“ถ้าจ้าวสอบติด พี่อาทิตย์ต้องกลับมาฉลองกับจ้าวนะคะ”
(ได้สิครับ ถ้าสอบติด เดี๋ยวพี่เคลียร์วันว่างให้เลย)
เจ้าของใบหน้าหวานลิ้มระบายยิ้มกว้างออกมาหน้ากล้อง ออดอ้อนผู้เป็นพี่ชายที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
กลายเป็นว่าจันจ้าวในวัยสิบเก้าปีต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว ทั้งสองพี่น้องสูญเสียผู้เป็นพ่อไปด้วยโรคร้าย หนำซ้ำผู้ให้กำเนิดก็มาทอดทิ้งไปแต่งงานใหม่ ทำให้โลกทั้งใบของเธอเหลือแค่พี่ชายอย่างอาทิตย์เท่านั้นที่พึ่งพิงได้
เธอไม่เหลือใครแล้ว..
(แล้วเราทำอะไรอยู่ ยังอ่านหนังสืออยู่อีกเหรอ)
“จ้าวอ่านมาสิบชั่วโมงติดแล้วค่ะ ตอนนี้เลยว่าจะลงไปหาอะไรกินก่อน”
(พักบ้างก็ได้ ยังไงน้องพี่ก็สอบติดอยู่แล้ว)
คนปลายสายคลี่รอยยิ้มให้กำลังใจ ในขณะที่มีเสียงของหญิงสาวแทรกเข้ามา ทำให้สายตาของอาทิตย์หันไปให้ความสนใจที่คนหลังกล้องแทน
จันจ้าวหรี่ตาอย่างจับผิดพิรุธ เธอหลุดขำด้วยน้ำเสียงร่าเริง พลันใบหน้าก็เต็มไปด้วยความอยากรู้เต็มทีที่ได้ยินเสียงหญิงสาวปริศนาดังแทรกเข้ามาในสาย
“ว่าแต่พี่อาทิตย์ทำอะไรอยู่คะ แอบซ่อนสาวไว้ในห้องหรือเปล่า”
(สาวที่ไหนล่ะ พี่มาทำงาน ไม่ได้มาหาเมียสักหน่อย)
“ใครจะไปรู้ พี่ชายจ้าวเสน่ห์แรงขนาดนี้ ต้องมีสาวเข้าหาบ้างแหละ”
(ไม่มีครับ)
อาทิตย์แสร้งขำกลบเกลื่อน มือก็ถือกล้องให้เห็นแค่ใบหน้าตัวเอง ราวกับคนที่กำลังมีความลับปกปิดเอาไว้
“จ้าวไม่อยากรู้แล้วก็ได้” เธอว่าแล้วย่นปลายจมูกใส่
(ถ้างั้นพี่วางสายก่อนนะจ้าว)
“ไว้เจอกันนะคะ”
หลังจากวางสายเสร็จ เจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ หลังจดจ่อกับตัวหนังสือมานานนับสิบชั่วโมง
เป้าหมายของเด็กสาววัยแรกแย้มคือการสอบติดคณะที่ตั้งใจ เธอทุ่มเทเวลาหลายเดือนให้กับการอ่านหนังสือ เพื่อเดินทางตามความฝันที่วาดหวังไว้ให้เป็นจริง
เจ้าของร่างอรชรเดินเตาะแตะลงมาด้านล่างคอนโด ก่อนจะเงยหน้ากวาดสายตามองท้องฟ้าในยามเย็นที่ถูกฉาบด้วยสีส้มทั้งผืนด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย
เธอเงยหน้าสูดรับอากาศอันบริสุทธิ์ พลางระบายยิ้มผ่อนคลายออกมา
“ที่ไม่รับสายมุกเลย เพราะมีคนอื่นแล้วใช่มั้ย”
“ถ้าใช่แล้วเกี่ยวอะไรกับเธอ”
“มุกไม่ยอม.. เรื่องของเรามันยังไม่จบสักหน่อย มุกไม่จบ”
เสียงของคนสองคนทะเลาะกันดังแว่วมาให้ได้ยิน คนที่บังเอิญเดินผ่านมาเผลอหันไปตามต้นตอเสียงแล้วขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
ฉับพลันเรียวคิ้วที่ผูกเข้าหากันก็คลายออก เมื่อสายตาหันไปปะทะเข้ากับชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหน้า ทำเอาจันจ้าวหันรีหันขวาด้วยความทำตัวไม่ถูก
“ถ้าคุยไม่รู้เรื่องก็อย่าเพิ่งคุย”
“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เหรอคะ อย่าใจร้ายกับมุกแบบนี้ได้มั้ย”
ดวงตาคู่คมที่ดูว่างเปล่าไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมมองตรงมาที่เธอ ส่งผลให้ร่างกายชาดิกราวกับถูกฟ้าผ่าลงตรงกลางใจ ส่ายตาล่อกแล่กอย่างหาจุดวางสายตาไม่เจอ
ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด หรือมีส่วนร่วมในจุดไต้ตำตอของเขาทั้งคู่ แต่ไม่รู้ทำไมจันจ้าวถึงรู้สึกว่ากำลังถูกคาดโทษผ่านสายตายังไงยังงั้น
“ทำไมชานใจร้ายกับมุกแบบนี้”
“ข้อตกลงของเราเธอลืมหมดแล้วเหรอ”
“แต่ว่ามุก.. ฮึก มุกรักชานนะ”
สาวเจ้าทุบตีชายหนุ่มด้วยอารมณ์โมโห แต่อีกคนกลับยื่นนิ่งปล่อยให้เธอกระทำโดยไม่ตอบโต้
คนที่เผลอเสียมารยาทยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้ารีบเบนสายตาหนี พลางยกมือขึ้นเกาหัวแกรกแก้เก้อ แล้วแสร้งเงยหน้ามองฟ้าชมนกไปเรื่อยเปื่อย
ทำไมใจร้ายจัง..
