“แน่ะ! พูดเสียย่าดูแก่ไปเลย” คุณหญิงช่อทิพย์ขำกับคำว่า คนสมัยก่อน ของหลานชายนัก
“ผู้หญิงสุภาพเรียบร้อย อ่อนหวานนิ่มนวลก็ดีนะครับ เป็นแม่บ้านแม่เรือนก็ดี หรือจะเป็นสาวเก่ง สาวมั่นก็ได้ ทำงานเก่งไม่แพ้ผู้ชายผมก็ไม่เกี่ยงครับ แต่ถ้าพูดอะไรคิดอะไร ตามกันไปหมด ไม่มีคิดเป็นของตัวเอง ไม่รู้จักแสดงความคิดเห็นหรือโต้แย้ง อันนี้ไม่ไหวครับ” ทัศกรวิจารณ์ตามตรง เขาไม่ค่อยชอบคนไม่มีความคิดหรอกนะ ดูยังไงก็น่าเบื่อน่ารำคาญเสียยิ่งกว่าอะไร
กานพลูได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากคุณหญิงช่อทิพย์ และอีกคนหนึ่งซึ่งเธอไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจเธอด้วยก็คือทัศกร เขาแวะมาเยี่ยมย่าของเขาก็มักจะซื้ออาหารบำรุงสำหรับหญิงตั้งครรภ์มาให้เธอเสมอ หญิงสาวรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่ก็คิดปลอบใจตัวเองว่าเขาเอ็นดูเธอเพราะเธอเป็นเด็กในอุปการะของคุณหญิงช่อทิพย์ ถ้าเธอไม่ได้เป็นคนของคุณย่า เขาก็คงไม่ทำแบบนี้
เธอกินอาหารบำรุงที่ทัศกรซื้อมาให้ทุกอย่าง แม้จะอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตาม เธอไม่รู้ว่าเขาซื้อเองหรือให้คนของเขาซื้อให้ แต่อย่างไรเขาก็ยังใส่ใจเสมอ
ทัศกรมาเยี่ยมย่าของเขาในวันหนึ่ง เป็นวันที่กานพลูเจ็บท้องคลอดพอดี และเป็นเขาเองที่พาเธอไปส่งโรงพยาบาลเข้าห้องคลอดในวันนั้นพอดิบพอดี
กานพลูให้กำเนิดลูกสาว หน้าตาน่ารักน่าชัง แต่พอจะกรอกข้อมูลเรื่องพ่อของเด็ก คุณหญิงช่อทิพย์ก็แกล้งทำหน้าสลด
“ลูกของแม่กานต์น่าสงสาร เกิดมาไม่มีพ่อ” ท่านพูดกับหลานชาย ทัศกรฟังแล้วก็รู้สึกสงสาร
“ผมรับยายหนูเป็นลูกบุญธรรมนี่จะได้ไหมครับ” แม้ไม่เคยได้เห็นหน้ากันก่อน แต่เขาก็รู้สึกเอ็นดูกานพลูอยู่มาก คำพูดนั้นทำให้คุณหญิงช่อทิพย์กะพริบตาปริบๆ ไม่คาดคิดว่าหลานชายจะพูดเช่นนั้น
“เอาสิ ย่าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง” คุณหญิงช่อทิพย์ไม่คัดค้าน กลับรีบสนับสนุน ท่านมีความสุข แม้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่เต็มอก แต่พูดไม่ได้ จริงๆ ท่านอยากจะบอกความจริงกับทัศกรเสียให้รู้แล้วรู้รอด หลานชายของตนรักและเอ็นดูกานพลูเสียขนาดนี้ ถ้าบอกความจริงไป ยังไงทัศกรต้องรับผิดชอบ แต่ก็เอาเถอะ เพราะท่านเคยรับปากเด็กในอุปการะเอาไว้แล้ว จึงไม่อยากผิดคำพูด
กานพลูรู้ว่าทัศกรรับบุตรสาวของตนเป็นบุตรบุญธรรมก็น้ำตาซึม เธอรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ตื้อในอกไปหมด จนพูดไม่ออก ยกมือไหว้เขากับคุณหญิงช่อทิพย์ปรกๆ
