8. ปากดี

1723 Words
ผ่านไปสองวันว่าที่ฮูหยินก็ยังคงอยู่แต่ในห้อง ทว่านางก็มีสิ่งที่ทำโดยมีสาวใช้ของตนคอยจัดหาอุปกรณ์ให้ เพราะเสี่ยวมี่รู้ดีว่าต้องใช้สิ่งใดบ้าง นางเองก็ไม่อยากให้ผู้เป็นนายอยู่เฉย เกรงจะคิดแต่เรื่องในจวนนี้ ยามนี้ห้องพักของซูหลินจึงมีหม้อต้มยา และสมุนไพรมากมาย ซึ่งนางกำลังเคี่ยวเพื่อหยอดใส่แป้นพิมพ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเอง การเก็บรักษามันจะได้ง่ายขึ้น ทว่าสิ่งที่นางทำ คนด้านนอกนั้นไม่รู้ จึงเอ่ยเล่ากันไปต่างๆ นานา “หรงเอ๋อ เจ้าเข้าออกเรือนว่าที่ฮูหยินบ่อยครั้ง นางอัปลักษณ์เช่นที่ได้ยินมาหรือไม่” สาวใช้ของเรือนอนุหลี่เอ่ยถามบ่าวที่คอยรับใช้เรือนว่าที่ฮูหยิน ทันทีที่พบ เพราะอยากรู้ว่า ว่าที่ฮูหยินนั้นเป็นเช่นไร “ข้าเองก็อยากรู้ไม่แพ้เจ้าหรอก ทว่ายามเข้าไปทำความสะอาดห้อง คุณหนูหรงจะอยู่ที่หน้าเตาตลอด ซ้ำยังมีผ้าผูกปิดหน้าอีก ข้าจึงไม่เคยเห็นเลย” คนถูกถามรีบตอบ เพราะนางเองก็คันปากอยากเล่าเต็มที “จริงหรือ ดูท่านางคงอัปลักษณ์เช่นที่ได้ยินมาเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ปิดบังใบหน้าแม้ยามที่อยู่ในเรือน หึ…แบบนี้ก็ดี ท่านโหวเองก็ไม่ได้ใส่ใจนาง จึงสั่งไม่ให้บอกฐานะเช่นนี้ คงเกรงนางจะตกหลุมรักกระมัง” เอ่ยก่อนจะหัวเราะเยาะออกมาอย่างชอบใจ “นั่นสิ ท่านโหวเราถึงจะอายุมาก ทว่ารูปงามไม่ต่างจากบุรุษวัยหนุ่มเลย ข้าว่าหากคุณหนูหรงเห็นก็คงจะตามตอแยไม่หยุดหย่อนเป็นแน่” เสียงพูดคุยของสาวใช้ดังอยู่ในมุมสวน ซึ่งยามนี้ไป่จิ้งโหวก็ยืนฟังอยู่ “นางทำสิ่งใดอยู่ในเรือนกระนั้นหรือ เหตุใดถึงมีเตา แล้วนี่ไม่คิดจะออกมานอกห้องเลยหรือไง” หันมาถามคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านหลัง มู่หยางจึงรีบรายงาน “สาวใช้ของนางไปที่โรงหมอทุกวันขอรับ ซื้อข้าวของมามากมาย ทว่าล้วนแต่เป็นสมุนไพร และยังมีแม่แบบบางอย่าง ดูท่าจะเอามาทำแม่พิมพ์ขอรับ สาวใช้ที่ทำความสะอาดเรือนก็รายงานว่าเข้าไปทีไร นางก็อยู่แต่หน้าเตาขอรับ ยาที่นางเอาให้เรากินเมื่อคราวก่อน ก็คงได้มาเพราะคุณหนูหรงปรุงขึ้นมาเองกระมัง” “หึ…มีความรู้มากเพียงนี้เชียว ข้าอยากรู้ว่านางปรุงยาอันใด คงไม่ใช่ยาพิษหรอกนะ” เอ่ยมาถึงตรงนี้ทั้งสามก็มองหน้ากัน ทำให้ไป่จิ้งโหวต้องรีบสาวเท้าไปที่เรือนฮวาของว่าที่ฮูหยิน เพราะเกรงว่านางจะคิดร้ายกับคนในจวน หรือไม่ก็เป็นสายให้กับชินอ๋อง เช่นพี่ชายของนาง แม้เขาจะสั่งให้สืบเรื่องภูมิหลังของซูหลินอีกครั้ง ซึ่งมันไม่ต่างจากที่ได้ยินมาคราแรกเลย แต่ถึงกระนั้นท่านโหวก็ไม่วางใจสตรีร้อยเล่ห์ผู้นี้ เพราะแต่ละสิ่งที่นางเผยออกมา สตรีทั่วไปล้วนแต่ไม่ทำกัน มันยิ่งทำให้เขาไม่ไว้วางใจนางเลยสักนิด จึงต้องคอยจับตาดูเช่นนี้ ด้านเรือนฮวาของซูหลิน ยามเซิน [15:00-16:59] “คุณหนูไม่ออกไปสำรวจข้างนอกหน่อยหรือเจ้าคะ เรามาอยู่ที่นี่สองวันแล้วนะ” เอ่ยถามผู้เป็นนาย ซึ่งยามนี้นางกำลังรอให้ยาในแป้นพิมพ์แห้ง “พี่อยากออกไปหรือ” เอ่ยจบ นางก็ลุกเดินมาที่โต๊ะ มือเล็กก็หยิบขนมดอกท้อเข้าปากเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย “อยากออกไปดูความโอ่อ่าในจวนโหวเจ้าค่ะ แม้ว่ายามที่เข้ามาคราแรกจะได้เห็นบ้างแล้ว ทว่าพี่ก็มองแค่ผ่านๆ ครั้นจะออกไปเดินคนเดียวบ่าวไพร่ที่นี่ก็ปากดีนัก” ซูหลินนึกขันกับท่าทีของสาวใช้ ซึ่งแต่ละวันยามออกไปข้างนอก เสี่ยวมี่ก็มักจะมาบ่นเรื่องนี้ให้ฟัง บอกว่าคนในจวนพูดกันแต่เรื่องผู้เป็นนายอัปลักษณ์ “หึหึ เอาเถอะ ข้าจะออกไปก็แล้วกัน ไม่ต้องทำตาเป็นประกายเช่นนั้นเลยนะ ต่อไปพี่ก็ไม่ต้องได้ยินคนพูดถึงเรื่องข้าอัปลักษณ์อีกแล้วนะ พอใจหรือไม่” บอกพร้อมกับลุกขึ้น และไม่ลืมหยิบขนมติดมือมาด้วย ทว่าแค่เปิดประตูเรือนออกมา บ่าวไพร่ที่ยังคงเดินอยู่ในสวนก็พากันหันมองแล้ว พวกเขาหมายจะดูให้เห็นกับตาว่า ว่าที่ฮูหยินนั้นอัปลักษณ์จริงหรือไม่ ไยนางถึงได้เก็บตัวไม่ออกมาจากห้องเสียที ทว่าพอร่างเล็กก้าวออกมา ทุกคนก็ตะลึงงัน เพราะสตรีตัวน้อยหน้าตางดงามยิ่งนัก นางอยู่ในอาภรณ์สีชมพูอ่อน ขับกับผิวขาวละมุนราวไข่มุก ยามผิวกายนางต้องกับแสงแดดยิ่งดูเปล่งประกายส่องสว่าง ตัดกับผมสลวยที่ปล่อยยาวลงมาถึงกลางหลัง ยามลมพัดปลิวยิ่งน่ามอง “นี่เจ้าเห็นหรือไม่ นั่นคือคุณหนูหรงงั้นหรือ ไหนว่านางอัปลักษณ์ ไยถึงงามราวเทพธิดาเช่นนี้ล่ะ” เสียงสาวใช้นางหนึ่งเอ่ยขึ้น ในขณะที่ยืนมองสตรีตัวน้อยหน้าตาหมดจดบนเรือนพัก ซึ่งเป็นแบบยกสูงมีบันไดขึ้นเจ็ดขั้น “นั่นสิ ดูแก้มเนียนใสของนางสิ ตาก็โตเหมือนกวาง จมูกก็ได้รูป แล้วก็ริมฝีปากแดงระเรื่อนั่นอีก งามยิ่งกว่าสตรีในภาพวาดที่ข้าเคยเห็นอีกนะ นางน่าทะนุถนอมยิ่ง” ถ้อยคำชื่นชมดังมาจากทุกมุม เมื่อสตรีตัวน้อยก้าวลงมาจากเรือน เสียงซุบซิบก็ดังตามหลังให้ได้ยิน ทว่าคนถูกพูดถึงกลับยิ้มชอบใจ เพราะทุกถ้อยคำล้วนแต่เอ่ยชม “เหอะ!…พวกหน้าไหว้หลังหลอก สองวันก่อนยังพูดถึงคุณหนูไม่ดีอยู่เลย มาวันนี้กลับกล้ามาเอ่ยชื่นชม…ชิ” เสี่ยวมี่อดไม่ได้จึงเอ่ยออกมาดังๆ ทำเอาแต่ละคนถึงกับหน้าเจื่อน เพราะมันจริงเช่นที่นางเอ่ย ทุกคนในเรือนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ไปในทางไม่ดี บอกว่าคุณหนูหรงไม่เหมาะกับท่านโหวของตน จนผู้เป็นนายไม่กล้าเปิดเผยฐานะให้รู้ ทว่าเดินยังไม่ทันถึงศาลา ก็เจอกับไป่จิ้งโหวและคนสนิทของเขา ซึ่งทั้งสามก็ได้แต่ตะลึงงันเมื่อเห็นสตรีงามตรงหน้า ตัวซูหลินก็ฉงนไม่แพ้กัน เมื่อเห็นบุรุษหนุ่มรูปงามเดินตรงเข้ามา คิ้วสวยผูกกันเป็นปมทันที เพราะดูจากท่าทางเขาคงเป็นคนสำคัญ หรือไม่ก็มีฐานะสูงไม่น้อย เพราะบ่าวไพร่ดูนอบน้อมกับเขามาก “หรือเขาจะเป็นหัวหน้าหน่วยอารักขาผู้นั้น ถ้าท่านโหวหน้าตาดีได้ครึ่งบุรุษผู้นี้ก็คงดี” ซูหลินคิดในใจเมื่อเห็นคนตัวโตเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า ก่อนนั้นนางไม่ได้สังเกตหน้าตาเขานัก เพราะส่วนมากก็อยู่ในช่วงชุลมุน ยามคุยกันปกติตนก็คลุมหน้าไว้จึงมองอีกฝ่ายไม่ถนัด “แม่นางท่านนี้คือ” มู่หยางเอ่ยถามเมื่อเดินมายืนต่อหน้าสตรีทั้งสอง แม้ว่าเขาจะจำเสี่ยวมี่ได้ แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าสตรีตัวน้อย ใบหน้าหวานจิ้มลิ้มน่าทะนุถนอมผู้นี้ จะเป็นว่าที่ฮูหยินของท่านโหวจริงๆ “นี่คือคุณหนูหรงซูหลินเจ้าค่ะ” เสี่ยวมี่เอ่ยบอก สองสหายหันมองหน้ากันทันที ก่อนจะหันมองผู้เป็นนายที่ยืนนิ่งมองคนตัวเล็กพร้อมกับเผยยิ้มที่มุมปาก ซ้ำยังก้าวเท้าเข้ามาหาเพราะลืมว่าตนนั้นอยู่ในฐานะใดยามนี้ “จะมากไปแล้วนะ เจ้าเป็นแค่ผู้ติดตามท่านโหว กล้าดีอันใดกล้ายืนจ้องหน้านางเพียงนี้ อีกหน่อยนางก็ต้องเป็นนายของเจ้า เสียมารยาทจริงเชียว” เสี่ยวมี่ตำหนิเสียงดัง ทำเอาทุกคนในจวนต่างก็รีบหมอบลงกับพื้น เพราะผู้ที่สาวใช้ผู้นี้ตำหนิคือท่านประมุขของจวน ดูท่าหลังนางคงจะลายก็คราวนี้ เพราะบังอาจล่วงเกินท่านโหว “พี่เสี่ยวมี่พอเถอะ ใต้เท้าก็แค่สงสัยว่าข้าเป็นใคร อย่าได้สร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น เรายังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน” มือเล็กกดแขนของสาวใช้ลง ก่อนจะหันมาหาผู้ที่ยืนขบกรามอยู่ตรงหน้า ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนองครักษ์เลยสักนิด คนรอบข้างก็ดูเหมือนจะเกรงใจจนเกินเหตุ แต่ถ้าบอกว่าเขาเป็นเครือญาติของท่านโหวก็พอจะเข้าใจได้ ทว่าคนตัวโตเป็นเพียงองครักษ์ “ขออภัยแทนคนของข้าด้วยนะเจ้าคะ นางก็แค่ไม่อยากให้ผู้ใดดูถูกข้าก็เท่านั้น เพราะตั้งแต่เข้ามาในจวนนี้ ทุกคนก็มองสตรีบ้านนอกเช่นข้า เป็นแค่คนมักใหญ่ใฝ่สูง อัปลักษณ์ไม่รู้จักเจียมตน นางได้ยินทุกวันจึงเกิดโทสะอย่างที่เห็น อย่าได้ถือสาเลยนะเจ้าคะ” เสียงหวานเอ่ยบอก ก่อนจะเผยยิ้มละมุนส่งให้เขา ทว่าในใจมันกลับตรงกันข้าม เพราะซูหลินก็ไม่ได้ชอบใจนัก นางจึงแสร้งเอ่ยต่อว่าคนในจวนไปด้วยกรายๆ ทำเอาเจ้าของจวนถึงกับหน้าเจื่อนไปครู่หนึ่ง แต่ก็ดึงสติกลับมาได้เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ให้คนในจวนรู้ว่ายามนี้เขากำลังพึงใจรอยยิ้มของสตรีตรงหน้า ซึ่งมันดูสดใสยิ่งนัก ก็นางงามถึงเพียงนี้ จะไม่ให้เขาตกตะลึงได้เยี่ยงไร บุรุษใดเห็นใบหน้านี้จะไม่เป็นเช่นเขาก็ให้มันรู้ไปสิ ทว่า! จะทำให้ผู้อื่นล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD