ตอนที่6

1692 Words
เรวัฒน์หลับตาพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า...ก่อนที่เขาจะรับรู้ได้ถึงความนุ่มของฝ่ามือน้อยๆของใครบางคนที่แตะบ่าเขาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหวานๆที่ยามเมื่อได้ฟังเขาจะรู้สึกสดชื่นแล้วมีกำลังใจทุกครั้ง “วันนี้พ่อไปทำอะไรมาคะ...ท่าทางดูเหนื่อยๆ” เธอพูดบางบีบนวดไหล่หนาของผู้เป็นบิดาไปด้วย เรวัฒน์เลยได้แต่กล้ำกลืนอาการจุกในลำคอคงแล้วพูดตอบไปว่า “ไม่มีอะไรหรอกลูก...ช่วงนี้พ่อแค่ทำงานหนักไปหน่อยเท่านั้นเอง” “พ่ออย่าทำงานหนักมากสิคะ เดี๋ยวก็ไม่สบายต้องเข้าโรงพยาบาลเหมือนคราวที่แล้วหรอกค่ะ” เธอพูดก่อนจะอ้อมเดินมาทรุดนั่งลงเคียงข้างคนเป็นบิดา “ไม่หรอกเร พ่อแค่เพลียเฉยๆพักสักแป๊บก็หาย...” เรวัฒน์พูดในขณะที่มองใบหน้าหวานของลูกสาวตนเองไปด้วย “แล้วนี่เรเหลืออีกกี่เดือนถึงจะเรียนจบ?” หญิงสาวหน้างอที่บิดาเปลี่ยนเรื่อง แต่เธอก็ยอมตอบ “เรเหลืออีกแค่เดือนกว่าๆเท่านั้นเองค่ะคุณพ่อ...ทำไมเหรอคะ?” ท้ายประโยคเธอถามกลับแต่เรวัฒน์กลับส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร เธอเลยไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร “ไม่มีอะไรหรอกลูก พ่อก็ถามเผื่อๆไว้ จะได้เตรียมตัวไปงานรับปริญญาของลูกไง เรจะไปไหนก็ไปเถอะลูก พ่อว่าจะขึ้นไปพักผ่อนซะหน่อย” “ค่ะ” เรณุการับคำเสียงเบาในขณะที่เรวัฒน์ลุกขึ้นยืน เขาเอามือขยี้ผมที่ลื่นราวกับไหมของลูกสาวก่อนจะผละขึ้นไปชั้นบนของบ้าน ทั้งๆที่อยากจะบอกใจจะขาด แต่เขาก็กลัวเกินกว่าจะบอกเล่าความเห็นแก่ตัวของเขาให้ลูกฟังได้ เรวัฒน์ได้แต่คิดอย่างกลุ้มใจ ในใจได้แต่ภาวนาอย่าให้อโณทัยออกมาทำอะไรให้ยัยเรรู้เรื่องเร็วนักเลย เรณุกา...พ่อขอโทษ... “คุณไทม์จะเอายังไงกับเรื่องนี้ต่อไปดีครับ” สิรกรพูดขึ้นเมื่อภายในห้องนี้เหลือเพียงเขาและอโณทัยเพียงสองคนเท่านั้น กว่าชั่วโมงแล้วที่เขาเห็นเจ้านายเขาเอาแต่นิ่งเงียบนับตั้งแต่เรวัฒน์กลับไป อโณทัยยกมือหนาไล้ริมฝีปากตนเองเบาๆ ด้วยท่าประจำของเขาที่มีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่รู้ดีว่า เขาจะทำเช่นนี้เมื่อมีเรื่องต้องคิดหนัก คิ้วหนาขมวดมุ่นก่อนที่จะคลายออกช้าๆพร้อมกับที่ริมฝีปากหนานั้นหยัดขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนที่เขาจะตอบลูกน้องคนสนิทไปว่า “ก็ทำในสิ่งที่นายเคยทำมาตลอดนั่นแหละกร...ไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในสามวัน!” เขาสั่งสิรกรด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยก่อนจะพูดต่อว่า “อ้อ...ส่วนเรื่องของเรณุกาไม่ต้องนะ...เดี๋ยวฉันจัดการเอง!” เรณุกากำลังเตรียมตัวจะออกจากบ้านเพื่อไปตามนัดของบรรดาเพื่อนๆนั้นก็ต้องชะงักเท้าเมื่อเสียงโทรศัพท์บ้านที่กรีดร้องนั้น หญิงสาวจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากเดินไปทางประตูก็เปลี่ยนไปยังโทรศัพท์ที่กำลังกรีดร้องเสียงดังลั่นแทน “บ้านกิจจานุลักษณ์ค่ะ” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปและดูเหมือนปลายสายจะรู้ว่าใครเป็นคนรับเพราะคนทางโน้นพูดว่า [น้องเรเหรอครับ... นี่พี่วินเองนะ] “พี่วินเหรอคะ!” เรณุกาอุทานเรียกชื่อคนปลายสายด้วยความดีใจ ใบหน้าหวานมีรอยยิ้มกว้างแต่งแต้มขึ้นมาทันที “พี่วินเป็นยังไงบ้างคะอยู่ที่โน่นสบายดีไหม แล้ว...” เธอละล่ำละลักถามจนคนปลายสายหัวเราะร่วน [ถามทีละคำถามสิครับน้องเร พี่ตอบไม่ทัน] คำพูดของอนาวินทำให้เรณุกาที่รู้ว่าตนเองชักตื่นเต้นจัดเลยได้แต่หัวเราะแหะๆอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษค่ะพี่วิน เรตื่นเต้นไปหน่อยไม่คิดว่าเป็นพี่วินโทรมา...แล้วนี่พี่วินเรียนหนักมากเลยเหรอคะ? จดหมายของเดือนนี้ถึงส่งมาให้เรได้แค่สามฉบับเอง” ตอนท้ายหญิงสาวอดต่อว่าเขานิดๆไม่ได้ อนาวินเลยได้แต่หัวเราะร่วนก่อนจะขอโทษขอโพยเธอ แล้วบอกว่าเขามัวแต่วิ่งวุ่นทำงานเลยไม่มีเวลาเขียนจดหมายตอบเธอ ทั้งคู่คุยกันไปเรื่อยๆจนเรณุกาเหลือบไปมองนาฬิกาบนผนังห้องแล้วก็ต้องอุทานออกมา “อุ๊ย! เรคงต้องวางสายแล้วค่ะพี่วิน เรนัดยัยคีกับยัยพีไว้ค่ะ ตอนนี้สายแล้วด้วยป่านนี้ยัยพีคงบ่นแล้วแน่ๆเลย” [ครับน้องเร ฝากสวัสดีน้องคีและน้องพีด้วยนะครับ] อนาวินตอบก่อนจะพูดต่อไปว่า [พี่คิดถึงน้องเรทุกลมหายใจเข้าออกนะ...คิดถึงพี่บ้างล่ะ] คำพูดของเขาทำเอาคนฟังหน้าแดงซ่าน ก่อนหญิงสาวจะตอบรับคำของเขาที่ทำให้หัวใจของคนฟังพองโต “แต่สำหรับเรแค่คำว่าคิดถึงคงไม่พอ เพราะพี่วินอยู่ในหัวใจของเร...ตลอดเวลา” “ว่าไงยะ! ยัยคุณหนูเร แกมัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงได้มาสายขนาดนี้!” ทันทีที่มาหยุดยืนตรงหน้าเพื่อนสาวทั้งสอง พีรดาคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มก็เริ่มเปิดฉากบ่นทันทีทำเอาคนมาสายถึงกับคอย่น แต่ยังไม่ทันที่พีรดาจะได้เปิดฉากบ่นมากกว่านี้ คีตยาก็แตะท่อนแขนเรียวของเจ้าหล่อนเบาๆเป็นเชิงห้ามไม่ให้เธอพูดหรือบ่นอะไรอีก ทำเอาพีรดาได้แต่ส่งค้อนให้เรณุกาแต่ก็ยอมเงียบแต่โดยดี เมื่อรวมตัวกันครบคีตยาจึงเรียกพนักงานเพื่อสั่งอาหารก่อนจะหันมาสนใจคนมาสายที่สุดในกลุ่ม “ทำไมมาสายล่ะเร มีเรื่องอะไรรึเปล่า?” หญิงสาวถามด้วยต่างคนก็รู้ดีว่าเรณุกาไม่ใช่คนที่จะมาสายเสมอในยามมีนัดกัน เผลอๆเจ้าหล่อนมาก่อนเวลาด้วยซ้ำ “ไม่มีอะไร พอดีตอนฉันกำลังจะออกมาพี่วินโทรมาพอดี เลยคุยกันเพลิน” “โห...” พีรดาร้องเสียงดังที่ดูก็รู้ว่าตั้งใจล้อเลียนคนมาสายเพราะแฟนโทรมา “คุยกับแฟนเพลินจนลืมเพื่อน” เรณุกาตวัดมือฟาดลงบนท่อนแขนเรียวของคนขี้ล้อเบาๆ ใบหน้าหวานขึ้นสีสุกชวนมอง “บ้าน่ายัยพี” “พอๆ” อีกครั้งที่กรรมการประจำกลุ่มห้าม เจ้าหล่อนส่ายหัวอย่างระอาเมื่อเห็นพีรดาทำหน้ามุ่ยที่ไม่ได้แกล้งคนหน้าแดงต่อ “เลิกเถียงกันได้แล้ว ที่นัดมาวันนี้ไม่ได้ให้มาเถียงกันนะ” คนฟังทั้งสองหน้าจ๋อยลงเพราะนานๆทีกรรมการห้ามมวยจะเกิดอาการตบะแตกเสียที เธอและพีรดาเลยได้แต่แอบมองหน้ากันแล้วแอบส่งยิ้มให้กันอย่างขบขัน ไอ้เรื่องที่เธอและพีรดาปะทะคารมกันมันน่าจะทำให้คีตยาชินได้แล้ว แต่แม่คนเรียบร้อยก็ยังไม่ชินสักทีสิน่า “แล้วคีนัดพวกเรามามีอะไรเหรอ?” เรณุกาถามขึ้นเมื่อพวกเธอจัดการรับประทานอาหารที่สั่งมาทั้งหมดจนเกือบหมดแล้ว พีรดาที่กำลังทานไอศกรีมล้างปากตบท้ายรายการยังต้องสนใจเงยหน้าขึ้นมาฟังด้วยความอยากรู้เช่นกัน “ไม่มีอะไรมากหรอก แค่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าพวกเราจะไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เลยนัดออกมาเฉยๆ แล้วก็อยากจะถามอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง” คีตยาพูดในขณะที่พีรดาก็กลับไปสนใจถ้วยไอศกรีมตรงหน้าต่อ มีเพียงเรณุกาเท่านั้นที่พยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับรู้ ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่พวกเธอก็จะเรียนจบ แต่ละคนเลยต่างมีเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกันไป แก๊งสามสาวของเธอก็คงอาจจะไม่ได้มาเจอกันบ่อยๆอีกแล้วก็ได้เพราะต่างคนต่างก็มีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง “แล้วคิดๆกันไว้รึยังว่าจะไปทำอะไร?” คนที่เหมือนจะไม่สนใจฟังถามขึ้น ดวงตากลมโตที่ล้อมกรอบไปด้วยแพขนตาดกหนาของพีรดามองสบกับดวงตาของเพื่อนทั้งสอง ก่อนที่เรณุกาจะเป็นคนตอบก่อน “ฉัน...คงจะไปช่วยงานคุณพ่อน่ะ เห็นท่านทำงานหนักช่วงนี้แล้วไม่สบายใจเลย” “ส่วนฉัน…” คีตยาคนเรียบร้อยกลับมีสีหน้าคิดหนัก “อาจจะไปเรียนต่อ...แล้วพีล่ะ คิดไว้ว่าไง” “ฉันเหรอ?” คนตัวเล็กสุดชี้นิ้วเข้าหาตัวเองก่อนตอบว่า “คงหางานทำนั่นแหละ ฉันไม่ได้เกิดมามีบริษัทเป็นของตัวเองอย่างแกสองคนนี่” “งั้นมาทำกับฉันไหม? เดี๋ยวฝากคุณพ่อให้” คีตยาถามในขณะที่เรณุกาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “นั่นสิพี...ไปทำที่บ้านคีก็ได้นะ” แต่คนที่มีทีท่าว่าจะได้งานง่ายดายกลับสะบัดหัวไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ “ไม่เอา...ฉันอยากใช้ความสามารถของตัวเองก่อน แล้ววันไหนหางานไม่ได้จริงๆแล้วจะมาพึ่งใบบุญนะคะคุณหนูเรณุกา คุณหนูคีตยา” พอพีรดาพูดจบสามสาวก็ประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน ท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่จับจ้องมองรอยยิ้มที่สดใสของ ‘หนึ่งในสามสาว’ ไม่วางตา อโณทัยเบือนหน้ากลับมามองตรงหน้าเช่นเดิม หลังจากที่เผลอมองรอยยิ้มหวานของเธอเข้าแล้วเกิดอาการเคลิ้มจนแทบจะเบือนสายตากลับมาไม่ได้ หัวใจที่เคยเต้นราบเรียบบัดนี้กลับเต้นระรัว เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของตนเองกระตุกวาบ หลังจากที่มันเคยเป็นมาแล้วเพียงเพราะได้สบสายตาคมหวานของเธอเพียงเสี้ยววินาที ‘เธอร่ายมนตร์อะไรใส่ฉัน...เรณุกา’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD