ตอนที่ 5
อยากเจอลูกเสือ ต้องเข้าถ้ำเสือ
เราสองคนเดินมาถึงหน้าประตูผับ ซึ่งมีพี่การ์ดตัวใหญ่หน้าตาน่ากลัวยืนคุมอยู่ด้านนอก
“ขอดูบัตรประชาชนด้วยครับ” เราสองคนมองหน้ากันก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบบัตรประชาชนยื่นให้ เขาดูเพียงเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองหน้าเราอีกครั้งราวกับไม่อยากจะเชื่อสายตา
“เชิญครับ” เมื่อเขาอนุญาตเราสองคนก็เดินเข้าไปด้านในทันที
“หน้าเด็กฉิบหาย กูก็นึกว่ายังไม่ถึงสิบแปด” ถึงแม้เราจะเดินเข้ามาด้านในซึ่งได้ยินเสียงดนตรีดังออกมาเป็นระยะ แต่กลับได้ยินเสียงของพวกเขาทั้งสองคนได้ชัดเจนเต็มสองหู
“การ์ดที่นี่นินทาลูกค้าเหมือนกันนะ” ปั้นแป้งหันหลังไปมองที่พวกเขายังยืนอยู่ก่อนจะเอียงหน้าเข้ามากระซิบกระซาบ แต่บอกเลยว่ามันไม่ได้เข้ามันมาในหัวสมองของฉันแม้แต่น้อย
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ นั่น! เป้าหมายของเราอยู่บนนั้น” ฉันชี้นิ้วขึ้นไปไปยังชั้นบนที่จำได้ว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนั้นมีสามีทิพย์อย่างอี้เฉินอยู่บนนั้น
“แล้วทำยังไงเราถึงจะได้ขึ้นไปบนนั้น” ปั้นแป้งมองหน้าฉันนิ่งอย่างต้องการคำตอบ
“ฉันก็ไม่รู้ว่ะ” และปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเข้ามาในสถานที่แบบนี้ในเวลาเปิดทำการ ถ้าไม่นับรวมกับการมาเป็นแม่บ้านเมื่อช่วงสายก็เรียกได้ว่าเป็นการมาสถานที่อโคจรครั้งแรก
“แกไม่เคยมาบ้างเลยหรอ” ฉันหันไปเอ่ยถามเพื่อนที่ยืนตัวสั่นเป็นลูกนก และทันทีที่ฉันถามออกไปเธอก็ส่ายหน้าแทบจะทันที
“ถ้าไม่ติดว่าแกเป็นคนชวนฉันมา แกคิดว่าคนอย่างฉันจะเข้ามาในที่แบบนี้หรอ คนก็เยอะน่าอึดอัดแกดูดิกลิ่นอะไรบ้างก็ไม่รู้” ปั้นแป้งทำหน้าอี๋พร้อมกับจับแขนของฉันเอาไว้เอาไว้ก่อนจะดันไปยังโต๊ะที่ว่าง
“ไปนั่งตรงนั้นกัน” เราสองคนเดินมายังโต๊ะที่ยังว่างอยู่ เมื่อนั่งลงก็มีพนักงานเดินเข้ามาพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้
“รับอะไรดีครับ” น้ำเสียงที่นุ่มทุ้มไพเราะหูทำให้ฉันสองคนมองหน้ากันก่อนจะยิ้มให้เขา นอกจากน้ำเสียงของเขาที่ดูละมุนแล้วใบหน้าของเขาจัดว่าดูดีมากเลยทีเดียว
“น้ำส้มค่ะ” ปั่นแป้งรีบเเจ้งความประสงค์ ทำให้บริกรคนนั้นขมวดคิ้วแต่ก็ส่งยิ้มหวานให้เธอพร้อมกับหันมาทางฉัน
“คุณผู้หญิงล่ะครับรับน้ำส้มเหมือนกันไหม” ฉันมองหน้าของเขาก่อนจะคิดอยู่เพียงครู่เดียว
“เหมือนกันค่ะ”
“คุณสองคนเป็นผู้หญิงที่แปลกดีครับ รอสักครู่นะครับ” เขาเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะเดินกลับไปเพียงครู่เดียวก็เดินกลับมาพร้อมน้ำส้มสองแก้ว
“ได้แล้วครับน้อส้มสองแก้ว” ฉันส่งยิ้มให้และเห็นว่าบริกรคนนี้ยังยืนอยู่ที่เดิม
“ไอ้แป้งทำไมเขาไม่ไปวะ” ฉันตะแคงข้างไปหาเพื่อนก่อนจะกระซิบกระซาบด้วยความสงสัย
“นั่นดิหรือว่าเขาจะถูกใจแก” แล้วก็เป็นปั้นแป้งเองที่หันมากระซิบกระซาบบอกฉัน
“ไม่ใช่มั้งฉันว่าเขาสนใจแกว่ะ” เราสองคนหันหน้ามองมองกัน ก่อนจะหันไปมองที่บริกรคนนี้อีกครั้ง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันตัดสินใจเอ่ยถามและเขาเองก็ยิ้มหวานให้ฉันก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
“รบกวนลูกค้าชำระเงินให้เราด้วยนะครับ” เขาเอ่ยออกมาเพียงแค่นั้นก่อนจะยื่น QR Code ให้เราสแกน ฉันทำได้แค่ยิ้มแห้งให้ก่อนจะล้วงหยิบมือถือขึ้นมา แล้วก็ไม่พูดตั้งแต่แรก
“นายไปเถอะของสองคนนี้ฉันจ่ายเอง” เราสองคนหันไปมองผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามานั่งโซฟาตรงข้าม ฉันรู้สึกว่าตัวเองคุ้นหน้าคุ้นตาผู้ชายคนนี้เป็นอย่างมากแต่กลับนึกไม่ออก
“ขอบคุณค่ะ.. ว่าแต่คุณเป็นใครคะ” และเพราะความปากไวของฉันนั่นเองที่ทำให้เอ่ยถามเขาออกไป แต่ผู้ชายคนนี้กลับไม่ตอบอะไรฉันเลยตั้งแต่มานั่ง เพราะเขาเอาแต่นั่งจ้องหน้าปั้นแป้งไม่หยุด
“ไอ้แป้งแกรู้จักหรอ” ฉันเอียงคอไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนอีกครั้งและสังเกตได้เลยว่าปั้นแป้งนั้นนั่งตัวแข็งทื่อ แข็งในชนิดที่ว่าเธอแทบจะไม่หายใจ
เพี๊ยะ!
“ไอ้แป้ง! หายใจดิ” มือข้างหนึ่งฟาดลงไปที่ไหล่ของเพื่อน จะเรียกว่าเบาก็ไม่เบาจะเรียกว่าแรงก็ไม่แรง จนมันหันมามองหน้าฉันพร้อมกับหายใจหอบถี่
“ห๊ะ” มันมองหน้าฉันด้วยท่าทางตลกก่อนจะหันไปมองหน้าผู้ชายที่นั่งจ้องหน้ามันอยู่
“ฉันถามแกว่าแกรู้จักผู้ชายคนนี้หรอ” และเน้นย้ำคำพูดของตัวเองพร้อมทั้งใช้นิ้วชี้ไปที่เขา ที่ยังคงเอาแต่จ้องหน้ามันไม่กะพริบ และดูเหมือนว่าท่าทางของเขาจะอารมณ์เสียไม่น้อย
“อ๋อ..”
