไปด้วย จือลู่จึงดึงมือน้องชายไปที่ร้านขายผ้าแทน ร้านแรกที่นางไม่เข้าไปเพราะเสี่ยวเอ้อหน้าร้านเหมือนจะรังเกียจทั้งคู่ นางไม่อยากให้น้องชายอับอายเช่นที่ว่าการอีกนางจึงไปร้านที่เล็กกว่า "พวกเจ้าต้องการเสื้อผ้าที่ตัดแล้วหรือต้องการผ้า" จือลู่พยักหน้าอย่างพอใจที่เห็นเสี่ยวเอ้อพูดคุยกับนางและน้องชายอย่างดี "พี่ชายข้าต้องการเสื้อผ้าที่ตัดแล้วเจ้าค่ะ" เสี่ยวเอ้อเดินนำทั้งคู่เข้าไปในร้านและส่งให้คนขายที่เป็นสตรีดูแลทั้งคู่ต่อ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD