"นั่นมึงไปโดนแมวที่ไหนข่วนปากมาวะ"
เซเวียร์ที่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัวชั้นใต้ดินหัวเราะขบขันเมื่อเห็นเพื่อนเดินเข้ามา มองดูปากที่ช้ำเลือดของเจคอบก็พอรู้ว่าสาเหตุคงไม่ใช่แมว
แต่น่าจะเป็นเมียเก่า...
ร่างกำยำนั่งลงที่โซฟาตัวตรงข้ามด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจุดบุหรี่สูบเงียบ ๆ ไม่พูดจา
เซเวียร์ยักไหล่แล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ก่อนจะเอ่ยถาม
"จะให้กูเอายังไง...มายน่ะ"
เจคอบตวัดสายตามองเพื่อนเล็กน้อย สูดกลิ่นไอบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งก่อนพ่นออกมายาว ๆ คล้ายครุ่นคิด
"มึงก็รู้อยู่แล้วว่ากูต้องการอะไร"
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยือกเย็นของเพื่อนตอบมาแบบนั้น เซเวียร์ก็ยิ้มมุมปาก
"ได้ จัดให้"
สองคนรู้ได้โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก ทว่าแวบนึงเจคอบก็นึกอะไรขึ้นได้ ตวัดสายตามองเพื่อนเล็กน้อย
"เมื่อกี้ในห้องมึงได้..."
"กูยังไม่ได้แตะต้องเด็กเก่ามึงแม้แต่ปลายเล็บ" เซเวียร์เอ่ยสวนทันที รู้ทันว่าเจ้าที่แถวนี้แม่งแรงฉิบหาย
เจคอบไม่ได้ตอบอะไร สีหน้าเขายังราบเรียบทว่าเซเวียร์ก็เห็นว่าแววตาของเขาแสดงความเบาใจลง
โธ่ ขนาดกับเพื่อนมันยังกลัวจะคาบเมียเก่าไปแดก
เซเวียร์ได้แต่ส่ายหน้า
นี่ขนาดมีสถานะแค่ผัวเก่าเขายังหวงขนาดนี้
ถ้าได้เป็นผัวอีกรอบไม่ต้องพูดถึง
วันต่อมา
ร่างบางในเสื้อเชิ้ตสีขาวและกระโปรงเหนือเข่าสีดำ สะพายกระเป๋าข้างสีครีมเรียบง่าย ผมสีดำมัดรวบไว้เรียบร้อย เธอเดินลงจากรถแท็กซี่แล้วตรงมาที่หน้าตึกบริษัท
มารีนอยู่ในช่วงทดลองงาน ซึ่งมันเป็นงานแรกหลังเรียนจบ แม้เมื่อคืนจะเกิดเรื่องราวต่าง ๆ แต่เธอก็เลือกที่จะมาทำงานตามปกติ เพราะถึงแม้จะเป็นช่วงทดลองงาน แต่บริษัทก็มีค่าตอบแทนให้
ทว่าวันนี้...
"เข้าไม่ได้ครับ" พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนเดินมาห้ามเธอทันที
มารีนตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดเรื่องเข้าใจผิดใดขึ้นหรือไม่
"ทำไมคะ"
"มีคำสั่งว่าคุณมารีนพ้นสภาพพนักงานของบริษัท คุณห้ามเข้าครับ"
นี่มันเรื่องบ้าอะไร
หรือเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน ที่เธอโดนลากให้ไปนั่งดื่มเลี้ยงฉลองกับคู่ค้าที่ไนต์คลับ แต่จู่ ๆ หัวหน้างานกลับเนียนลวนลามเธอ แล้วยายแฟนสาวของฝ่ายนั้นก็ตามมาหึงหวง ทะเลาะวิวาทกับเธอจนวุ่นวาย
แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นนอกเวลางาน อีกอย่างเธอไม่ผิดจะมาทำแบบนี้กับเธอได้อย่างไร
มารีนตั้งใจจะเข้าไปในบริษัทให้ได้ ต้องการคุยกับเชนให้รู้เรื่อง แต่ไม่ทันจะได้โต้เถียงอะไร เชนก็เดินเข้ามาพอดี
"มารีน"
"คุณเชนคะ นี่ไล่ดิฉันออกได้ยังไงคะ เรื่องเมื่อคืนดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด"
ชายหนุ่มได้แต่หลบหน้าหลบตาพนักงานสาว เขาเองก็ไม่ได้อยากไล่เธอออก เขาออกจะชอบเธอไม่น้อย แต่เมื่อคืนนี้ที่เขาและแฟนสาวถูกแยกห้องไป มีคำสั่งจากคนที่มีอิทธิพลบางคนบอกอ้อม ๆ ให้เขาเลิกยุ่งกับเธอ อีกทั้งยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องการสื่อให้เขาบีบเธอออก
"มารีน ขอโทษด้วย แต่ผมจำเป็นต้องให้คุณออก ทางไนต์คลับที่เกิดเรื่องวุ่นวายเมื่อคืนเขาจะเอาเรื่องหากคุณไม่ชดใช้ค่าเสียหาย"
มารีนได้ฟังก็ถึงกับขมวดคิ้ว แล้วทำไมเซเวียร์ถึงมาไล่บี้ค่าเสียหายกับเธอคนเดียวกันเล่า
เขาจงใจชัด ๆ
"คุณกลับไปเถอะ เรารับคุณเข้าทำงานอีกไม่ได้จริง ๆ"
มารีนยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ เชนก็รีบเดินเข้าตึกไปทันที หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ เธอรู้ว่าเป็นใครที่อยู่เบื้องหลัง
ไม่มีประโยชน์ใดที่จะอยู่ต่อ อย่างไรบริษัทนี้ก็ไม่สามารถรับเธอเข้าทำงานได้อีก หากเป็นคำสั่งของคนเหล่านั้น เป็นใครก็ต้องถอย
พวกคนเลว...
หญิงสาวเดินหลบออกมาแล้วมานั่งอยู่ที่ป้ายรถโดยสาร เธอนั่งคิดอะไรไปเรื่อยว่าจะเอาอย่างไรดี ตอนนี้สถานการณ์ในชีวิตของมารีนค่อนข้างตึงเครียด ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครรู้ว่าเธอลำบากแค่ไหน เธอต้องแบกรับอะไรบ้าง
เธอจะขาดรายได้ตอนนี้ไม่ได้
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเรียกให้เธอหลุดจากภวังค์ความคิดชั่วขณะ มารีนมองเบอร์ในหน้าจอก่อนรีบกดรับ
"ว่ายังไงแพร"
มารีนฟังคนปลายสายไม่นาน สีหน้าของเธอก็หม่นลง
"เดี๋ยวพี่จะรีบไปนะ วันนี้พี่ว่างพอดี" เธอตอบไปแบบนั้น ไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าโดนไล่ออก
เมื่อวางสายมารีนก็รีบเรียกรถโดยสารและตรงไปที่โรงพยาบาลทันที
สองฝีเท้าวิ่งสลับเดินมาที่ตึกผู้ป่วยในโรงพยาบาล ครั้นเข้ามาถึงพื้นที่ภายในที่เงียบสงบ หญิงสาววัยยี่สิบก็ลุกขึ้นมาหาเธอทันทีที่เห็นหน้า
"พี่มาย"
"ลุงพงษ์เป็นยังไงบ้าง" มารีนถามออกไปด้วยความเป็นห่วง เห็นสีหน้าของแพรไหมมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่ก็ยิ่งทำให้ใจไม่ดี
"เข้าไอซียูอีกแล้วค่ะ"
คำตอบนั้นทำให้มารีนยิ่งรู้สึกบีบคั้นในใจ
พงษ์เทพเป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวของเธอที่เหลืออยู่ บิดามารดาของมารีนเสียไปนานแล้วตั้งแต่มัธยม พงษ์เทพเป็นพี่ชายของพ่อเธอ เขาเป็นลุงของเธอ เป็นบุคคลที่คอยช่วยเหลือเลี้ยงดูเธอมาตลอดเหมือนพ่อแท้ ๆ ส่วนแพรไหมคือลูกสาวของเขา
มารีนรักและห่วงใยทั้งคู่เพราะพวกเขาคือครอบครัว
โรคที่ลุงของเธอเป็นนั้นเกี่ยวกับโรคตับ แม้จะผ่าตัดมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ก็ต้องเฝ้าดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด ค่าดูแลนั้นไม่ใช่น้อย ๆ
ตัวของแพรไหมเองก็ยังเรียนมหาวิทยาลัยแค่ปีสอง แม้หล่อนจะช่วยแบ่งเบาด้วยการทำงานนอก แต่แน่นอนว่ามันไม่พอ
คนที่คอยประคับประคองทุกอย่างคือเธอ
"ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวลุงจะต้องดีขึ้น" เธอปลอบใจคนที่อ่อนวัยกว่าอย่างอ่อนโยน
แพรไหมมองหน้ามารีนแล้วพยักหน้า เธอเองก็ไม่อยากให้มารีนกังวลไปมากกว่านี้ แม้จะเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกันและเธออ่อนกว่ามารีนเพียงสามปี แต่แพรไหมก็รักและเคารพมารีนมาก
ที่ผ่านมาก็เพราะมารีน พงษ์เทพพ่อของเธอจึงยังรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
เธอเองก็ไม่รู้ว่ามารีนทำเช่นไรถึงจ่ายค่ารักษาพยาบาลครั้งใหญ่ในอดีตได้ มารีนไม่ยอมบอกแพรไหมหรือใครจนถึงทุกวันนี้
ไม่ว่าเธอจะถามอย่างไร มารีนได้แต่เก็บงำทุกสิ่งไว้กับตัว
"พี่มายไม่ทำงานเหรอคะวันนี้ แพรเฝ้าพ่อเองก็ได้ วันนี้แพรไม่มีเรียนค่ะ"
มารีนได้แต่ยิ้มบางเบาให้เด็กสาว เธอไม่อยากบอกว่าตอนนี้เธอถูกไล่ออก มารีนได้แต่คิดหาทางแก้อยู่ในใจ เธอรู้ว่าตอนนี้ยอดค่ารักษาของลุงเธอนั้นพุ่งขึ้นและทบกันเรื่อย ๆ
"เดี๋ยวพี่ก็จะไปแล้วล่ะ แค่ลามาครึ่งวัน" ตัดสินใจบอกไปแบบนั้นให้คนที่เป็นเหมือนน้องสาวสบายใจ
มารีนตั้งใจจะไปคุยกับใครบางคนเพื่อคลี่คลายปัญหานี้
"พี่มายไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้ามีอะไรแพรจะโทรบอกนะ"
"อืม" เธอยิ้มตอบแพรไหมด้วยสีหน้าอ่อนโยน ก่อนจะเดินปลีกตัวออกมาจากบริเวณนั้น
อยู่ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ สิ่งที่เธอต้องทำคือหาเงิน
เงินเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
หญิงสาวเดินออกมาจนถึงโซนด้านล่างของโรงพยาบาล มีร้านกาแฟและร้านขนมตั้งอยู่ พลันสายตาก็เหลือบเห็นใครบางคนพอดี เขาหยิบกาแฟจากเคาน์เตอร์เสร็จก็หันมาเห็นเธอ สายตานั้นดีใจอย่างปิดไม่มิด
"มาย" แพทย์หนุ่มวัยยี่สิบแปดเดินเข้ามาหาหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม
"พี่ภู"
"มาเยี่ยมลุงพงษ์เหรอ" ภูริชเอ่ยถามด้วยรู้สาเหตุที่เธอมา
"ค่ะ"
เขาเจอเธอครั้งแรกก็ตอนที่หญิงสาวมาเฝ้าผู้ป่วยสูงวัยอย่างพงษ์เทพ ครั้งแรกที่เจอกันจำได้ว่ามารีนยังเป็นนักศึกษา แววตาและรอยยิ้มที่เธอมีทำให้เขารู้สึกประทับใจตั้งแต่แรกเห็น แม้ภูริชจะไม่ใช่แพทย์เจ้าของไข้ของลุงเธอ แต่ก็คอยช่วยประสานงานในเรื่องต่าง ๆ ให้เสมอ ความสนิทมีมากขึ้น
ทว่าเรื่องเดียวที่เขายังเข้าไม่ถึงคงเป็นเรื่องของใจ
ทำอย่างไรมารีนก็ยังคงมีกำแพงขวางกั้น แต่เขาก็ไม่ได้ละความพยายาม คิดว่าสักวันเธอคงยอมเปิดใจให้เขาสักนิด
"พี่คอยเฝ้าดูอาการตลอด ไม่ต้องห่วงนะ"
มารีนยิ้มเล็กน้อยด้วยขอบคุณความหวังดีและมีน้ำใจของเขา
"ขอบคุณค่ะพี่ภู"
"แล้วนี่จะกลับแล้วเหรอ" เห็นเธอกำลังจะเดินออกไปเขาก็พอเดาได้
หญิงสาวพยักหน้าให้เขาเป็นคำตอบ นั่นทำให้ภูริชเสียดายไม่น้อย
"ดื่มกาแฟกันหน่อยไหม"
"ไม่ดีกว่าค่ะ มายมีเรื่องต้องไปจัดการอีก ไว้วันหลังนะคะ" เธอตอบอย่างเกรงใจ
ภูริชไม่คิดเซ้าซี้ เขาไม่อยากทำให้เธอรำคาญใจ
"ได้สิ แต่วันหลังมายห้ามปฏิเสธนะ"
"ค่ะ"
เมื่อได้ยินแบบนั้นคุณหมอหนุ่มก็ยิ้มยินดี และก่อนจะปล่อยเธอจากไป ภูริชยังขอเดินไปส่งเธอที่หน้าโรงพยาบาล แม้มารีนจะเกรงใจแต่เขาก็ยืนยันจะเดินไปส่งเธอให้ได้ หญิงสาวจึงไม่อยากขัด
"มีใครมารับไหม"
"ไม่หรอกค่ะ มายเรียกแท็กซี่ไปเอง"
"เสียดาย ถ้าพี่ไม่ติดงานพี่ไปส่งมายแล้ว" ถ้าเป็นช่วงเลิกงานแน่นอนว่าเขาจะอาสาไปส่งเธอแน่นอน
ภูริชเสียดายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อไม่ได้เห็นว่ามีผู้ชายคนไหนมารับเธอ เขาก็เบาใจลง
ไม่นานรถแท็กซี่ก็เข้ามาจอด
"มายไปก่อนนะคะ"
"ครับ แล้วเจอกันใหม่นะ"
ภูริชจัดการปิดประตูให้เธอและโบกมือลาเล็กน้อย เมื่อรถลับสายตาไปเขาจึงกลับเข้าไปในโรงพยาบาล
ไม่มีใครรู้...ว่ามีรถหรูคันหนึ่งจอดดูเหตุการณ์อยู่ที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล สายตาของคนผู้นั้นจับจ้องทุกการกระทำของคนทั้งคู่อยู่เงียบ ๆ
ภาพเบื้องหน้าที่คุณหมอหนุ่มหน้าตาดียืนอยู่ข้างกายมารีน ทำให้อารมณ์ของเขาคุกรุ่นขึ้น ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาดั่งเช่นทุกวัน ทว่านัยน์ตาสีเทากลับเจือไปด้วยโทสะบางอย่าง
เจคอบคีบบุหรี่เข้าปากช้า ๆ อีกมือเคาะเป็นจังหวะเบา ๆ อยู่ที่พวงมาลัยรถยนต์ คล้ายกับกำลังครุ่นคิดพร้อมระงับจิตใจให้สงบ
การที่เห็นผู้ชายคนอื่นยิ้มให้เธอหวานเยิ้ม มองคนที่เคยเป็น 'ของเขา' อย่างปรารถนา มันทำให้ชายหนุ่มอยากจะลุกไปฆ่าใครสักคนก็ว่าได้
มารีนแค่เคยเป็นของเขาแล้วอย่างไร
เป็นแค่อดีตแล้วอย่างไร
เจคอบก็ถือว่าเธอเป็น 'ของเขา' อยู่ดี
"แล้วเจอกันมาย"
รอยยิ้มของเขากดลงที่มุมปากเพียงนิด แววตาลุ่มลึกลงในขณะนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
"ฉันรับรองว่ารอบนี้...เธอคงไม่ได้เดินหนีออกมาง่าย ๆ แบบครั้งที่แล้วแน่"