“หนูขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นค่ะ”
การเจอหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ฉันต้องรับเรียกสติตัวเองกลับมา เสียงหวานเอ่ยพูดอย่างรู้สึกสำนึกผิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจากใจจริงพร้อมยกมือไหว้ขอโทษแก่พ่อแม่ของคีย์กับคีตา แม้จะรู้ดีว่าเพียงเท่านี้ไม่เพียงพอต่อเรื่องทั้งหมด...
“แค่นี้เองเหรอควีน” น้ำเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยอำนาจของ ‘คุณลุงธีระ’ ผู้บริหารรุ่นที่ 8 และยังเป็นพ่อของคีตากับคีย์ ข้างกันคือ ‘คุณป้าวาริน’ ภรรยาและยังเป็นแม่ของคีตากับคีย์และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่ง...ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อแม่ของฉัน
“....” ไร้คำพูดใดออกจากปาก ทำได้เพียงก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าแม้สบตา
“คีตาไม่ยอมบอกความจริงกับเราเพราะเรื่องมันเลวร้ายมาก...” คุณป้าวารินพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ
“ป้าพยายามองเรากับน้องชายให้เป็นคนละคนแต่ทำไม่ได้จริง ๆ ....ทำไมล่ะ พวกเราทำไม่ได้ดีกับเธอเหรอควีน”
“....”
“ทำไมต้องทำร้ายคีย์ขนาดนั้น ทำไมราชาต้องทำร้ายคีย์ขนาดนั้นควีน!” น้ำเสียงที่สั่นเครือของผู้เป็นแม่ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกจุกแน่นกลางอก สองมือกุมทับเข้าหากันกำแน่นพยายามเก็บความทรมานเอาไว้ในใจ
“ขอโทษค่ะ หนูขอโทษ...” คำขอโทษออกจากปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันทำได้เพียงแค่พูดคำนี้ได้แค่คำเดียวไม่สามารถพูดหรืออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลย
“พ่อแม่กลับไปพักผ่อนเถอะ บอกแล้วไงว่าคีย์ปลอดภัยแล้วเรื่องทั้งหมดเดี๋ยวจัดการเอง” เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังของผู้ใหญ่ทั้งสองคนได้พูดขึ้น ต่อให้ฉันไม่เงยหน้าไปมองก็รับรู้ได้เลยว่ากำลังถูกมองด้วยสายตาเย็นชา
“ฮึก! อย่าเข้าใกล้คีย์อีก อย่ามาให้ฉันเห็นหน้า ไม่อนุญาตให้คนของควีนเข้าเยี่ยมคีย์!” เสียงคำสั่งประกาศกร้าวของป้าวารินชัดเจนยิ่งกว่าคีตาพูดกับฉันซะอีก
“หนูขอโทษค่ะ” ฉันก้มหน้ากล่าวคำเดิมอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดทั้งหมดในใจ แต่ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่รับคำขอโทษนั้นแล้วยังเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจไยดี
สายตาของฉันเวลานี้ก้มมองที่พื้น เห็นเพียงรองเท้าส้นสูงของป้าวารินเดินผ่านไป พื้นเบื้องหน้าเวลานี้ไร้ซึ่งผู้คนยืนอยู่แต่มันก็ว่างเปล่าได้เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นหรอกนะ...
“มีแค่หูเอาไว้กั้นหัวหรือไง บอกว่าไม่ต้องเสนอหน้ามา” คีตาเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ปลายเท้าเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าฉันที่ยังคงยืนก้มหน้า
“....” ผู้ใหญ่ไปแล้วสินะ ไม่ได้เข้าไปเยี่ยมคีย์แล้วยังเจอจังหวะนรกอีก ไหนเพลิงว่ามีธุระกับคีตาช่วงบ่ายไง?
“บอกเพลิงว่าเลื่อนนัดไปพรุ่งนี้ วันนี้ไม่ว่าง” ประโยคนี้คีตาไม่ได้พูดกับฉันแต่พูดกับลูกน้องของตัวเอง คนถูกสั่งขานตอบกลับแล้วเดินห่างออกไปเพื่อจัดการ เวลานี้ฉันยังคงเอาแต่ยืนก้มหน้าอยู่จึงได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไป
แต่เป็นคนอื่นนะที่เดินออกไปส่วนคีตา...อยู่ที่เดิม
ไหน ๆ ก็เข้าไปในห้องพักคนไข้ไม่ได้ ถ้าอย่างงั้นฉันก็ควรกลับไปที่ของตัวเองซะดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นฉันก็เงยหน้าขึ้นจากการมองพื้นแล้วหมุนตัวเพื่อเดินหนีคีตา สายตามองผ่านผู้ชายตรงหน้าไปและแสดงออกว่าไม่ได้สนใจเขาแม้แต่นิดเดียว
หมับ!
แขนเรียวถูกคว้าจับเอาไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่ของผู้ชายที่ยืนอยู่ แล้วกระชากพาฉันเดินไปทางเดียวกันกับเขา เป้าหมายคือลิฟต์ที่อยู่สุดทางเดิน ทุกการกระทำไม่สนใจสายตาลูกน้องของตัวเองที่มองมาและไม่ออมแรง ไม่สนใจว่าฉันตัวเล็กกว่าตัวเองมากแค่ไหน
“คีตาปล่อยนะ!” เสียงแหลมหวีดร้องด้วยความตกใจพยายามแกะมือที่บีบแขนตัวเองออก ระหว่างนั้นเราทั้งคู่ก็มาหยุดยืนหน้าตัวลิฟต์เพียงไม่กี่วินาทีที่คีตากดปุ่มเรียก ประตูก็เปิดออกรอรับเราทั้ง 2 เข้าไปในนั้น
ติ๊ง!
“ไม่ได้อยากจับอยู่แล้ว ไม่ต้องสะดีดสะดิ้ง” ปากร้ายเป็นบ้าเลย! ฉันพยายามอย่างมากที่จะแกะมือของคีตา แต่แรงที่น้อยกว่าทำให้ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลยและเขายิ่งออกแรงบีบแขนจนรู้สึกเจ็บร้าวไปหมด ร่างบางถูกลากเข้าไปในตัวลิฟต์พร้อมกันกับคีตา จากนั้นประตูก็ปิดลงภายในจึงมีเพียงแค่เรา 2 คน
“มันไม่ใช่เวลาของนายนะ ปล่อย!”
พรึ่บ!
แขนเรียวถูกปล่อยออกตามคำสั่งของฉันทันทีที่พูดจบ ร่างเล็กเซไปด้านหลังเล็กน้อยตามแรงสะบัดมือของผู้ชายตรงหน้า ตอนนี้ฉันไม่ได้สนใจเลยว่าแขนตัวเองจะแดงมากแค่ไหน แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่คิดจะสนใจ สายตาจ้องกลับไปทางผู้ชายที่อยู่ร่วมกันในพื้นที่แคบ ๆ ตอนนี้
“คิดว่าอยากอยู่ด้วยมากหรือไง” นัยน์ตาคมจ้องกลับมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนคีตาจะหาเรื่องเข้าใกล้ฉันแล้วทำอะไรบางอย่างที่ถึงเนื้อถึงตัว แต่ตอนนี้เขากลับยืนยิ่งแล้วมองมาด้วยสายตาที่ฉายความรังเกียจชัดเจน
“....”
“แล้วพูดว่านี่ไม่ใช่เวลาของฉัน ความจริงไม่ได้อยากได้เวลาอะไรเลย ไม่อยากข้องเกี่ยวกับเธอด้วย คนแบบนี้เอามาทำอะไร” ครั้งนี้ไม่ได้แค่คำพูดแต่มาพร้อมสายตาไล่มองไปตามร่างกายของฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า
“อยากใช้คำพูดให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดก็เชิญเลย ไม่มีผลอะไรทั้งนั้น!”
“ก็รู้ว่าหน้าด้าน” คีตาตอบกลับมาทันทีที่ฉันพูดจบ ซึ่งบทสนทนาของเรานั้นมีน้อยนิดเพราะประตูลิฟต์ได้เปิดออกเมื่อถึงชั้นจอดรถ
หมับ!