ทั้งที่เห็นว่าเธอยืนร้องไห้อยู่ต่อหน้า แต่เขากลับไม่ทำอะไรเลยนอกจากยืนมองอยู่อย่างนั้น หนำซ้ำสายตายังดูเย็นชาราวกับคนที่ด้านชาทางความรู้สึกอีกต่างหาก
“เอ่อ” จันจ้าวกระอึกกระอักอยู่คนเดียว หลังแกล้งกวาดสายตามองไปรอบบริเวณ ก่อนจะพบว่าชายแปลกหน้ากำลังจ้องเธอไม่วางตา
ไม่รีรอเธอก็รีบเบี่ยงสายตามองไปทางอื่น ก่อนจะยืนหันหลังให้ หากทว่าวินาทีที่หมุนตัวเธอกลับเซเล็กน้อย พลางสะบัดศีรษะไปมาจากอาการหน้ามืดไปชั่วขณะ
ปลายเท้าเล็กก้าวถอยหลังสองสาวก้าว ฉับพลันร่างกายก็เย็นวาบขึ้นมากะทันหัน สายตาที่มองเห็นเริ่มพร่าเลือนจนสุดท้ายแข้งขาก็อ่อนแรง
ดวงตากลมโตหลุกหลิกไปมา มองหาคนที่จะขอความช่วยเหลือ แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะเปล่งแม้แต่เสียงในลำคอออกมา
“ช่วย..”
เสียงสุดท้ายมีเพียงลมพ่นออกจากริมฝีปาก ก่อนที่ทุกอย่างรอบกายจะดับวูบไปในพริบตาเดียว
ราวกับตกอยู่ในภวังค์ห้วงความฝันเพียงชั่วครู่ ทุกอย่างรอบข้างนิ่งสงบและมืดสนิท ทว่ากลับมีเสียงพูดคุยของผู้คนที่ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท ปลุกคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ให้รู้สึกตัว
เปลือกตาบางขยับเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นสู้แสงไฟสีขาวที่สาดส่องเข้ามา พลันขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นเพดานที่ไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
หญิงสาวบนเตียงค่อย ๆ กวาดสายตามองไปรอบบริเวณ ก่อนหยุดชะงักอยู่ที่ชายสวมแจ๊คเก็ตหนังสีดำที่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย
ชายแปลกหน้าที่เธอบังเอิญเห็นเขายืนทะเลาะกับผู้หญิงคนนั้น ดันเป็นคนที่พาเธอมาส่งโรงพยาบาล แถมตอนนี้เจ้าตัวก็ยังจ้องมองมาราวกับมีบางอย่างอยากจะพูดอีกต่างหาก
“ให้เรียกพยาบาลให้มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วทำท่าจะเดินออกไปเรียกพยาบาลให้ แต่ถูกเธอเรียกรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอว่าแล้วรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง ทำให้อาการปวดหน่วงที่ศีรษะเข้าเล่นงาน
“คุณหมอบอกว่าพักผ่อนน้อย ก็เลยหมดสติไป”
“ถ้าพี่อาทิตย์รู้ต้องโดนดุมากแน่ ๆ”
จันจ้าวยกมือขึ้นกุมขมับ ในหัวไล่นึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพลเมืองดีที่อุตส่าห์พาเธอมาส่งโรงพยาบาล
“แล้วดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
ระหว่างที่เธอกำลังสติแตกเพราะกลัวถูกพี่ชายดุหากรู้เข้า มือหนาก็ยื่นมือมาอังที่หน้าผากของเธอ ทำเอาเจ้าตัวชะงักงันไปชั่วขณะ พลางช้อนสายตามองชายหนุ่มด้วยสีหน้าตื่นตกใจ
“ตอนแรกเธอตัวเย็นมาก ตอนนี้ตัวอุ่นขึ้นแล้วนี่” เขาว่าแล้วถอนหายใจออกมาคล้ายว่าโล่งอก
“คะ”
“หือ”
สติอันน้อยนิดปลิดปลิวลอยไปในอากาศ เมื่อคนตรงหน้าเผยรอยยิ้มบางเบาบนมุมปาก ก่อนเขาจะชักมือกลับทันทีที่เห็นว่าเธอนิ่งไป
ครั้นเมื่อหน้านิ่งไร้ซึ่งรอยยิ้ม ในดวงตาของเขาดูดุร้ายราวกับสัตว์ป่า แต่เมื่อครู่ที่ได้เห็นรอยยิ้มแต่งแต้มประดับไว้ มันช่างแตกต่างจากตอนที่เขาตีหน้าขรึมอย่างกับคนละคน
รอยยิ้มแบบนั้นมันเปลี่ยนโลกได้เลย..
