เขาชี้ไปที่ถนนข้าง ๆ เจนัสดีดนิ้วเบา ๆ และปล่อยให้ชายคนนั้นนอนแน่นิ่งลงไปกับพื้นแล้วรีบเดินไปยังทิศทางที่เขาบอก
ร่องรอยในวันเกิดเหตุยังอยู่ครบอาจเพราะว่าไม่ค่อยมีใครมาใกล้แถวนี้เท่าไหร่ ส่วนมากจะไปรวมตัวกันที่ประตูทางเข้าเมืองมากกว่าเพื่อหาทางเข้าไปด้านใน
รถที่คาลเตอร์นั่งในวันนั้นอยู่ในสภาพยับเยิน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะรอดมาได้ในสภาพที่รถเสียหายหนักขนาดนี้
“เขารอดได้ยังไงกัน!”
เธอมองซากรถอย่างอึ้ง ๆ ไหนจะตัวรถที่ถูกอัดจนบี้แบนไปเกินครึ่งและรอยกรงเล็บที่แหวกผ่านเหล็กเข้าไปหาเบาะคนนั่งจนขาดไม่มีชิ้นดี
เจนัสสำรวจรอบ ๆ อย่างตั้งใจ เธอเก็บทุกอย่างเท่าที่จะเก็บได้แล้วนำมันใส่กระเป๋าเป้ไว้ บันทึกทุกอย่างลงในนาฬิกาข้อมือและเก็บตัวอย่างของชุดที่ตกอยู่ที่พื้นกลับไปด้วย
ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบ ๆ ดูเหมือนว่าหลังเกิดเหตุแล้วจะไม่มีใครกล้าเข้ามารื้อค้นข้าวของในรถเลยแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเหมือนวันเกิดเหตุไม่มีผิดเพี้ยน
“ทำไมถึงได้คุ้นเคยขนาดนี้นะ....”
เจนัสลูบรอยกรงเล็บเบา ๆ สัมผัสที่หลงเหลืออยู่ทำให้เธอหวนนึกถึงใครบางคนที่น่าจะตายไปแล้วเมื่อ 20 ปีก่อน
สายตาเธอไปหยุดที่เส้นขนหย่อมหนึ่งที่น่าจะหลุดลงมาเพราะการต่อสู้ เท่าที่ทราบมาจากวิลสันตัวของคาลเตอร์แม้จะบาดเจ็บแต่ก็ยังสู้สุดตัว ขนพวกนี้คงร่วงมาจากตอนที่เขาพยายามสู้ยิบตา
“ขนสีดำ....งั้นเหรอ”
เธอเก็บมันใส่ซองซิปอย่างดีเพื่อนำกลับไปตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว เธอจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าจนลืมเวลาไปหมด
บรู้วววว....
เสียงหอนของหมาป่าดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาคนตัวเล็กสะดุ้งโหยงก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ มันเงียบจนน่ากลัวราวกับว่าไม่มีใครอยู่เลยนอกจากเธอคนเดียว หางตาของเธอเห็นเงาดำเคลื่อนตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ร่างบางหยิบมีดออกมาถือไว้แน่นพลางตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับเสียงที่ได้ยิน เธอค่อนข้างเสียเปรียบเพราะไม่ชำนาญพื้นที่และไม่ถนัดด้านการต่อสู้ด้วย
เจนัสก้าวถอยหลังช้า ๆ ในสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะต่อสู้เท่าไหร่นัก ทว่าเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นใจเท่าไหร่นัก ในขณะที่กำลังหันหลังเตรียมวิ่งจากไปก็ปรากฏเงาขึ้นด้านหลังพร้อมกับสติที่ดับวูบไปในพริบตา....
ปั่ก!!
“อ๊ะ.....”
เจนัสเปล่งเสียงได้แค่นั้นแล้วหมดสติลงในอ้อมกอดของหมาป่าหนุ่ม กลิ่นที่คุ้นเคยไออุ่นที่โหยหาในที่สุดก็กลับมาอยู่ในมือเขาอีกครั้ง
“ในที่สุดผมก็ได้กอดพี่อีกครั้ง”
มันเป็นไออุ่นที่เอสโทเพลต้องการมาตลอด 20 ปี บุคคลเพียงคนเดียวที่ทำให้เขายังมีสติอยู่ท่ามกลางการทดลองที่แสนโหดร้าย
“เอส นายจะทำแบบนี้จริง ๆ งั้นเหรอ”
บลูที่มาเพื่อทำภารกิจเสริมด้วยกันถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก เรื่องที่เขายึดติดกับเธอมีแค่บลูคนเดียวที่รู้เพราะที่ผ่านมาเอสโทเพลไม่เคยพูดถึงเธอและแสร้งทำเป็นลืมมาโดยตลอด
“....”
“เธอมีค่าหัวนะ องค์กรเราต้องการตัวเธอมาแค่ไหนนายก็รู้ดีที่สุด”
เขาเอ่ยเตือนหมาป่าหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวล แน่นอนว่าเรื่องที่เธอมีค่าหัวเขารู้ดีแต่ก็ไม่สามารถเอาเธอไปที่นั่นได้ ที่ที่เปรียบเสมือนนรกบนดินแบบนั้นเธอไม่ควรกลับไปอีกแล้ว
“นี่บลู....”
“หืม?”
“ขอ....แค่ครั้งเดียว อย่าแยกเธอไปจากผมเลยนะ”
เอสโทเพลเงยหน้ามองบลูด้วยสายตาเว้าวอนจนบลูถึงกับชะงัก เด็กหนุ่มที่เขาดูแลมาตั้งแต่ยังเด็กเพิ่งจะทำสีหน้าแบบนี้เป็นครั้งแรก
“.....”
“ผมรอเธอมานานแค่ไหนพี่ก็รู้”
ไม่บ่อยนักที่เอสโทเพลจะยอมเรียกเขาว่าพี่และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เอสโทเพลเอ่ยปากขอร้องเขา
“เอสโทเพล....”
“ผมต้องการเธอแค่ไหนพี่ก็รู้ เธอเป็นอย่างเดียวที่ทำให้ผมยังมีชีวิตอยู่ไม่อย่างนั้นผมคงตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
“เฮ้อ....นายทำให้ฉันลำบากใจอีกแล้วนะ”
บลูถอนหายใจออกมาพร้อมกับยกมือนวดขมับเบา ๆ เพราะที่เอสโทเพลพูดมาก็ถูกทั้งหมด ตั้งแต่เจนัสหนีออกไปเป้าหมายอย่างเดียวที่ทำให้เอสโทเพลผ่านวันที่เลวร้ายมาได้ก็มีแค่เธอเท่านั้น
“ก็ได้ งั้นก็ไปที่บ้านฉันในป่าทางเหนือแล้วกัน”
“ขอบคุณนะพี่บลู แต่ผมจะพาเธอกลับไปบ้านพักเอง”
เอสโทเพลอุ้มร่างบางไว้แนบอกก่อนจะเดินออกไปจากที่นี่โดยไม่ลืมหยิบของที่เธอรวบรวมไว้ในเป้มาด้วย แล้วมุ่งตรงไปยังบ้านพักของเธอที่เขาเคยแอบสะกดรอยตามก่อนหน้านี้ ส่วนบลูต้องอยู่เพื่อเคลียร์สถานที่เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าเจนัสมาที่นี่
“ไอ้น้องบ้า ต้องตามช่วยตลอดเลย เฮ้อออ”
ถึงจะบ่นแค่ไหนบลูก็ยังคงยอมทำตามอยู่ดี ร่องรอยทุกอย่างถูกลบหายไปไม่มีหลงเหลือ ก่อนที่เขาจะกลับไปรายงานที่ฐานลับของดิสโทเปีย
««««»»»»
หมาป่าหนุ่มวางร่างหญิงสาวลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม มือหนาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าสวยออกเบา ๆ แล้วมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก แม้จะไม่เจอกันนานถึง 20 ปี แต่เธอก็ยังสวยเหมือนตอนเด็ก ๆ ที่ได้เจอกันครั้งแรก
“ผมคิดถึงพี่ทุกวันเลยรู้ไหม....”
มือหนาไล้แก้มบางด้วยความคิดถึงก่อนจะก้มลงไปแอบหอมแก้มคนที่ยังหลับอยู่ กลิ่นกายที่ไม่ว่ากี่ปีก็ยังไม่เปลี่ยนไปทำให้เลือดในตัวเขาพลุ่งพล่านแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงหัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอก
“ผมอยากได้ยินเสียงพี่อีกครั้ง อยากคุยด้วยเหมือนตอนเด็ก ๆ แต่มันยังไม่ถึงเวลาเพราะงั้น รอผมก่อนนะ”
เขากระซิบบอกเธอเบา ๆ ก่อนจะรีบออกไปจากบ้านเพราะไม่อย่างนั้นเขาคงได้รังแกเธอทั้งที่ยังหลับอยู่แน่ ๆ
สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวเขากำลังกรีดร้องให้ครอบครองเธอเอาไว้ มันเป็นผลข้างเคียงจากการทดลองใส่ยีนส์หมาป่าลงในร่างกายและเอสโทเพลเป็นเพียงผู้ทดลองคนเดียวที่เข้ากับยีนส์นั้นได้ดีที่สุด
แม้กระทั่งเกรย์ที่เป็นลูกน้องคนสนิทของคานิกซ์และได้รับการทดลองแบบเดียวกับเขายังไม่สามารถดึงความสามารถทั้งหมดออกมาใช้ได้ แตกต่างกับเขาที่ถ้าปลดปล่อยพลังออกมาก็แทบแยกไม่ออกเลยว่าเป็นคนหรือหมาป่า
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่องค์กรพยายามที่จะดึงตัวเขาไว้ด้วยการให้สิทธิพิเศษมากมาย เอสโทเพลเป็นหน่วยล่าสังหารที่ไม่เคยทำภารกิจพลาด เขาฆ่าคนมานับไม่ถ้วนและเริ่มทำภารกิจตั้งแต่อายุยังน้อย
ชีวิตเขาผูกติดอยู่กับการฆ่าจนมันแทบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วและสิ่งที่ทำให้เขายังคงสติไว้ได้ก็มีเพียงอย่างเดียว
เจนัส ธาร์เวียร์
หญิงสาวที่ดูแลเขาตั้งแต่ 3 ขวบ คนใกล้ชิดเพียงคนเดียวที่ห่วงใยเขาอย่างจริงใจ เธอเป็นทั้งคนที่มอบชื่อและแสงสว่างในชีวิตของเขา
“อีกไม่นาน....ผมจะทำให้พี่เป็นของผม....ทั้งกายและหัวใจ พี่เจนัส....”
»»»»««««
กว่าเจนัสจะตื่นมาก็เกือบรุ่งสางแล้ว ร่างบางจับท้ายทอยที่โดนกระแทกด้วยอาการมึนหัวเล็กน้อยก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง
“ฉันกลับมาที่นี่ได้ยังไงกัน....”
กระเป๋าเป้ที่ใส่หลักฐานไว้วางอยู่บนโต๊ะทำงาน เธอไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครที่ทำให้เธอสลบไป
เจนัสเซเล็กน้อยตอนที่ก้าวขาลงจากเตียง เธอเดินไปหยิบกระเป๋ามาเช็คดูของข้างในก่อนจะเห็นกระดาษใบเล็กที่หล่นลงพื้น
มือบางหยิบมันขึ้นมาอ่านและเมื่อได้เห็นลายมือนั้นก็ทำเอาหัวใจกระตุกวูบ
‘Miss You….’
ไม่ใช่เพราะเนื้อหาที่เขียนว่าคิดถึงแต่มันคือลายมือต่างหากที่ทำเธอตกใจ ลายมือที่แสนคุ้นตาเพราะเธอเป็นคนสอนให้กับเขาเอง
ลายมือของเอสโทเพล....
“เรื่องตลกบ้าอะไรกัน....”
ดิสโทเปียไม่เคยปล่อยให้คนที่พยายามหลบหนีรอดชีวิตไปได้ ใครก็ตามที่ถูกเอาตัวกลับไปล้วนแต่มีจุดจบที่โหดร้าย ถ้าไม่ถูกทดลองจนเสียสติและกลายเป็นบ้าก็จะถูกจับขึงไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับคนที่อยากหนี เธอจึงไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้เห็นมันอีกครั้ง
“นายยังไม่ตายงั้นเหรอ!”
เธอมองไปรอบ ๆ ห้องทว่าก็ไม่พบร่องรอยของเขาอีกเลย นอกจากกระดาษแผ่นนั้น หัวใจดวงน้อยเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อได้รู้ว่าเขายังมีชีวิต
“ฉันก็คิดถึงนาย เอส....”
ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาคลอเล็กน้อย เจนัสเก็บโน้ตแผ่นนั้นใส่สมุดบันทึกเอาไว้อย่างดีก่อนจะถอดเสื้อผ้าออกเพื่อไปอาบน้ำ ร่างบางปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านตัวพร้อมกับเริ่มรักษารอยขีดข่วนตามผิวหนังพร้อมกับอาการปวดตุบ ๆ ที่ท้ายทอย
“ทำไมถึงไม่อยู่เจอกันก่อนนะ แล้วทำไมถึงพาฉันออกมาจากที่นั่นกันล่ะ?”
