ท่ามกลางเงามืดของแมกไม้ยามราตรีกลับปรากฏดวงตาสีแดงที่วาววับแข่งกับแสงจันทร์ มุมปากเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ เมื่อได้ยินเสียงหวานเอ่ยชื่อของตัวเองออกมาอย่างแผ่วเบา
“ผมก็คิดถึงพี่ คิดถึงจนแทบบ้าแล้ว”
เพราะร่างกายของเขาผ่านการทดลองที่แสนเลวร้ายจนก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้ว ทำให้เอสโทเพลได้ยินเสียงของเธอชัดเจนแม้จะแผ่วเบาแค่ไหนก็ตาม
สภาพเขาตอนนี้จะเรียกว่ามนุษย์ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก ทั้งพละกำลังที่เกินกว่าใครจะสามารถต้านทานได้ ทั้งรูปลักษณ์ที่มักจะโผล่ออกมายามอารมณ์อ่อนไหวจนถึงขีดสุด
ช่างดูเหมาะกับคำว่าสัตว์ร้ายมากกว่ามนุษย์ซะอีก
“อยากเข้าไปหาจังเลย....”
เอสโทเพลต้องหักห้ามใจอย่างหนักในการที่จะไม่กระโดดทะลุหน้าต่างเข้าไปหาคนตรงหน้า มันยังไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะเผชิญหน้ากัน เขาเองก็มีงานที่ยังต้องจัดการอยู่
“รออีกนิดนะพี่เจนัส ผมจะรีบมาหาพี่ให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ร่างสูงยืดตัวขึ้นก่อนจะโผทะยานไปตามกิ่งไม้ แทรกซึมตัวเองให้กลมกลืนกับความมืดจนใครก็จับสังเกตไม่ได้แล้วหายไปจากบ้านที่เจนัสพักอยู่ในพริบตา
เสียงกิ่งไม้ดึงความสนใจจากคนบนเตียงให้ลุกไปเปิดหน้าต่าง กลิ่นที่ลอยมาตามสายลมช่างคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
“แปลกจัง.....”
ตั้งแต่มาที่นี่เธอก็รู้สึกเหมือนถูกจับตามองด้วยสายตาของใครบางคน แม้จะสัมผัสไม่ได้ถึงจิตที่มุ่งร้ายแต่มันก็ชวนให้ขนลุกยังไงบอกไม่ถูก ทว่ามันก็แฝงไปด้วยกลิ่นอายที่เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
ราวกับรู้จักเป็นอย่างดี....
รอยแผลที่อกของคาลเตอร์ก็สะดุดตาเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น มันดูคุ้นยังไงพิกลเหมือนเคยเห็นมันมาก่อนเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
“ชักจะยุ่งแล้วสิ ไหนจะต้องสืบหาคนร้ายอีก”
การรักษาไม่อาจทำให้เสร็จได้ในครั้งเดียว ตัวยาที่ต้องวิจัยเองก็ต้องใช้เวลาพอสมควรถึงจะทำสำเร็จแถมยังไม่สามารถรับประกันได้ด้วยว่ามันจะได้ผลแค่ไหน เธอรู้จักตัวยาที่ทำให้ คาลเตอร์แก่ลงในไม่กี่วันดี
เธอเคยเห็นมันมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง....ในห้องใต้ดินอันหนาวเหน็บและมืดมิดยิ่งกว่าวันเดือนดับ สถานที่ที่เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องเพราะความเจ็บปวดตลอดเวลา
ห้องทดลองลับของดิสโทเปีย
สถานที่ที่ดูสวยหรูแต่เบื้องหลังกลับเน่าเฟะยิ่งกว่าสิ่งโสมมใดบนโลก
2 สัปดาห์ต่อมา
หลังจากนั้นเจนัสก็ยุ่งอยู่กับการรักษาและการคิดค้นตัวยาที่จะช่วยคาลเตอร์ เธอหมกตัวอยู่ในห้องวิจัยและออกมาแค่ตอนที่วิลสันมารับไปรักษาคนป่วยเท่านั้น
“คุณจะไม่ฝืนเกินไปใช่ไหมครับ ผมแทบไม่เห็นคุณนอนเลยนะ”
วิลสันถามขึ้นในเช้าวันหนึ่ง เจนัสดูอ่อนเพลียมากเพราะเธออดหลับอดนอนติดต่อกันหลายวันแล้ว
“ไม่ค่ะ ฉันยังไหว”
เธอตอบพลางหลับตาลง ตอนนี้คาลเตอร์อาการดีขึ้นมากแล้วแต่ยังไม่สามารถพูดคุยได้อย่างปกติ บาดแผลที่หน้าอกหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นและไม่หลงเหลือแม้กระทั่งรอยแผลเป็นเอาไว้
“แต่....ผมเป็นห่วงนะครับ”
คำพูดของชายตรงหน้าทำให้เจนัสชะงักก่อนจะลอบหายใจออกมาเบา ๆ มันกำลังเกิดขึ้นอีกแล้ว....เรื่องที่ไม่อยากเจอที่สุดกำลังเกิดซ้ำเหมือนหนังที่ถูกเล่นวนที่เดิม
“คุณวิลสัน ฉันขอบคุณที่คุณห่วงฉันแต่มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณค่ะ ขอโทษด้วย”
“.....”