“ดูสิเด็กคนนี้ ขี้แยเสียจริง เราน่ะไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ เป็นแม่คนแล้วต้องเข็มแข็ง อดทนและมีความรับผิดชอบ”
“ค่ะคุณท่าน” กานพลูรู้สึกตื้นตันจริงๆ เธอเองไม่รู้ว่าถ้าทัศกรรู้ความจริงว่าลูกของเธอคือลูกของเขาจริงๆ เขาจะทำหน้ายังไง แต่เธอไม่อยากคิดอะไรให้มากมายไปกว่านี้แล้ว
คุณหญิงช่อทิพย์จัดการเรื่องการตั้งชื่อให้เหลน โดยตั้งชื่อว่าทัดดาว ไม่มีใครขัดอะไรและทุกคนก็เห็นว่าเพราะดี คล้องจองกับพ่อบุญธรรมเสียเหลือเกิน
“นี่คุณรับลูกของนาง เอ๊ย! กานพลูเป็นลูกบุญธรรมเหรอคะ” แขนภาถามเสียงสูง เธอรู้สึกทะแม่งๆ เหลือเกิน คิดว่าคุณหญิงช่อทิพย์ต้องมีแผนการอะไรเป็นแน่
“ครับ เห็นหน้ายายหนูครั้งแรกแล้วรู้สึกถูกชะตา ผมเอ็นดูกานพลูเขาด้วย”
“เอ็นดูเหมือนน้องสาวหรือคิดอะไรกับแม่นั่นกันแน่คะ” แขนภาหาเรื่อง เธอหงุดหงิดทีพักนี้เขาเข้ากรุงเทพฯ บ่อย เพื่อไปหายายเด็กที่เป็นลูกบุญธรรม ดูเหมือนพักหลังมานี้ เธอไร้ความสำคัญในสายตาของเขาโดยสิ้นเชิง
“อย่าหาเรื่องผมหน่อยเลย”
“แล้วมันจริงไหมล่ะคะ คุณชอบมัน มองมันตาไม่วาง ไม่คิดอะไรกับมันแล้วจะไปหามันทำไม ไปรับลูกมันเป็นลูกตัวเองทำไม”
“แข... ผมว่าคุณชักจะมากเกินไปแล้วนะ”
“ไม่มากหรอกค่ะ แขเห็นว่าคุณมองมันไม่วางตา ตั้งแต่แรกที่มันมากับย่าของคุณ คุณต้องคิดอะไรกับมันแน่ๆ ใช่ไหม บอกแขมานะ”
“นี่คุณ ผมว่าคุณสงบสติอารมณ์เสียบ้างนะ ผมแค่เอ็นดูกานพลูเขาเหมือนน้องสาว และสงสารที่เด็กไม่มีพ่อ เลยรับเป็นพ่อให้เท่านั้นเอง” เขายอมรับว่าถูกชะตากับเด็กหญิงทัดดาวเหลือเกิน ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
“มันไปท้องกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ทำเป็นหงิมๆ เรียบร้อย คงไปให้ใครทับมาจนป่อง แล้วมาบีบน้ำตาเรียกร้องความสนใจ คุณกับย่าของคุณโดนมันหลอกแล้วล่ะ”
“ผมรู้ดีว่าผมทำอะไรอยู่ แต่คุณนี่สิ รู้ตัวหรือเปล่าว่าทำอะไรอยู่” ทัศกรถามเสียงกร้าว เขามองแขนภาตั้งแต่หัวจรดเท้า คนมีชนักปักหลังเริ่มร้อนตัวเพราะตัวเองก็ทำความผิดเอาไว้
“คุณหมายความว่ายังไงคะ”
“กับไอ้วินนี่ถึงไหนกันแล้วล่ะ ไม่สิ... ต้องถามว่าเอากันวันละกี่ครั้งล่ะ ถึงได้ร้องครางเสียงดังขนาดนั้น” แขนภาอ้าปากค้าง เธอไม่คิดว่าทัศกรจะรู้เรื่องนี้ เขาไม่ค่อยอยู่ไร่ ไปกรุงเทพฯ ออกบ่อย บ้างก็ไปต่างจังหวัด เขางานยุ่งขนาดนี้ รู้ได้ไงว่าเธอทำอะไร หรือมีใครไปฟ้อง
“คุณพูดเรื่องอะไรคะ แขไม่เห็นเข้าใจเลย” แขนภาเดินหนี หันหลังให้ทัศกร สีหน้าซีดเผือก ดวงตาหลุกหลิก สมองขบคิดว่าจะทำอะไรยังไงดี จะหาคำแก้ตัวเช่นไรดี
“นึกว่าผมเป็นควายหรือยังไง ผมไม่ใช่ควาย คุณควรจะเก็บข้าวของออกไปจากบ้านของผมได้แล้ว อย่าให้ผมต้องสมเพศเวทนาคุณไปมากกว่านี้เลย”
“ภูเขา คุณจะไล่แขออกไปแบบนี้เลยเหรอคะ” แขนภาตกใจเมื่อโดนไล่แบบไม่ไว้หน้า
“ผู้หญิงแบบคุณหาได้ถมเถไป เยอะแยะมากมายเสียจนเกลื่อน แต่เอามาเป็นแม่ของลูกน่ะคงไม่ไหว” เขามองหน้าเธออย่างรังเกียจ
“นี่คุณ!!!” แขนภาโกรธจนหน้าซีดสลับแดง เธอโดนเขาสลัดทิ้งเหมือนรองเท้าเก่าๆ คู่หนึ่ง
“ไปเถอะแข ผมจะให้คนเก็บของให้คุณเอง”
“คุณจะทำแบบนี้กับแขไม่ได้นะ” แขนภาเดินตามทัศกร กระชากมือเขาเพื่อต้องการจะคุยกันให้รู้เรื่อง เขาปลดมือเธอออกอย่างสุภาพ
“แล้วจะให้ผมทำยังไง ไอ้วินมันบอกเองว่าไม่เอาคุณน่ะ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุยกับมันได้ ลองไปคุยดู เผื่อมันจะยกย่องคุณเป็นเมีย นอกจากเอาฟรีๆ”
แขนภาฟังแล้วอยากจะกรีดร้องให้ลั่น เธอกระทืบเท้าเร่าๆ ยามรักทัศกรดูเป็นผู้ชายน่ารัก แต่พอเขาหมดรัก เขาดูร้ายกาจ คำพูดคำจาฟังแทบไม่ได้ แต่เธอรู้ว่าคนอย่างเขา พูดคำไหนเป็นคำนั้น เขาไล่เธอก็หมายความว่า... ถึงเธอจะคุกเข่าอ้อนวอนแค่ไหน เขาก็ไม่สนใจไยดีอีก ที่สำคัญคือเขาเป็นคนโมโหร้าย แม้ภายนอกจะดูว่าเขาใจดี ตอนที่เขาเอาใจใส่ต่อคุณหญิงช่อทิพย์หรือแม้แต่กานพลูนั่นคือความน่ารักของเขา แต่ถ้าเขาโมโหขึ้นมา ทุกคนจะรู้ว่าเขาเป็นเช่นไร เพราะทัศกรเป็นคนรักแรงเกลียดแรง คุณหญิงช่อทิพย์เองก็เถอะ ถ้าทัศกรถูกปลูกฝังมาให้เกลียด เขาก็เกลียด แต่บิดามารดาของเขาไม่ทำเช่นนั้น ไม่เช่นนั้น อย่าหวังเลยว่าคุณหญิงช่อทิพย์จะได้มาเหยียบไร่แห่งนี้เลย
“ใครกันล่ะคะที่เหมาะสมจะเป็นแม่ของลูก นางกานพลูน่ะเหรอ” เธอไม่จำเป็นต้องพูดจาดีอีกแล้ว เธอเองไม่ได้ชอบขี้หน้ากานพลูนักหรอก
“กานพลูเขายังดีกว่าคุณ ท้องเพราะไม่ได้ตั้งใจ แต่คุณนี่!!!” เขามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาของเขาทำให้แขนภาร้อนวูบไปทั้งร่าง
“เหอะ! ได้ฉันแล้วจะเขี่ยทิ้งง่ายๆ เหรอ ไม่มีทางเสียหรอก” แขนภาไม่ยอมง่ายๆ เขาจะไล่เธอเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้ได้อย่างไรกัน
“แสนหนึ่ง”
“คุณไม่สามารถซื้อฉันได้ด้วยเงินหรอกนะ”
“สองแสน”
“คุณดูถูกฉันมากไปแล้วนะ ผู้ชายก็เหมือนกันหมด เห็นผู้หญิงเป็นแค่เครื่องระบายอารมณ์ พอเบื่อแล้วก็จะเขี่ยทิ้ง”