9. นางงามมาก แต่นางก็ร้ายมาก

1691 Words
ผู้ที่เกือบจะสั่งโบยสาวใช้ปากดีในคราแรกถึงกับอ่อนลง ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับคนตัวเล็ก เล่นละครที่เขาสร้างขึ้นเพื่อตบตาอีกฝ่ายต่อ สองคนสนิทจึงต้องทำตาม พร้อมกับไล่บ่าวที่หมอบอยู่ตามมุมต่างๆ ให้แยกย้ายออกไป การกระทำของพวกเขา ซูหลินเฝ้าสังเกตุทุกอย่าง “ข้าน้อยขออภัยแทนคนในจวนนี้ที่เสียมารยาทกับคุณหนูหรง ต่อไปจะไม่มีเรื่องเช่นนี้อีก” ไป่จิ้งเอ่ยกับสตรีตรงหน้าเสียงหนักแน่น “ขอบคุณใต้เท้านะเจ้าคะ ว่าแต่ข้าจะพบกับท่านโหวได้หรือไม่ ข้าเองก็เสียมารยาทเช่นกัน มาอยู่ที่นี่สองวันแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปคำนับท่านโหวเลย” นางเอ่ยพร้อมกับเดินนำไปนั่งที่ศาลา บุรุษทั้งสามก็เดินตามไม่ห่าง จนเสี่ยวมี่ต้องคอยเดินขวางเอาไว้เพื่อไม่ให้บุรุษเข้าใกล้จนเกินงาม ทำให้ไป่จิ้งรู้สึกหงุดหงิดพอดู “นั่งลงเถอะเจ้าค่ะ ข้าน้อยก็แค่สตรีบ้านนอก ท่านทั้งสามต่างก็เป็นขุนนางคนสนิทของท่านโหว ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติข้าน้อยมากเพียงนั้นหรอก” ผายมือเชื้อเชิญ “เอ่อ…ให้พี่ไป่จิ้้งนั่งผู้เดียวแล้วกัน พวกข้าอย่างไรก็เป็นลูกน้อง ไม่อาจตีตนเสมอได้” มู่หยางเอ่ย ก่อนจะถอยมายืนคู่กับสหาย ไป่จิ้งจึงหย่อนกายนั่งลงตรงข้ามนาง การปฎิเสธที่ดูอ่อนน้อมต่อองครักษ์ผู้นี้ ทำให้ซูหลินยิ่งสงสัยมากขึ้นอีก ทว่านางก็ไม่ได้แสดงท่าทีใด “ท่านโหวมีงานสำคัญต้องจัดการอีกหลายวัน ไม่สะดวกจะเดินทางกลับมา ถึงวันมงคลคุณหนูจะได้พบเองขอรับ” ปากเอ่ย ทว่าสายตาเขาก็สำรวจใบหน้างาม ซึ่งมันสะกดใจให้เขาเผลอมองอยู่ทุกครั้ง ซึ่งคนสนิทก็เอาแต่จ้องว่าที่ฮูหยินผู้เป็นนายเช่นกัน “งั้นหรือเจ้าคะ น่าเสียดายยิ่งนัก” เอ่ยเสียงเศร้า ก่อนจะเปล่งวาจาออกมาอีก “ทว่า!...เหตุใดท่านโหวจึงไม่ให้คนสนิทติดตามไปด้วยล่ะเจ้าคะ ได้ยินว่าเขามักถูกลอบสังหารอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีพวกท่านอยู่เช่นนี้จะปลอดภัยหรือ” น้ำเสียงของนางที่เอ่ยออกมาฟังลื่นหูดียิ่งนัก ทว่าแต่ละประโยคกลับทำให้สามหนุ่มนี้ชะงัก ผู้ที่ไม่เคยร้อนหนาวจากเรื่องใดถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้เป็นเพราะคำพูดของนางมันสื่อว่าการกระทำเขามีพิรุธ หรือเป็นเพราะใบหน้างามที่กำลังส่งยิ้มหวานให้ในยามนี้กันแน่ “เรื่องนี้คุณหนูไม่ต้องกังวลขอรับ ท่านโหวมียอดฝีมือข้างกายมากมาย จึงสั่งให้พวกข้าน้อยอยู่คุ้มครองคุณหนูอย่างไรล่ะขอรับ” มู่หยางผู้คอยเจรจาทุกอย่างเอ่ยขึ้น เพราะท่านโหวเอาแต่นิ่งมองว่าที่ฮูหยินตน “งั้นหรือ ช่างห่วงใยดีเสียจริง นึกว่าให้ใต้เท้าทั้งสามคอยจับผิดข้าเสียอีก หึหึ..ข้าคงคิดมากไปเองสินะ” เอ่ยเสียงเย็นจนสองสหายถึงกับขนลุก สตรีตัวน้อยใบหน้าหวานจิ้มลิ้ม ไยถึงมีวาจาคมกริบเพียงนี้ มากไปกว่านั้นคือเอ่ยราวกับรู้บางสิ่งเสียด้วย ‘ช่างปากร้ายต่างจากหน้าตายิ่งนัก’ เจ้าของจวนนึกในใจ เขามองว่าที่ฮูหยินตนอย่างพิจารณา จนลืมไปว่าเมื่อครู่ก็ถูกคนของนางตำหนิ ทว่ารอบนี้เป็นคนตัวเล็กที่เอ่ย “มีสิ่งใดติดใบหน้าข้าหรือใต้เท้า ไยถึงจ้องข้าถึงเพียงนี้ หรือคนของท่านโหวมักเสียมารยาทกับสตรีต่างถิ่น คิดว่าจะรังแกหรือทำเช่นใดก็ได้เป็นปกติใช่หรือไม่” น้ำเสียงนี้ต่างออกไปจากเดิมมาก กดต่ำจนน่าใจหาย ไป่จิ้งโหวชะงักงัน เพราะตนเสียมารยาทเช่นที่นางเอ่ยจริงๆ ฐานะเขาในยามนี้ไม่อาจล่วงเกินคนตรงหน้าได้ เพราะตนเป็นเพียงองครักษ์ที่คอยคุ้มครองนางเท่านั้น “ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ ข้าเพียงแต่สงสัยเรื่องที่คุณหนูสร้างบาดแผลบนใบหน้า ทั้งที่งามเพียงนี้ไยต้องแสร้งทำเป็นสตรีอัปลักษณ์ให้ผู้คนติฉินนินทาด้วย” เอ่ยเลี่ยงไป และมันก็เป็นสิ่งที่เขาอยากรู้เช่นกัน ใบหน้าหวานเผยยิ้มเล็กน้อย มองคนตรงหน้าที่เอาแต่จ้องนาง ดูท่าคงสงสัยมากเป็นแน่ หากบอกเรื่องทั้งหมด อาจจะทำให้นางอยู่ที่นี่โดยไม่ต้องถูกจับผิดก็ได้ “ใต้เท้าคิดว่าข้าน้อยงามหรือไม่” คำถามนี้ทำเอาคนฟังถึงกับนิ่ง คิ้วหนาผูกกันเป็นปมทันที ทว่าเขาก็พอจะเดาได้ว่าคนตัวเล็กหมายถึงสิ่งใด “คุณหนูจะบอกว่าสาเหตุมันเกิดมาจากความงามของท่านกระนั้นหรือ” เขาถามเสียงนุ่ม ต่างจากทุกทีที่เอ่ยกับนาง ซึ่งทั้งสามก็ตั้งใจรอฟังคำตอบ “สองปีก่อน เกิดเรื่องกับข้าในช่วงครบวัยปักปิ่น ซึ่งเป็นช่วงที่ตระกูลซ่งกำลังจะมาทาบทามสู่ขอบุตรสาวสกุลหรง อย่างที่พวกท่านรู้ว่าจวนนี้มีคุณหนูสองคน ทว่าความงามของข้ามันก็ทำให้คนเกิดริษยา จึงถูกคนชั่วจับตัวไปทิ้งไว้กลางป่าลึก และถูกทุบตีเพียงเพราะใครบางคนไม่พอใจที่ข้ามีใบหน้าเช่นนี้ ยามนั้นข้า…” ซูหลินชะงักคำที่จะเอ่ยว่าเจ้าของร่างตายไปแล้ว ทำให้เสี่ยวมี่รีบเอ่ยแทน “ยามนั้นคุณหนูหมดลมหายใจไปแล้ว ทว่าฮูหยินใหญ่ได้ช่วยรักษาจนฟื้นคืนกลับมาได้ จากนั้นจึงให้คุณหนูแสร้งเป็นสตรีอัปลักษณ์ เพื่อคุ้มครองตนเองจากคนชั่วที่คิดอิจฉาไม่จบไม่สิ้น คอยแต่จะรังแกนาง ทว่าสุดท้ายก็ยังถูกส่งมาให้แต่งงานแทนอยู่ดี” เสี่ยวมี่ร่ายยาวถึงชีวิตของผู้เป็นนาย ทำเอาบุรุษทั้งสามถึงกับหน้าถอดสี เพราะรู้สึกผิดขึ้นมาที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะจากที่สืบข่าวมาได้ มันก็ไม่ต่างไปจากที่สาวใช้นางนี้เอ่ยนัก เพียงแต่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางที่แท้จริงก็เท่านั้น ทว่าเขาก็ยังไม่ลืมเรื่องที่นางเก่งวรยุทธ์ “แล้วเหตุใดคุณหนูและสาวใช้ถึงได้มีฝีมือเรื่องการต่อสู้ หากจะว่าไปก็เก่งกว่าคนของข้าเสียอีก” เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็จ้องใบหน้าหวานไม่วางตา เพื่อสังเกตุท่าทีของนางซึ่งอาจจะเผยพิรุธออกมาก็ได้ ด้านคนตัวเล็กเมื่อเห็นใต้เท้าหนุ่มจ้องตาเป็นมัน นางก็ถึงกับชะงัก เพราะใบหน้าคมคายตรงหน้ามันดึงดูดสายตาดีไม่น้อย ‘บ้าจริง อีตาองครักษ์นี่ทำไมต้องรูปงามเพียงนี้นะ’ ก่นว่าอีกฝ่ายในใจ เพราะปกติไม่เคยอยู่ใกล้บุรุษมาก่อน ทว่ายามนี้กลับมีถึงสาม ซ้ำคนตรงหน้าก็ดูดีมากเสียด้วย “ว่าอย่างไรคุณหนูหรง ท่านเรียนรู้การต่อสู้มาจากที่ใด หรือว่าเป็นความลับไม่อาจเปิดเผยได้” ไป่จิ้งยังคงย้ำคำ “ฝึกเองเจ้าค่ะ หลังจากถูกทำร้ายครานั้น ข้าก็หัดใช้อาวุธตามมีตามเกิด ตามทหารและสำนักคุ้มภัยที่อยู่ใกล้จวนในยามค่ำคืน อาจเป็นเพราะมุ่งมั่นที่จะใช้วิชาปกป้องตนเองกระมัง ข้าเลยเรียนรู้ได้เร็วและรุดหน้ากว่าผู้อื่น” บอกไปเรื่อยเปื่อยในเรื่องนี้ แต่อันที่จริงผู้มาจากยุคอนาคตเรียนรู้การต่อสู้มาตั้งแต่เด็กต่างหาก แม้จะอยู่ในร่างใหม่นางก็ยังคล่องแคล่วราวกับไร้น้ำหนักเช่นที่เห็น “คุณหนูหรงจะบอกว่าใช้เวลาฝึกมั่วเพียงสองปี ก็เก่งกาจได้ถึงเพียงนี้กระนั้นหรือ หึ!...เอ่ยกับเด็กห้าขวบเถอะ ข้าไม่อาจทำใจเชื่อได้หรอก” เสียงกดต่ำดังขึ้นหยันซึ่งหน้า เป็นใครไปไม่ได้นอกจากจางฟู่ ทำให้ไป่จิ้งส่งสายตาตำหนิคนของตนทันที แม้ในใจเขาจะไม่เชื่อสิ่งที่นางเอ่ยก็เถอะ ทว่ายามนี้เขาก็จำต้องตามน้ำไป รอดูแค่ว่านางจะมีเล่ห์กลอีกหรือไม่ “ใต้เท้าจะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ ข้าก็แค่ตอบตามจริง นี่ก็ค่ำแล้ว พูดคุยกับบุรุษอื่นนานไปคงไม่ดีนัก แค่นี้ผู้คนก็ครหานินทาเป็นหางว่าวแล้ว หากมีอีกเรื่องข้าก็ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” เอ่ยบอกก่อนจะลุก ทำให้ไป่จิ้งต้องลุกตามทันที ในใจก็อยากจะรั้งนางให้อยู่ต่อ ทว่าเขาทำไม่ได้ “คุณหนูอย่าได้กังวล ข้ากล่าวแล้วว่าจะไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องของท่านในทางเสียหายอีก คุณหนูกลับไปพักให้สบายใจเถอะขอรับ” ไป่จิ้งเอ่ยกับคนตัวเล็ก พร้อมกับใช้สายตากรุ่มกริ่มมองอย่างเปิดเผย “อะไรกันคนผู้นี้ ไยถึงทำเรื่องดูหมิ่นข้าหลายครานัก ซ้ำยังทำต่อหน้าสหายที่เป็นคนสนิทของท่านโหวอีก ไม่เกรงว่าผู้เป็นนายจะรู้หรืออย่างไรกัน” ต่อว่าอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะเดินกลับไปที่เรือนพักของตน โดยมีสายตาคมของท่านโหวมองตามจนกระทั่งประตูปิดลง พร้อมกับเผยยิ้มร้ายออกมา “นายท่านเชื่อที่นางเอ่ยหรือขอรับ” จางฟู่ถามทันที “เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นที่นางเอ่ยไม่ได้ เจ้าก็เห็นแล้วว่านางหลักแหลมเพียงใด หากมีทักษะดีก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเรียนรู้ไวไม่ใช่หรือ” เอ่ยจบเขาก็เผยยิ้มร้ายออกมา ก่อนจะเดินไปยังเรือนด้านหลังของอนุหลี่ เพราะสหายกำลังเดินทางมา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD