“ลองเป็นเมียสักครั้งดูก่อนเผื่อติดใจ”
คีตาตอบโต้กลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าหมั่นไส้พร้อมเอนกายพิงหลังไปกับเก้าอี้ทำงาน เรื่องรสนิยมส่วนตัวของฉันเขานั้นรู้ดียิ่งกว่าใคร ด้วยความที่เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่จำความได้ เห็นแต่หน้าคีตาอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต
ทั้งการไปเรียนตั้งแต่อนุบาลจนมหาวิทยาลัยจนตอนนี้ที่เราต่างมีหน้าที่ที่ต้องดูแลสานต่อจากพ่อแม่ ก็ยังไม่รอดพ้นที่จะมาเจอหน้ากันอีก ถ้าถามว่าฉันเบื่อขี้หน้าเขาไหม… ที่สุด!
“หยุดกวนประสาทแล้วเซ็นเอกสารสักทีได้มั้ยคีตา” เพราะการที่จะทำอะไรสักอย่างภายในเกาะเอสเนอร์จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีลายเซ็นผู้บริหารทั้ง 4 ครบทุกคน อีกสองคนไม่เคยมีปัญหากับฉันหรอกยกเว้นก็แต่คนที่กำลังยื้อเวลาอยู่ตรงหน้าในตอนนี้นี่แหละ
“จะรีบไปไหนนักหนา”
“จะได้ออกไปจากที่นี่ แล้วจะได้ไปเรียกพยาบาลมาต่อไง” ไม่รู้ว่าทำไปถึงไหนต่อไหนแต่ดูจากอารมณ์ของคีตาในเวลานี้ไม่เห็นจะแสดงความหงุดหงิดออกมาแม้แต่นิดเดียว หรือว่า… สร้างสถานการณ์เพราะชีวิตมันสงบสุขเกินไปเลยอยากโดนด่า
“หมดอารมณ์แล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนคนก็พอได้อยู่” ไม่เคยมีท่าทีสลดยังคงต่อปากต่อคำได้โดยไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร
“เซ็นสักทีเถอะจะได้เอาเอกสารไป ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมาเถียงกับนายอยู่ตรงนี้” แขนเรียวยกขึ้นกอดอก สายตามองตรงไปยังเบื้องหน้าและสิ่งที่ได้กลับมาก็คงมีเพียงรอยยิ้มอารมณ์ดีจากอีกฝ่ายเท่านั้น
“มีปากกามั้ย” คำถามของคีตาทำให้ฉันต้องใช้สายตามองไปบนโต๊ะ ซึ่งมีปากกาด้ามสีดำเงาของเขาวางอยู่
“ที่วางอยู่ข้างมือนั่นอะไร… เตารีดเหรอ?” ฉันพยายามควบคุมอารมณ์ พูดอย่างใจเย็นเพราะไม่อยากฆ่าอีกฝ่ายตายในเวลานี้
“อยากใช้ปากกาของคุณควีน” ความสามารถพิเศษอีกอย่างของคีตา คือการทำเรื่องเล็กน้อยให้ดูยุ่งยากและใหญ่โตขึ้นมาได้
ปึก!
“เอาไป”
มือเล็กล้วงหยิบปากกาออกจากกระเป๋าถือแล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าเต็มแรงบ่งบอกด้วยความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นภายในใจ ซึ่งจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วแต่คนตรงหน้าก็ยังคงนั่งนิ่ง ไม่ยอมหยิบเอาปากกาด้ามนั้นขึ้นมาเซ็นลงบนเอกสารที่ฉันมาเอาในวันนี้สักที
ก็รู้แหละว่าเป็นคนกวนประสาทมากแค่ไหน แต่นับวันยิ่งทวีความกวนประสาทมากยิ่งขึ้น จนฉันเริ่มรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้คีตาถ้าไม่จำเป็น
“นั่งก่อนสิ ขออ่านเอกสารแป๊บหนึ่ง” และในที่สุดก็เริ่มเข้าเรื่องงานกันอย่างจริงจังหลังจากเถียงกันไม่หยุดปาก ฉันนั่งลงตามคำเชิญอย่างว่าง่ายเพื่อให้ได้ลายเซ็นของเขามาแต่โดยดี
ทั้งที่เรามีอำนาจเทียบเท่ากันแท้ ๆ แต่เพราะคีตาเป็นแบบนี้ ฉันจึงดูเหมือนจะยอมอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา จะให้ ‘ซีเวีย’ ที่เป็น 1 ใน 4 ผู้บริหาร คงไม่ยอมมาแน่ ๆ รายนั้นไม่ชอบอะไรที่วุ่นวายเอาซะเลย เดี๋ยวจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เกิดระเบิดออกมาซะก่อน
แล้วยิ่งถ้าเป็น ‘เพลิง’ 1 ใน 4 ผู้บริหารถ้ามาเจอกับคีตาเมื่อไรอย่าหวังเราจะได้งาน พวกเขาได้ชวนกันออกไปที่อื่นและไม่สนใจอะไรทั้งนั้นอีกต่อไป ไม่สนใจด้วยว่าสิ่งที่รอนั้นจะเป็นเรื่องสำคัญมากแค่ไหน
เพราะฉะนั้นก็เหลือแค่ฉันที่ต้องมาจัดการด้วยตัวเอง...
“...” ต้องนับ 1 ถึงล้านในใจ เวลานี้ก็ดึกมากแล้วก็อยากกลับไปพักผ่อน ส่วนอีกคนจะไปไหนก็เชิญ
“ไหน ๆ ก็มาแล้วอยากจะคุยเรื่องราชาด้วยพอดี” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบระหว่างเรา สายตาของเขายังจ้องมองเพียงเอกสารตรงหน้าแล้วมืออีกข้างหมุนควงปากกาในมือเล่นไปด้วย
ชื่อที่ออกมาจากปากของคีตานั้นฉันรู้จักดีว่าเป็นใคร...