“ว้าย!” ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว ฉันก็ถูกคีตาดึงออกมาแล้วลากพาเดินไปทางรถและลูกน้องของตัวเองที่มารออยู่
“ดูแลนายพวกมึงด้วย เดี๋ยวจะอยู่ไม่ถึงหกโมงเย็น”
พรึ่บ!
สิ้นเสียงคีตาก็ออกแรงเหวี่ยงฉันไปให้รามที่ตรงเข้ามารอรับฉันเอาไว้ และเมื่อตั้งหลักได้ก็สะบัดตัวออกจากรามแล้วหันกลับมาประจันหน้ากับคีตา
“อะไรที่พูดออกมาก็จำเอาไว้ด้วย รังเกียจฉันยังไงก็อย่ามาเข้าใกล้ หลังหกโมงเย็นก็เชิญพาตัวเองออกไปไกล ๆ ไม่ได้มีแค่นายหรอกที่รังเกียจฉันก็เหมือนกัน ไม่เคยอยากเข้าใกล้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร!” แค่วันแรกก็ทำฉันหมดความอดทน พยายามอดกลั้นแต่ทุกอย่างได้พังลงไปแล้ว
“....” คีตาจ้องหน้าฉันโดยไม่ตอบโต้อะไรกลับมา ความนิ่งของเขานี่แหละทำให้ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้
“แล้วเรื่องข้อตกลงระหว่างเราห้ามคนนอกรู้ เพราะฉันรังเกียจที่ต้องอยู่ใกล้นายไม่ต่างกัน แล้วอยากจะทำอะไรจะพูดอะไรก็เชิญฉันไม่รู้สึกและจะไม่ตายด้วย” พูดจบก็หันหลังเดินไปทางรถของตัวเอง ต่างคนต่างรังเกียจจะได้ต่างคนต่างอยู่ห่าง ฉันไม่เคยอยากอยู่ใกล้คีตาอยู่แล้ว
ปึก!
ประตูรถยนต์ปิดลงแต่เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม เรามองหน้ากันผ่านกระจกสีทึบที่กั้นอยู่ จนกระทั่งตัวรถเคลื่อนออกไป มือทั้งสองข้างวางอยู่บนตักกำแน่นจนสั่นเพื่อระงับความโกรธ
กลางวันฉันมีสถานะเท่าเทียมกับเขาและคืนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง...
(คีตา)
นัยน์ตาคมมองตามรถคันหรูที่วิ่งออกไปจนลับสายตา เขาไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์เลยทั้งที่พึ่งโดนว่าใส่หน้ามา เวลานี้มันมีความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่และรู้แล้วว่าจะทำยังไงกับอดีตเพื่อนคนสำคัญของตัวเอง
มือหนาล้วงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงออกมาเลื่อนหน้าหมายเลขหัวหน้าแผนกคลังยา เมื่อเจอแล้วก็กดโทรออกแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู จากนั้นก็หันหลังเดินตรงไปทางลิฟต์อีกครั้ง
ตู๊ด! ตู๊ด! ติ้ด!
(ครับ คุณคีตา) เสียงปลายสายตอบกลับมาหลังกดรับอย่างนอบน้อม
“เตรียมยาคุมสำหรับฉีดให้หน่อย”
(ได้ครับ ให้พยาบาลไปฉีดให้คนไข้คนไหนและที่ไหนครับ)
“เอามาให้ผม เดี๋ยวจัดการเอง”
(...ครับ) เสียงที่ขานตอบกลับมานั้นบ่งบอกได้ถึงความสงสัยไม่น้อยว่าเขาจะเอามันไปใช้กับใคร จากนั้นนิ้วเรียวก็กดวางสายแล้วกดปุ่มเพื่อเรียกลิฟต์ ในหัวยังคงมีแต่คำพูดของอดีตเพื่อนวนเวียนไม่จางหายไป
ไม่รู้สึกและจะไม่ตาย...
งั้นก็ทรมานทางใจจนกว่าจะทนไม่ไหวได้เลยควีน