“ถ้าอารมณ์มันค้างก็ไปหาพยาบาลคนนั้นอีกรอบสิหรือจะให้กูไปเรียกมาให้”
ฉันตอบกลับด้วยความใจเย็นไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าสักนิด ยังไงมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกคีตากวน ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนยิ่งรู้ว่าฉันไม่ชอบผู้ชายก็ยิ่งชอบเอาตัวเองเข้ามาใกล้
ยิ่งใกล้ยิ่งหายใจไม่ออก...
“พอได้ลายเซ็นไปแล้วเปลี่ยนสรรพนามคำเรียกเลยเหรอ” นัยน์ตาคมหลุบมองต่ำจ้องหน้าฉันพร้อมรอยยิ้มมุมปาก สีหน้าของคนอารมณ์ที่ไม่เคยสลดกับคำด่าเลยสักครั้ง
เหมือนยิ่งโดนด่าก็ยิ่งชอบใจ...ยิ่งโดนด่ายิ่งสนุก
“หมดประโยชน์แล้วก็ต้องถีบหัวส่งเป็นธรรมดา” ริมฝีปากยกยิ้มส่งกลับไปให้คนตรงหน้า ที่พูดมาไม่มีส่วนไหนที่ผิดเลยได้ของที่ต้องการแล้วฉันจะอยู่ทำไม
“คำพูดคำจา...น่านะ” สิ้นเสียงใบหน้าหล่อโน้มเข้ามาใกล้ ทำให้ฉันรีบยกกระเป๋าขึ้นกั้นระหว่างเราเอาไว้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใกล้ได้มากกว่านี้ แต่แม้จะมีสิ่งเข้ามาขว้างเอาไว้คีตายังมีความสามารถ เอียงคอหลบมาอีกฝั่งทำเอาฉันยกกระเป๋าในมือขึ้นมาบังใบหน้าแทบไม่ทัน
“ไอ้คีตา!” รู้ว่าไม่ชอบก็ยิ่งแกล้ง เกิดมาเพื่อกวนประสาทตั้งแต่เด็กจนโตจริง ๆ!
“กลัวจำชื่อไม่ได้หรือไง เรียกอยู่ได้”
“โรคจิตนะ เหม็นน้ำหอมผู้ชาย” ฉันเหม็นเฉพาะกับคีตานี่แหละ พูดขนาดนี้ยังไม่มีสักครั้งเลยที่เขาจะสำนึก!
“ดมใหม่อีกทีเหม็นจริงหรือเปล่า” แขนแกร่งยกขึ้นโอบรั้งร่างบางดึงเข้าหาตัว แล้วยกมืออีกข้างขึ้นกดหัวฉันบังคับให้ซุกหน้าลงกับอกกว้าง
“คีตา! ออกไป!”
เสียงแหลมหวีดลั่นขนาดนี้ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาในห้องนี้เลย ตอนนี้แรงอันน้อยนิดของตัวเองแทบจะทำอะไรคีตาไม่ได้เลย ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ออกแรงอะไรมากมาย เขาแค่ตั้งใจแกล้งให้ฉันสติแตกก็เท่านั้นแหละ!
กริ้ก!
“มาขัดจังหวะผัวเมียเหรอเนี่ย” แต่แล้วจู่ ๆ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมเสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้น เรียกความสนใจให้เราทั้งคู่หันไปมองพร้อมกัน นั่นคือ ‘เพลิง’ ผู้บริหารอีกคนที่เราจะเจอกันก็ตอนประชุมสำคัญเท่านั้น
“ไม่มีมารยาทอีกตัวแล้ว” ใบหน้าหล่อเหลาโผล่พ้นบานประตูเข้ามาในจังหวะเรา 2 คนมองไปพอดีและจังหวะที่คีตาพูดกับเพลิง ฉันอาศัยจังหวะเผลอผลักคีตาออก
พรึ่บ!
“ขอบคุณที่เสนอหน้ามาเพลิง” ปากพูดพร้อมกับเท้ารีบก้าวออกจากจุดนั้น แล้วก้มตัวมุดรอดใต้แขนของเพลิงที่ยกขึ้นจับประตูอยู่และในที่สุดก็ออกมาได้สำเร็จ
กรี๊ด! ต่อให้มีความอดทนมากแค่ไหนเจอกับคีตาก็ประสาทเสียทุกที จะเป็นบ้า!