“ราชาทำอะไรให้ไม่พอใจเหรอ” ‘ราชา’ คือน้องชายร่วมสายเลือดและเป็นสมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวที่ฉันเหลืออยู่ แม้จะเป็นน้องแท้ ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอำนาจเทียบเท่ากัน แต่อย่างน้อยก็คุ้มครองชีวิตเอาไว้ได้ในระดับที่ไม่ให้ตายก่อนวัยอันควร
การที่คีตาพูดถึงน้องตัวเองแสดงว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นพอสมควรเลย ราชากำลังคบอยู่กับ ‘คีย์’ น้องสาวที่คีตาหวงและรักมาก จะถูกจับตามองจากคีตาไม่ใช่เรื่องแปลกและเพราะเป็นน้องชายของฉัน คีตาถึงยอมรับในความสัมพันธ์ครั้งนี้
“วันก่อนราชาทะเลาะกับคีย์ค่อนข้างรุนแรงโดยเฉพาะทางคำพูด สอนให้มันเป็นคนใจเย็นกว่านี้อีกมาก ๆ หน่อย” คีตาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ ตลอดประโยคที่ออกจากปากของเขาสายตาก็ยังคงมองที่กระดาษตรงหน้า เรื่องความสัมพันธ์ของน้องชายน้องสาวเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ฉันกับเขาสามารถคุยกันได้อย่างคนปกติ
“เดี๋ยวจัดการให้” คีตาเป็นคนที่ใจร้อนและเอาแต่ใจมากในระดับหนึ่ง ซึ่งต่างกับฉันที่เป็นคนมีความอดทนสูงมาก อาจจะเพราะด้วยหน้าที่ของเราที่แตกต่างกันความอดทนและความใจเย็นจึงต่างกัน เพราะตั้งแต่ที่เราเสียพ่อแม่ไปฉันก็พยายามสอนราชาในแบบของตัวเองมาตลอด
“ถ้าสอนไม่ได้ก็บอกนะ...เดี๋ยวสอนเอง” คีตาละสายตามองฉันแวบหนึ่งจากนั้นก็กลับไปสนใจของตรงหน้าต่อตามเดิม
“ยังอยากมีน้องชายอยู่ ยังไม่อยากให้มันตาย” ถ้าคีตาสอนน้องฉันคงไม่ได้หายใจอีกต่อไป...
จากนั้นบทสนทนาระหว่างเรามีเพียงความเงียบ ฉันปล่อยให้คีตาอ่านรายละเอียดเอกสารจนพอใจ จนในที่สุดก็ได้เห็นอีกฝ่ายจรดปลายปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงไปสักที
เป็นบุคคลเดียวที่ฉันทำงานด้วยแล้วรู้สึกเหนื่อยสุด ๆ
“...เรียบร้อย” เสียงพูดขึ้นพร้อมกับดันกระดาษใบนั้นมาด้านหน้าตัวเอง และเมื่อฉันยื่นมือเพื่อจะไปรับมันมาเขาก็ดึงกลับเข้าหาตัวเองอย่างหน้าตาเฉย
พรึ่บ!
“อะไรอีก” นึกว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ดูท่าแล้วจะไม่มีสักครั้งที่เป็นอย่างใจหวัง
“ไปดื่มกันมั้ย เลิกงานแล้ว”
“เป็นหมอที่ดูว่างดี” คีตาแม้จะเป็น 1 ใน 4 ผู้บริหารที่มีอำนาจสูงสุดแล้วเขายังเป็น ‘หมอ’ อีกด้วย ซึ่งเป็นหมอที่ไม่เคยเหมือนหมอเลยสักครั้งในสายตาของฉัน แต่ก็ยอมรับว่าคีตาฉลาดและไม่น่าเชื่อว่าจะเรียนจบมาจนได้
“ไม่เข้าใจคำว่าเวลาเลิกงานเหรอ”
“งั้นถ้าเข้าใจคำนี้ดีก็ควรรู้ว่านี่มันเวลาเลิกงานของฉันแล้วเหมือนกัน”
พึ่งพูดชมตัวเองไปอยู่ว่าเป็นคนมีความอดทนสูงไม่ขาดปาก ได้อาละวาดออกมาอย่างหมดความอดทนแล้วหยิบเอากระดาษสำคัญใบนั้นมาด้วยความรวดเร็ว
ร่างเล็กหมุนตัวหันหลังเตรียมเดินไปทางประตูห้อง เท้าที่กำลังก้าวเดินพาตัวเองเข้าใกล้จุดหมายในอีกไม่ช้าแต่ดูท่าจะไม่ทันการณ์ เมื่อจู่ ๆ ก็มีมือหนาจับเข้าที่ต้นแขนออกแรงดึงให้ฉันหันกลับมาประจันหน้ากับเจ้าของฝ่ามือนั่น
พรึ่บ!
“จะรีบไปไหนนักหนา เธอเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันอารมณ์ค้างนะควีน” เสียงทุ้มเอ่ยพูดพร้อมใบหน้าหล่อโน้มลงมาใกล้ ในขณะเดียวกันนั้นฉันก็ถูกเขาดันให้เดินถอยหลังทีละนิด จนรู้สึกตัวอีกทีแผ่นหลังเล็กก็ชนเข้ากับผนังห้อง
ไร้ทางหนี แรงก็สู้อีกฝ่ายไม่เคยได้...ทุกครั้งเลยเวลาที่ฉันมา มักจะถูกคีตาเข้ามาหาเรื่องก่อนกลับบ้าน