เธออดสงสัยไม่ได้ในการกระทำของเด็กหนุ่ม เขาทำตัวลึกลับราวกับกำลังหลบซ่อนตัวจากเธอยังไงพิกล ร่างบางยืนครุ่นคิดอยู่ใต้ฝักบัวจนเริ่มหนาวถึงได้ปิดน้ำและออกมาแต่งตัวไปรักษาคาลเตอร์ต่อ
วิลสันมารับเธอเมื่อถึงเวลา การรักษากำลังไปได้สวยร่างกายของคาลเตอร์ค่อย ๆ ฟื้นตัวและเริ่มพูดได้เล็กน้อยแม้จะยังอ่อนแรงอยู่บ้างก็ตามที ส่วนผิวหนังที่ดูเหมือนชายชราก็ยังอยู่ในสภาพเดิมเพราะขั้นตอนการทำยาแก้ยากกว่าที่คิด
“คุณวิลสันคะ”
“ครับ?”
“ช่วงนี้ฉันไม่ต้องมาดูอาการคุณคาลเตอร์ทุกวันแล้ว ยังไงรบกวนมารับแค่อาทิตย์ล่ะครั้ง ถ้ามีอะไรฉุกเฉินแค่โทรหาฉันก็พอแล้ว”
“ครับ....”
ถึงจะเสียดายที่ได้เจอกับเธอน้อยลงแต่วิลสันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับมัน วันนี้เจนัสเลยอยู่เพื่อจัดการเรื่องตารางอาหารของคาลเตอร์รวมทั้งให้คำแนะนำแก่พยาบาลที่คอยดูแลเขาด้วย
กว่าจะได้กลับมาบ้านก็เกือบเที่ยงคืน ร่างบางหอบร่างที่เหนื่อยล้าเดินฝ่าความมืดเข้าไปโดยไม่เปิดไฟก่อนจะเดินไปยังห้องนอนชั้นสองทันทีแล้วทิ้งตัวลงนอนโดยไม่ได้สังเกตรอบข้าง
วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมดวงจันทร์จนไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามาได้ กว่าจะรู้ตัวว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องก็สายไปซะแล้ว
“อุ๊บ!!!”
“ชู่ววว”
ริมฝีปากบางถูกมือหนาตะครุบไว้จนเปล่งเสียงออกมาไม่ได้ เธอดิ้นรนด้วยความตื่นตระหนก พยายามเอาตัวรอดจากมือปริศนาที่จับเธอไว้แน่น
“พี่เจนัส....”
แค่เสียงที่เรียกชื่อเธอก็ทำให้เจนัสหยุดดิ้นรนได้แล้ว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงนั้น แม้จะไม่ได้เจอกันนานแต่เธอยังจำมันได้ ริมฝีปากบางสั่นระริกจนอีกฝ่ายสัมผัสได้ เขาคลายมือที่ปิดปากออกให้แล้วสวมกอดเธอเอาไว้จากด้านหลัง
“โกหกน่า....”
เสียงหวานสั่นเครือจนเขาสัมผัสได้ ร่างบางสั่นระริกอยู่ภายใต้วงแขนแกร่งที่กอดเอาไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก
“ไม่ได้โกหกครับ ผมเอง พี่ยังจำผมได้ใช่ไหม....”
เขาเองก็เสียงสั่นไม่แพ้กับเธอระยะเวลาที่ห่างกันมันนานซะจนเขาไม่กล้าเข้าหาเธอดี ๆ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะลืมเขาไปจากความทรงจำแล้ว กลัวว่าเธอจะรับไม่ได้ที่เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดที่เอาแต่ฆ่าคน กลัว....
“ฉันจำนายได้เสมอ ไม่เคยมีสักวันที่ฉันจะลืมนายไป....”
“พี่เจนัส....”
เขาคลายวงแขนออกเล็กน้อย เจนัสพลิกตัวหันหน้าเข้าหาพร้อมกับยกแขนขึ้นโอบต้นคอแกร่งแล้วร้องไห้ออกมา คนที่เธอคิดถึงมาตลอด คนที่ภาวนาทุกวันให้เขายังมีชีวิตแม้จะรู้ว่ามันแทบเป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวของเธอเป็นจริงแล้ว....
“ฮึก เอสโทเพล ฉันคิดถึงนายมาก ๆ เลยรู้ไหม!!”