(คีตา)
นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องมองตามแผ่นหลังเล็กที่เดินออกจากห้องไป พร้อมเหล่าลูกน้องของตัวเองจนกระทั่งลับสายตา แล้วจึงกลับมาจ้องหน้าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า
“อดแดกอีกแล้ว” เพลิงยิ้มมุมปากแล้วเดินผ่านหน้าเข้าไปในห้องหน้าตาเฉยโดยไม่รอคำเชิญ
“คิดว่ากูเอาจริงหรือไง” ประตูห้องทำงานถูกดึงปิดด้วยฝีมือของผู้เป็นเจ้าของห้อง แล้วเดินตามหลังเพลิงเข้ามาอีกคน ก็แค่แกล้งเล่นตามประสาเฉย ๆ รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางชอบผู้ชาย
“เขารู้กันทั้งเกาะว่ามึงยอมควีนที่สุด...ยอมแบบนี้เข้าตำราเพื่อนรักรักเพื่อน” ไอ้เพลิงพูดอะไรแบบนี้เป็นด้วยเหรอเนี่ย...ขนลุกฉิบหาย
“ไร้สาระ...แต่ถ้าได้ก็ไม่ติด” ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงเก้าอี้ทำงานของตัวเอง สบสายตากับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า
“คนมันเหี้ย กฎมีไว้แหก” เพลิงยกขาไขว่ห้าง เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีสบาย ๆ
“มาพูดมากแค่นี้เหรอ ขัดจังหวะกูแล้วยังไม่สำนึกอีก” วันนี้แกล้งได้แค่นิดเดียว กว่าจะหลอกล่อให้มาหาได้รอตั้งหลายชั่วโมง
“ไม่ต้องทำมาเป็นพูด กูไม่มาขัดจังหวะมึงก็ไม่ทำอะไรควีนอยู่ดี”
“....” สาเหตุที่มาวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามาเพราะอะไร แล้วยังมาพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่หยุดปากอีกไอ้เวรนี่
“คู่น้องคบกันได้ไม่มีปัญหาหรอก แต่คู่พี่นี่สิ...” เพลิงเป็นคนที่ยืดมั่นในเรื่องของกฎไม่แพ้ควีนเลย มักย้ำเตือนอยู่เสมอเหมือนเป็นการเตือนสติ
กฎที่ว่า...ผู้บริหารเกาะห้ามมีความสัมพันธ์เกินเลย
“เข้าเรื่องที่มาหากูวันนี้ได้หรือยัง”
“รีบเหรอ ให้มึงใจเย็นกว่านี้อีกหน่อยแล้วเดี๋ยวกูเล่า” ไอ้ความใจเย็นทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คนแบบนั้นของมันนี่แหละกำลังทำให้เขาหงุดหงิด
“พูดมาสักทีรำคาญ”
“เรื่องของคีย์กับราชา...วันก่อนคีย์ไปตามราชาที่ผับ” เรื่องนี้เหรอ...เขารู้แล้ว พึ่งจะเตือนควีนไปเรื่องน้องชายเพราะได้ยิน 2 คนนั้นทะเลาะกันกับหู
ในฐานะพี่ชายไม่เคยเห็นด้วยกับการคบกันของ 2 คนนี้มาตั้งแต่แรก แต่เพราะคีย์น้องสาวตัวเองรักอีกฝ่ายหมดหัวใจและราชาดันเป็นน้องของควีนจึงยอมให้ทั้งคู่ได้คบกันในที่สุด ช่วงแรกเริ่มอะไรมันก็ดีไปหมดอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ตลอด ไม่เข้าไปยุ่งให้น้องต้องอึดอัดใจและไม่ส่งคนติดตาม
เคยทำแบบนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง จนโดนคีย์จับได้เล่นโกรธไม่พูดด้วยเกือบ 3 เดือน...
และรู้สึกว่าพักหลังมานี้น้องสาวของเขาร้องไห้บ่อยจนเกินไป แม้จะพยายามแอบถามน้องสาวแล้วคีย์ก็เอาแต่พูดว่านอนไม่ค่อยหลับเลยตาบวม แพ้อากาศบ้าง แพ้เครื่องสำอางบ้าง แต่เขาไม่ใช่คนโง่ที่ขนาดว่าจะมองไม่ออก...
“กูพึ่งบอกควีนไปอยู่เหมือนกันเรื่องของน้องชาย”
“แล้วมึงไม่รู้เรื่องที่พวกนั้นทะเลาะกันเหรอ”
“เรื่องผู้หญิง” ไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้เพียงแค่จะพูดหรือไม่ก็เท่านั้น
“เออ แล้วมีอีกเรื่องที่กูได้ยินมาตอนพวกเขาทะเลาะกันที่ผับ” สีหน้าของเพลิงเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างรู้สึกได้
“....” เขาเงียบไปและรอฟังเรื่องที่คนตรงหน้าจะพูด
“กูได้ยินพวกนั้นเถียงกัน แล้วคีย์ก็พูดว่าตัวเองกำลังท้อง” สิ่งที่ได้ยินทำเอาหูอื้อไปชั่วขณะ เรื่องน้องสาวท้องเพียงแค่ตกใจแต่ไม่รู้สึกโกรธหรือคิดจะต่อว่า กลับกันดันไปรู้สึกโกรธแฟนของน้องสาวขึ้นมา
“อือ เดี๋ยวรอให้คีย์มาบอกกูเอง” ไอ้ราชาต้องรู้ว่าคีย์ท้อง แล้วมันยังกล้ายุ่งกับผู้หญิงคนอื่นอีก...
มีชีวิตอยู่มาได้เพราะเป็นน้องชายของควีนเท่านั้นแหละคนอย่างมัน...
(ควีน)
ณ เพนต์เฮาส์ของราชา เลา 23.00 น.
ปิ๊งป่อง!! ปิ๊งป่อง!! ปิ๊งป่อง!!
กริ้ก!
“โอ๊ย! จะกดอะไรหนักหนาวะ ที่บ้านไม่มีกริ่งเล่นหรือไง รำคาญ!” ประตูห้องถูกกระชากเปิดออกเต็มแรงและตามด้วยเสียงโวยวายอย่างหัวเสียของชายผู้เป็นเจ้าของเพนต์เฮาส์สุดหรูแห่งนี้ ร่างสูงในสภาพที่สวมเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันช่วงเอวลงไป
“ให้เวลาแก้คำพูดว่าน่ารำคาญนั่นภายในห้าวินาที ก่อนจะโดนกูตบปาก” น้ำเสียงนิ่งเรียบของผู้เป็นพี่สาวเรียกความสนใจให้น้องชายกลับมามองหน้าได้ อารมณ์เดือดดาลเมื่อครู่หยุดลงทันทีเมื่อเราสบตากัน
“โทษที พี่มีอะไร”
“อยู่ในห้องกับใคร” เพราะสายตาดันเห็นเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชะโงกหน้าออกมา ซึ่งเธอไม่ได้หน้าเหมือนน้องสาวของคีตาสักนิดและเมื่อเห็นฉัน ก็แสดงอาการตกใจสุดขีดแล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้อง
ไม่มีใครที่นี่ไม่มีรู้จักฉันหรอก...
“เพื่อน” ราชาตอบกลับไม่เต็มเสียงเท่าไรนัก ต่อให้จะมีอำนาจสั่งคนที่นี่ได้แต่กับฉันราชาไม่มีความกล้านั้น
“เพื่อนที่ใช้ค**คุยกัน? ไล่ออกจากห้องไปก่อนที่กูจะจัดการเองแล้วเรามาคุยกันราชา” พูดจบก็ยกมือดันตัวน้องชายออกให้พ้นทางแล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องนั้นอย่างถือวิสาสะ จึงมีโอกาสได้เห็นเสื้อผ้ากระจัดกระจายไปทั่วพื้นห้อง
ดุเดือดกันน่าดู...