“ว่าแต่ไปทำอะไรมา”
“คะ”
“เธอดูอายุยังน้อยอยู่เลย ทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองป่วย”
จันจ้าวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองเขาที่นั่งชวนคุยอย่างเป็นกันเอง ขัดกับภาพที่เธอได้เห็นเขาก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
“พอดีกำลังเตรียมตัวอ่านหนังสือก่อนสอบค่ะ ต้องเข้ามหาลัยให้ได้ก็เลยไม่มีเวลาพักผ่อน”
“แต่ถ้าป่วยขึ้นมาก็ไม่คุ้มนะ”
“ก็จริงค่ะ นี่ครั้งแรกเลยที่เป็นแบบนี้”
คนบนเตียงพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเปรยยิ้มติดเกรงใจพร้อมกับค้อมศีรษะขอบคุณคนตรงหน้า
“ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ได้พี่.. ฉันแย่แน่”
“ไม่เป็นไร ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก”
พูดจบประโยคเขาก็คลี่รอยยิ้มส่งให้อีกครั้ง พลันเสียงรอบข้างก็เงียบสนิท เมื่อทั้งคู่เลื่อนสายตาขึ้นสบประสานกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ฉับพลันหญิงสาวก็ยิ้มเจื่อนรีบเบนสายตาหนีไปทางอื่น แต่ก็ไม่วายสัมผัสได้ว่าถูกอีกคนจ้องไม่วางตาอยู่ดี
นี่เขาคงไม่ได้จะหาเรื่องเธอหรอกใช่มั้ย..
แค่เพราะบังเอิญเห็นทั้งคู่ทะเลาะกันแล้วดันไปสบตากับเขาพอดี อันที่จริงก็อยากบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ แต่ใจเจ้ากรรมดันสั่นระรัวอยู่ในอกจนพูดไม่ออก ก่อนที่เสียงริงโทนเรียกเข้าจะดังแทรกขึ้นมาช่วยชีวิตเธอไว้ได้ทัน
เกือบกลั้นหายใจจนหมดลมแล้ว
ชายร่างสูงใหญ่ราวหนึ่งร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตรลุกขึ้นยืนเต็มความสูง บนใบหน้าที่ดูดีราวกับพระเจ้าทรงปั้นทำให้จันจ้าวเผลอมองเขาทุกอิริยาบถอย่างลืมตัว
เรียวคิ้วเข้มเรียงสวยได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่มสีระเรื่อน่าสัมผัส หากทว่าดวงตาคมคายกลับดูดุดันและน่าค้นหาในคราวเดียวกัน
ภาพโดยรวมดูดีเหมือนไม่มีอยู่จริง..
เขาหยิบมือถือขึ้นมาดูครู่หนึ่ง ก่อนจะปัดหน้าจอทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อหนังยื่นไปให้ตรงหน้าแทน
“รับไปสิ”
“คะ”
“เผื่อร่างกายต้องการของหวาน”
พูดจบคนบนเตียงก็หลุบตามองของในมือเขา มันคือลูกอมรสหวานสีสันสวยงาม ทำเอาเจ้าของแก้มขาวคลี่ยิ้มออกมาเหมือนเด็กน้อยที่ดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่
“แล้วเราชื่ออะไรนะครับ จะได้เรียกถูก เผื่อได้เจอกันอีก” เขาเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าตั้งใจฟัง หลังคนตรงหน้ารับขนมในมือไปอย่างว่าง่าย
แค่ได้ลูกอมต้องยิ้มหวานขนาดนั้นเลยหรือไงกัน..
“คะ เอ่อ จ้าวค่ะ จันจ้าว” เธอตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม แม้จะไม่รู้ความหมายกับคำว่าเจอกันอีกก็ตาม
เจ้าของใบหน้าคมคายกระตุกยิ้มบนมุมปาก คล้ายว่าพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับมา
“แล้วพี่ล่ะคะ ชื่ออะไร”
“ชาน”
“ชาน..”
“ชานชวินทร์”