สิ่งที่พลาดที่สุดในชีวิตคือการที่ฉันกลับมามีอะไรกับแฟนเก่าอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะยังเป็นผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในใจของฉันมาโดยตลอด แต่ปลายมีดอันแหลมคมที่หักคาอยู่ในอกยังคงตอกย้ำฉันทุกลมหายใจ ว่าฉันไม่ควรกลับมาสานสัมพันธ์ต่อกับเขาอีก แม้จะแค่ในส่วนของร่างกายก็ตาม...
ความหนักอึ้งบนหัวราวกับถูกทับเอาไว้ด้วยหินก้อนใหญ่ทำให้ฉันค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นสู้แสง พร้อมกับยกมือขึ้นมากุมขมับเตรียมที่จะขยับตัว ทว่าก็ต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บแสบ เพราะช่องทางด้านล่างที่โดนทารุณกรรมอย่างหนักกำลังร้องประท้วงกับสิ่งที่ฉันได้พลาดพลั้งลงไป
ตื่นขึ้นมาแล้วก็ต้องเรียกสติตัวเองอยู่สักพัก พอหันไปมองข้าง ๆ เห็นไอ้พี่เรสกำลังนอนเปลือยกายและโอบกอดฉันเอาไว้หลวม ๆ ฉันก็แทบหลุดเสียงกรี๊ด โชคดีที่มีสติเลยรีบยกมือขึ้นมาอุดปากเอาไว้ได้ทัน
ออมสินเอ๊ยยย นี่แกทำอะไรลงไป!!
ฉันอยากจะทึ้งหัวตัวเองแรง ๆ แล้วทุบให้มันหายโง่ พลาดแล้วพลาดอีก พลาดอยู่ซ้ำซาก แล้วต้องทำยังไงต่อ?
นาทีนี้สมองฉันแทบไม่ประมวลอะไรเลย เอาแต่คิดวนซ้ำ ๆ ว่าทำอะไรลงไป ก่อนจะเริ่มมีสติและฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าฉันต้องหนี
คิดได้แบบนั้นก็ค่อย ๆ จับแขนของเขาออกจากตัว แล้วย่องลงมาจากเตียงเพื่อสวมใส่เสื้อผ้าที่กองอยู่ตามพื้น แต่ดันหากางเกงในไม่เจอเลยทิ้งมันไว้ที่นี่ก่อน
“อื้ออ”
เสียงครางเบา ๆ บนเตียงพร้อมกับร่างหนาที่เริ่มขยับทำให้ฉันหยุดชะงักในจังหวะที่กำลังย่องออกไปถึงหน้าประตู
ฉันเม้มปากแน่นก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาดูและพบว่าเขาเพียงแค่ขยับเปลี่ยนท่าเท่านั้น
ฟูววว! ตกใจหมด
ฉันถอนลมหายใจออกมายาวเหยียดด้วยความโล่งใจ ก่อนจะย่องออกไปเปิดประตูแล้วออกมาจากห้องได้สำเร็จ พอประตูปิดลงก็ไม่รีรอ รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในลิฟต์
ฉันถอนหายใจออกมายาวเหยียดพร้อมกับเอนตัวไปชิดมุมด้านในของลิฟต์ แล้วยกมือขึ้นมากุมขมับเมื่อมองขึ้นไปเห็นกล้องวงจรปิดด้านบน และจำภาพได้ชัดเจนว่าเมื่อวานฉันทำอะไรไว้บ้างในมุมนี้
บอกตามตรงว่าอับอายจนต้องยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้า รอจนลิฟต์เปิดออกก็วิ่งตัวปลิวมาเรียกรถแท็กซี่ทันที
พอมาถึงหอ สิ่งแรกที่ฉันทำคือการวิ่งไปซื้อยาคุมฉุกเฉินที่ร้านขายยาใกล้ ๆ แม้ว่าไอ้พี่เรสจะมั่นใจและยืนยันหนักแน่นว่าแตกนอกตลอด แต่เมื่อคืนมันหลายรอบติดกันมาก โอกาสที่จะเล็ดลอดเข้ามามีได้สูง อย่างน้อยฉันต้องกันเอาไว้ก่อน จะได้สบายใจ
หลังจากกินยาคุมแล้วฉันก็เข้าไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว เพียงช่องทางสีหวานที่เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อโดนน้ำก็แสบจนน้ำหูน้ำตาไหล ร่องรอยสงครามที่ขึ้นจ้ำสีแดงตามลำตัวโดยเฉพาะเนินอกกำลังตอกย้ำความผิดพลาดของฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“โง่จริง ๆ เลยออม แกทำอะไรลงไป!”
ฉันหลับตาพริ้มแล้วเอนตัวพิงผนังในขณะที่ปล่อยให้น้ำไหลผ่านกาย ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นจริง ๆ ฉันควรกล่าวโทษใครดีล่ะ ยัยมิลลิตัวดีที่ล่อฉันออกไปหวังให้เพื่อนมารุมโทรม ไอ้พีทที่กล้าดีมอมยาฉัน หรือตัวฉันเองที่โง่ไปนั่งอยู่กลางที่อโคจรแบบนั้นเอง
“เฮ้ออ”
ฉันถอนลมหายใจแรง ๆ อีกครั้งแล้วปิดน้ำ ก่อนจะยกผ้าเช็ดตัวขึ้นมาซับแล้วพันผ้าเอาไว้รอบอกหลวม ๆ
เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าโทรศัพท์ของฉันกำลังสั่นไหว ใจของฉันเริ่มเต้นระรัว กลัวว่าจะเป็นไอ้พี่เรสที่โทรเข้ามา
ฉันค่อย ๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อพบว่าคนที่โทรเข้ามาไม่ใช่ไอ้พี่เรสอย่างที่เป็นกังวล
“ว่าไงแก”
ฉันกรอกเสียงลงพร้อมกับทิ้งก้นนั่งบนเตียงนุ่ม
“แกอยู่ไหน มาเรียนไหมเนี่ย อาจารย์จะเข้าห้องแล้วนะ”
“ยังเลย วันนี้ลาแล้วกัน รู้สึกไม่สบายอะ”
เนื่องจากฉันใช้ร่างกายหนักหน่วงเกิน ทำให้รู้สึกเพลียจนไม่อาจยกสังขารตัวเองไปไหนได้ไหว ขอนอนยาว ๆ ก่อนแล้วกัน
“อ้าวเหรอ เป็นอะไรมากไหม ให้ฉันซื้อยาไปให้หรือเปล่า”
ยัยก้านตองเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ
“ไม่เป็นไร ๆ ฉันกินแล้ว นอนพักสักหน่อยคงดีขึ้นแหละ”
“โอเค แต่ตอนเย็นมีจับสายรหัส รุ่นพี่สั่งว่าห้ามขาดนะ”
“เย็นนี้เหรอ...”
ลืมไปเสียสนิทเลยแฮะ งั้นก็เท่ากับว่าฉันจะต้องได้เจอหน้าไอ้พี่เรสน่ะสิ
“อื้อ แค่นี้ก่อนนะแก อาจารย์มาแล้ว”
คนปลายสายกระซิบเสียงเบาแล้วรีบกดวางสายไป ปล่อยให้ฉันลอยเคว้งไปกับความรู้สึกอับอายที่จัดการไม่ได้
“โอ๊ยยย ออมสินเอ๊ยออมสิน แล้วจะทำยังไงดี!”
ฉันยีหัวตัวเองแรง ๆ อย่างปลงตก ในหัวตอนนี้เริ่มคิดไปไกลถึงขั้นลาออก แต่ก็ไม่รู้จะหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลข้อไหนไปบอกพ่อให้เข้าใจ หรือถ้าจะให้บอกออกไปตามความจริงพ่อคงได้ช็อกตาย หรือไม่ก็คงเป็นฉันเองที่ตายคาไม้เรียวในมือพ่อ
แม้ว่าฉันจะพยายามคิดหนีอยู่ตลอดเวลา แต่ท้ายที่สุดฉันก็ไม่สามารถเลี่ยงการรับน้องได้ เลยต้องมานั่งรวมกันกับกลุ่มเพื่อนในขณะที่เริ่มจับสายรหัส
“คนสุดท้าย น้องออมสินครับ”
ฉันยืนขึ้นแล้วเดินออกไปจับสายรหัส ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นสุดท้ายขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ จากนั้นก็เดินกลับมานั่งที่เดิม
“แกอยากได้ใครอะ”
ยัยก้านตองขยับเข้ามากระซิบถามเสียงเบา
“ใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ไอ้พี่เรสอะ”
“พี่เรส? ทำไมเหรอ”
ฉันจ้องมองแววตาใสซื่อที่มองมา แอบชั่งใจอยู่เล็กน้อยว่าควรบอกยัยนี่ดีไหม แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าถ้ายัยนี่รู้เรื่องของฉันกับไอ้พี่เรส เธอยังเลือกที่จะคบกับไอ้พี่เรสอยู่หรือเปล่า
“รู้แล้วเหยียบ”
“อื้อ”
อีกฝ่ายพยักหน้าระรัวด้วยความอยากรู้เต็มทน
“ผัวเก่า”
“ฮะ!!!”
เป็นไปอย่างที่คิด ยัยก้านตองเผลอร้องเสียงหลงทำเอาทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว
“ไม่มีมารยาท”
พี่แพมเอ่ยตำหนิเพื่อนรักฉันซึ่ง ๆ หน้า สร้างความขุ่นเคืองใจให้ฉันไม่น้อย แต่ก็ทำได้เพียงมองตาขวาง ไม่รู้ว่ายัยนี่เป็นอะไรนักหนากับยัยก้านตอง เห็นแขวะเพื่อนฉันอยู่หลายที แต่ก็โดนยัยนี่เอาคืนอยู่บ่อยครั้ง พอถาม
ยัยก้านตอง เธอก็บอกว่าไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมยัยพี่แพมนี่ถึงได้จงเกลียดจงชังเธอนัก
“เอาละ ทีนี้เปิดกระดาษได้”
ฉันค่อย ๆ คลี่เปิดแผ่นกระดาษออก และพบกับคำใบ้ที่ชวนให้ใจเต้นระส่ำ
เรียกพี่ว่าไอ้หน้าหล่อ
หน้าหล่องั้นเหรอ... ฉันเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับกวาดสายตามองไปยังรุ่นพี่ที่ยืนล้อมอยู่ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อไปปะทะสายตาเข้ากับผู้ชายอันตรายที่กำลังจ้องมองฉันอยู่ก่อน
และทันทีที่เขากระตุกยิ้ม ฉันก็รีบก้มหน้าแล้วหันไปคุยกับยัยก้านตอง คำใบ้ตอนนี้มันสุ่มเสี่ยงมาก เพราะคนที่จะมั่นหน้าถึงขนาดที่กล้าเรียกตัวเองว่าไอ้หน้าหล่อได้ก็คงมีแค่พี่เรสกับพี่ไทน์ ฉันจึงแลกคำใบ้กับ
ยัยก้านตอง และเป็นไปตามคาดจริง ๆ เพราะคำใบ้ที่ฉันได้ในตอนแรกคือพี่เรส ส่วนคำใบ้ที่ไปสลับกับยัยก้านตองมาคือพี่ไทน์
ก็ยังดีวะ อย่างน้อยพี่ไทน์เขาก็ใจดีกับฉัน ถึงแม้ต่อหน้าคนอื่นเขาต้องวางมาดโหดให้ทุกคนกลัวก็ตาม