ความใกล้ชิดที่เพิ่มขึ้นทุกวันทำให้เจนัสรู้ว่าวิลสันกำลังคิดอะไรอยู่ เธอเจอมันมานับครั้งไม่ถ้วนและรู้ดีว่าควรรับมือยังไง
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้ตัวก็พอ”
มันไม่ใช่ครั้งแรกที่คนใกล้ชิดดันเกิดความหวั่นไหวกับเธอแบบนี้ อาจเพราะร่างกายของเธอมีความพิเศษบางอย่างที่ดึงดูดผู้คนให้เข้าหาได้โดยง่าย รวมทั้งทำให้ตกหลุมรักด้วย.....
นั่นคือฟีโรโมนของกระต่ายที่มักหลั่งออกมาโดยไม่รู้ตัว กระตุ้นเพศผู้ให้อยากเข้าหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเธอก็ควบคุมมันไม่ได้เช่นกัน
“ผมจะจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ให้กระทบงานครับ”
“ถ้าเป็นแบบนั้นได้จะดีมากเลยค่ะ”
คำพูดของเจนัสทำให้วิลสันรู้ว่าตัวเองไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพิสูจน์ตัวเองให้เธอได้เห็น เจนัสขีดเส้นระหว่างเขากับเธอไว้อย่างชัดเจน
“ผมขอถามคำถามสุดท้ายได้ไหมครับ”
“....เชิญค่ะ”
“ทำไมถึงไม่ให้โอกาสผมเลยล่ะครับ”
“เพราะต่อให้แลกด้วยอะไรฉันก็จะไม่มีวันรักคุณค่ะ”
“.....”
เจนัสตัดสินใจพูดออกไปตามตรง ไม่ใช่เธอไม่ให้โอกาสเขาแต่รู้ว่าให้ไม่ได้ต่างหาก เธอมีสิ่งที่ต้องแบกรับหลายอย่างและไม่พร้อมให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งนั้น
พลังรักษาที่มีมาตั้งแต่กำเนิดเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา ยิ่งหลังจากถูกทดลองแล้วความแข็งแกร่งนั้นก็เติบโตแบบก้าวกระโดดจนกลายเป็นเป้าหมายของคนหลายกลุ่ม
รูปร่างที่จะเป็นสัตว์ก็ไม่ใช่ จะเป็นมนุษย์ก็ไม่เชิงยิ่งทำให้การใช้ชีวิตกับมนุษย์ทั่วไปยากขึ้นไปอีก คนแบบเธอไม่ได้การยอมรับจากผู้คนในสังคมและต้องปลีกตัวออกห่างเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
เจนัสรู้ตัวตั้งแต่ยังเด็กแล้วว่าตัวเองไม่สามารถมีชีวิตแบบคนปกติทั่วไปได้ ขนาดตอนอยู่ในฐานลับยังมีคนพยายามลอบเข้ามาลักพาตัวเธออยู่หลายหนจนท่านผู้นำต้องสั่งยกระดับความปลอดภัยครั้งใหญ่
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ตอบรับคุณไม่ได้จริง ๆ”
“ผม....เข้าใจครับ”
เจนัสยืนมองรถสีดำเคลื่อนตัวออกไปจากบ้านพักก่อนจะถอนหายใจออกมา ร่างบางเดินเข้าไปในบ้านแล้วตรงไปยังห้องนอนก่อนจะเปิดช่องลับแล้วหยิบของด้านในออกมาสวม
มันคือชุดสำหรับออกปฏิบัติการที่ออกแบบมาพิเศษโดยคนในองค์กร ตัวผ้าจะยืดหยุ่นเป็นพิเศษไม่ขาดง่ายแม้จะโดนมีดกรีดก็ตามแถมยังกลมกลืนไปกับความมืดได้อย่างง่ายดาย
“เอาล่ะ....”
เธอเหน็บมีดที่ได้รับมาจากเพื่อนที่ชื่อว่า ไคซิส ไว้ข้างกายก่อนจะแอบย่องออกจากบ้านพักไปเงียบ ๆ ข้อมูลในวันที่เกิดเรื่องกับคาลเตอร์มาถึงมือเธอแล้วและมันก็ได้เวลาที่ต้องสืบหาตัวคนทำผิดสักที
โชคยังดีที่จุดเกิดเหตุอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ไมล์นอกเมืองเวสเปอร์ หากลัดป่าไปจากทางบ้านพักของเธอก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
มือบางหยิบวัตถุทรงกลมออกมาโยนลงไปบนพื้นจนได้ยินเสียงแกร๊กเบา ๆ ตามด้วยสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นด้วยฝีมือคนในองค์กร
ยายพาหนะที่คล้ายกับจักรยานยนต์แต่ใหญ่กว่าเล็กน้อยและขับเคลื่อนได้ด้วยตนเองปรากฏออกมา มันเป็นรุ่นทดลองที่เพิ่งทำเสร็จได้ไม่นานและแน่นอนว่าคนอยากรู้อยากเห็นอย่างเจนัสย่อมอยากที่จะใช้มันด้วยตนเอง
เธอขอให้เจสเตอร์ช่วยในการนำเจ้าสิ่งนี้ออกมาและในที่สุดก็มีโอกาสได้ใช้จริงสักที ร่างบางกดหน้าจอที่เด้งขึ้นมาเพื่อตั้งค่าพิกัดที่ต้องการจะไปแล้วปล่อยให้มันพาเธอลัดเลาะไปตามผืนป่าที่มืดสนิท
“ดีกว่าที่คิดไว้แฮะ.....”
ถึงจะได้รับคำเตือนมาว่ามันยังไม่สมบูรณ์ดีเท่าไหร่แต่ดูแล้วมันค่อนข้างใช้งานง่ายเลยทีเดียว เพียงไม่ถึง 10 นาทีเธอก็มาถึงยังเขตนอกเมืองเวสเปอร์ที่เสื่อมทรามยิ่งกว่าในตัวเมืองแล้ว
“นี่มันแย่ยิ่งกว่าในกำแพงอีกนะเนี่ย....”
เธอสวมหน้ากากพร้อมกับดึงฮู้ดมาปิดหัวไว้ ผู้คนหลายสิบชีวิตนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ตามสองข้างทาง บางคนก็ตายไปแล้วและบางคนก็ใกล้ตายเต็มทีเพราะร่างกายที่ขาดสารอาหารอย่างหนัก
‘ชะ ช่วยด้วย....ใครก็ได้ฆ่าฉันที ทรมาน....’
‘ฉันไม่อยากอยู่แล้ว....หิวเหลือเกิน....’
เธอรีบเดินเร็ว ๆ ผ่านไป คนพวกนี้ไม่มีแม้แต่แรงจะยกแขนด้วยซ้ำทำได้แค่นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นเท่านั้น
“คนแบบคาลเตอร์มาทำอะไรที่นี่กันแน่....”
เพราะความเสื่อมทรามของที่แห่งนี้ทำให้เจนัสอดสงสัยไม่ได้ ว่าที่ประธานาธิบดีอย่างคาลเตอร์มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงถึงเขตนอกเมืองเวสเปอร์?
“เฮ้! แม่หนูหาอะไรอยู่หรือเปล่า?”
เธอหันไปตามเสียงเรียกและพบชายท่าทางไม่น่าไว้วางใจกำลังเดินเซเข้ามาหาพร้อมกับกลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งในอากาศ เจนัสไม่พูดอะไรแต่เธอแอบหยิบเข็มเล่มเล็ก ๆ ออกมาถือไว้ก่อนจะออกแรงดีดเบา ๆ
“ขอโทษนะ”
ทันทีที่เข็มปักเข้าผิวหนังชายตรงหน้าก็ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นด้วยท่าทีเหม่อลอย ยาที่อยู่ในเข็มทำให้คนที่โดนจะไร้สติไปชั่วครู่และทำได้เพียงตอบคำถามของเธอเท่านั้น
“เมื่อประมาณ 3 อาทิตย์ก่อนมีคนถูกทำร้ายที่นี่ บอกได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“....ถูกทำร้าย...”
“ใช่ นายรู้อะไรบ้างหรือเปล่า?”
“วันนั้น....ผมเห็นหมาป่า....”
เจนัสขมวดคิ้วเล็กน้อย ในปัจจุบันหมาป่าแทบจะสูญพันธุ์ไปแล้วเพราะผลจากการล่าของมนุษย์เมื่อหลายปีก่อน จำนวนของพวกมันลดลงอย่างรวดเร็วจนแทบหาดูไม่ได้แล้ว
ถ้ามันเป็นอย่างที่ชายคนนี้บอกเธอก็พอจะเดาได้ว่ามันมาจากไหน เพราะก่อนที่เธอจะหนีออกมาจากดิสโทเปียพวกมันกำลังล่าหมาป่ามาเพื่อทำวิจัยอยู่
“แน่ใจเหรอ”
“ครับ....มันไม่ใช่หมาป่าธรรมดาเพราะมันเหมือนมนุษย์มาก ๆ ”
“นายจะบอกว่านั่นคือมนุษย์หมาป่างั้นเหรอ?”
“....ผมคิดว่าแบบนั้น มันพุ่งเข้าใส่รถในครั้งเดียวและทำให้รถพลิกคว่ำ หลังจากนั้นก็มีเสียงคนกรีดร้อง”
“บอกจุดที่รถถูกโจมตีมา”
“ทางนั้นครับ....”