“กลับบ้าน” ยังไม่ทันที่ไอ้แป้งจะได้ตอบอะไร ผู้ชายคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เรียกได้ว่าทำให้บรรยากาศรอบตัวมันดูอึดอัดและกดดัน
“ยังไม่กลับ” สองมือเล็กของเพื่อนเอื้อมมาจับที่แขนฉันเอาไว้แน่น ก่อนจะตอบผู้ชายคนนั้นออกไปด้วยท่าทางสั่นเครือ
“เฮ้อ.. คิดได้ไงถึงมาที่แบบนี้” ผู้ชายคนนี้ถอนหายใจออกมาก่อนจะลดความกดดันรอบตัวด้วยการหันไปกวักมือเรียกบริกร ฉันได้ยินเขาสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชื่อแปลก ๆ แต่สำหรับฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร แม้แต่ในเวลานี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร
“ไอ้แป้ง.. ตกลงผู้ชายคนนี้แกรู้จักหรอ”
“อือ”
“เขาเป็นใคร พี่ชายแกหรอ”
“อือ.. พี่ชาย”
“พี่ชายกับผีอะดิ! เธอพูดอีกทีดิปั้นแป้งฉันเป็นอะไรกับเธอนะ ตอบให้ดี เพราะถ้าไม่ดีเธอรู้ใช่ไหมว่าจะเจออะไร” ฉันรู้สึกว่าเราสองคนนั้นกระซิบเสียงเบามาก แถมด้านในนี้ก็มีแต่เสียงดนตรีดังลั่น ไม่รู้เลยว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ยินที่เราคุยกัน
ยิ่งไปกว่านั้นสังเกตได้เลยว่าอาการของผู้หญิงข้างฉันนั้นตกใจทุกครั้งที่เขาตะคอกใส่ และนั่นก็ทำให้ฉันไม่ชอบใจเอามาก ๆ เขามีสิทธิ์อะไรมาตะคอกเพื่อนฉัน
“แล้วตกลงคุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาตะคอกเพื่อนฉันแบบนี้ ทำไม! เป็นพ่อมันหรอ” และไม่รู้ว่าเพราะห่วงเพื่อนหรือเพราะไมม่รู้คำตอบสักที อารมณ์ตอนนี้เลยขึ้น ๆ ลง ๆ นิดหน่อย
“นอกจากตาจะไม่ดีแล้ว เธอนี่ยังปากไม่ดีด้วยนะ” ฉันขมวดคิ้วกับสิ่งที่เขาพูดและมีความรู้สึกว่าเหมือนกับว่าฉันเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนนั่นเป็นเรื่องจริง แต่ไม่ว่าจะนึกยังไงกลับนึกไม่ออก
“คนที่ปากไม่ดีนั่นมันนายต่างหาก คนบ้าอะไรเอาหมาไปไว้ในปากเยอะขนาดนี้”
“ขนมผิง!!” ฉันตกใจมากที่เขานั้นรู้จักชื่อฉันทำให้ฉันหันกลับไปมองที่เพื่อนทันที ทางด้านปั้นแป้งเองก็หันหันมามองหน้าฉันด้วยรอยยิ้มแห้งที่ไม่ค่อยดีนัก
“ทำไมเขา.. เขาถึงรู้จักฉันวะ แกไปเล่าอะไรให้เขาฟังปะเนี่ย”
“คนนี้ชื่อคูเปอร์.. เป็นนักศึกษาแพทย์”
“ปากหมาขนาดนี้อะนะเป็นนักศึกษาแพทย์ ตลกและไอ้แป้ง”
“จริง ๆ”
“เดี๋ยวก่อนนะคูเปอร์หรอ..”
ฉันหันกลับไปมองผู้ชายหัวเทาคนนี้อีกครั้งด้วยสายตายากจะคาดเดาก่อนจะหันมามองเพื่อนที่ยิ้มเจื่อนให้กับฉัน
“คูเปอร์.. ไอ้คนที่หล่อนักหล่อที่กำลังจีบแกหรอ”
“ใช่! แล้วทำไม” และทันทีที่ได้ยินคำถามของฉัน ไอ้คนที่นั่งนิ่งก็หัวมาตอบด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด
“หุบปากไปเลยไม่ได้คุยกับนายสักหน่อย มารยาทอะรู้จักไหม”
“ปากดีจริง ๆ เลยนะเธอเนี่ย” ถึงแม้ว่าเขาจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ยอมเงียบแต่โดยดี ก่อนจะนั่งกระดกเหล้าโดยไม่ได้สนใจอะไรพวกเราอีก
“แกพาเขามาทำไม” เมื่อเห็นว่าเขาเงียบแล้วจึงหันไปกระซิบถามเพื่อนอีกครั้ง แต่สายตายังคงจดจ้องไปที่เขาไม่กะพริบ
“ฉันไม่ได้พาเขามา เขามาเอง”
“พวกเธอกำลังนินทาอะไรฉันอยู่ อยากรู้อะไรก็ถาม” เขานั่งใช้แผ่นหลังพิงไปที่พนักโซฟาก่อนใช้มือขยี้เส้นผมสีเทาควันบุหรี่ของตัวเองอย่างคนไม่สบอารมณ์
“นายมาทำอะไร” ในเมื่อให้ฉันถาม คนอย่างขนมผิงไม่มีอยู่แล้วที่จะเกรงกลัว
“มาตามเมีย มีคนพาเมียฉันมาใจแตก”
“คูเปอร์!” ปั้นแป้งตวาดเสียงแหลมทำให้ฉันหันไปมองเพื่อนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ไอ้แป้ง! นี่แกกับไอ้หมอนี่ไปถึงไหนแล้วเนี่ย” ฉันสังเกตได้เลยว่าอาการของเพื่อนค่อนข้างจะกลัวผู้ชายคนนี้อยู่นิดหน่อย และปกติแล้วปั้นแป้งเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมีปากมีเสียงอะไรสักเท่าไหร่ และไม่มีในหัวสมองเลยว่าเธอจะมารู้จักกับผู้ชายคนนี้ได้ยังไง
“ไว้เรื่องของเธอสองคนฉันจะมาสอบถามทีหลัง แต่ว่าวันนี้ฉันมีภารกิจ ว่าแต่นายมาก็ดีฉันจะได้วางใจฝากนายดูเพื่อนของฉันด้วยนะ”
“จะไปไหนก็ไปเหอะ” ฉันว่าฉันก็คุยกับผู้ชายคนนี้ดีแล้วนะ แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกว่าคำพูดคำจาของเขามันค่อนข้างจะไม่ค่อยเข้าหูเลยสักนิดก็ไม่รู้
“อย่าให้ฉันมีโอกาสนะ ฉันจะยุเพื่อนฉันให้เลิกกับนายซะให้เข็ด คอยดู!”
“เธอกล้าหรอ!” ฉันเห็นใบหน้าของผู้ชายคนนั้นที่ทำหน้าดุใส่ฉันแต่สำหรับคนอย่างขนมผิงแล้วเรื่องแค่นี้ไม่ได้ระคายผิวเลยแม้แต่น้อย บอกไว้เลยขนมผิงหน้าด้านมากพอย่ะ
“ถ้าอย่างนั้นแกอยู่กับหมอนี่ก่อนนะฉันขอแวบไปดูข้างบนก่อน” มือข้างหนึ่งของฉันตบไหล่ของเพื่อน ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วโบกมือให้เธอก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวให้กับผู้ชายตรงข้าม
อาศัยจังหวะที่คนกำลังพลุกพล่านเดินมายังบันไดที่จะขึ้นไปชั้นสอง แต่เหมือนสถานที่แห่งนี้จะเข้มงวดอยู่มากเพราะทันทีที่เดินมาถึง ก็เห็นการ์ดหน้าเข้มสองคนยืนเฝ้าหน้าบันไดเอาไว้
“จะไปไหนครับ” หนุ่มฉกรรจ์คนซ้ายเอ่ยถามพร้อมกับยกมือขึ้นมาขวางเมื่อเห็นฉันนั้นทำท่าจะก้าวขึ้นไปด้านบน
“เอ่อ.. จะขึ้นไปชั้นบนค่ะ” ฉันทำใจสู้เสือบอกเขาออกไปด้วยน้ำน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเป็นปกติที่สุด
“ไม่ทราบว่าใครเรียกครับถึงจะขึ้นไปด้านบน” คราวนี้เป็นหนุ่มฉกรรจ์คนด้านขวา เขาเองก็เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับมองหน้าฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ภายใต้แว่นตาสีดำแต่ฉันรู้ได้เลยว่าผู้ชายคนนี้กำลังหรี่ตามองฉันอยู่แน่นอน ขนมผิงรู้ขนมผิงเรียนมา!
“คือ..” ฉันอึกอักเพราะว่าไม่รู้ว่าผับแห่งนี้จะเข้มงวดขนาดนี้ หรือว่าปกติแล้วทุกผับก็จะเข้มงวดแบบนี้กันนะ
“คุณต้วนค่ะ! คุณต้วนเรียกฉันมา” เพราะว่าไม่รู้จะพูดอะไรในเมื่อผับนี้เป็นของผู้ชายที่ชื่อต้วนและก็เป็นคนเดียวที่ฉันจำชื่อได้หากใช้ชื่อเจ้าของผับละก็ ผู้ชายสองคนนี้อาจจะไม่ยุ่ง
“นี่น้องสาว.. จะโกหกก็ให้เนียน ๆ หน่อย โกหกไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะ คุณต้วนไม่มีทางมีสเปคเหมือนลูกแมวข้างทางอย่างนี้แน่นอน กลับไปซะ!”