บทที่ 4-2 ไม่อยากตัดใจ

1763 Words
“คิดถึงพี่หมอบูมจัง” ปภาวรินทร์ถอนหายใจ หญิงสาววางกระเป๋าลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง โถมตัวใส่ที่นอนทั้งที่ยังอยู่ในชุดออกงานโปรโมตละคร จริงๆ หากเธอไปบ้านพี่หมอบูมตอนนี้ก็อาจจะทันมื้ออาหารเย็นวันอาทิตย์ของบ้านตนุนันท์สงวนรัชต์ แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายปภาวรินทร์ก็เลือกที่จะหักห้ามใจแล้วกลับมาพักผ่อนที่คอนโดฯ เพราะถ้ากลับบ้านมีหวังร่างกายของเธอคงไม่เชื่อฟัง ต้องไปให้พี่หมอบูมเห็นหน้าให้ต้องหงุดหงิดใจ เดิมทีปภาวรินทร์ไม่เคยคิดจะตัดใจหรือถอดใจจากพี่หมอบูมเลยสักครั้ง ไม่เคยมี ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายไม่เคยมีใจให้กัน แม้สักนิดก็ไม่เคยมี แต่เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเห็นพี่หมอบูมสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหน จนกระทั่งตอนที่เห็นพี่หมอบูมไปกินข้าวกับคุณหมอเด็กคนนั้นด้วยตาของเธอเอง และคำพูดตอกย้ำที่ว่า “แข่งกี่คนสุดท้ายผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม” นั่นคงหมายความว่าเขาไม่มีทางจะรู้สึกดีๆ กับเธอ และคำพูดที่สะท้อนจากมาริษาก็ลดทอนกำลังใจที่เธอจะต่อสู้กับความรักที่ไม่เห็นปลายทางสมหวังในครั้งนี้จนแทบไม่หลงเหลือ แต่เธอไม่นึกโกรธมาริษาเลยสักนิด เพราะสิ่งที่มาริษาพูดคือเรื่องจริงแบบพันเปอร์เซ็นต์ สีหน้าคล้ายหงุดหงิดใจของปารวีย์ สายตาที่ดูคล้ายไม่ชอบใจยามที่มองกัน พอนึกแบบนั้นขึ้นมาก็พานให้ปภาวรินทร์นึกอยากจะปล่อยโฮ แววตาคู่สวยเริ่มมีม่านน้ำตาบางๆ เคลือบดวงตาทั้งสองข้าง อึดอัดในอกคล้ายคนที่กำลังถูกของหนักกดทับแน่นจนกระดิกตัวไม่ได้ ปภาวรินทร์อยากให้พี่หมอบูมช่วยใจดีกับเธอสักนิด แค่นิดเดียวก็ยังดี เธอจะได้มีกำลังใจสู้ต่อไปแม้ปลายทางจะดูเลือนลางเต็มทน ร่างบางยันตัวลุกจากเตียง เดินไปหยิบมือถือในกระเป๋าสะพาย กดเข้าไปในแช็ตของปารวีย์ ช่างใจอยู่นานว่าเธอควรจะส่งข้อความไปบอกฝันดีอีกฝ่ายอย่างเช่นทุกวันดีหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าแช็ตจะหนักขวาปภาวรินทร์ก็ไม่เคยคิดจะถอดใจ ทว่าวันนี้หญิงสาวกลับรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าเต็มทน ปภาวรินทร์เลือกที่จะเก็บมือถือเอาไว้ที่เดิมอย่างตัดใจ ร่างบางก้าวเข้าห้องน้ำ และหวังว่าสายน้ำเย็นๆ จะช่วยดับความรุ่มร้อนที่อยู่ในใจของเธอได้บ้างไม่มากก็น้อย ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์กำลังฉายแววหงุดหงิดใจ ปารวีย์เข้านอนค่อนข้างเร็วคือเวลาราวสี่ทุ่มเศษ และเขาก็ตื่นค่อนข้างเช้าคือราวหกโมงเช้าไม่เกินหกโมงสิบห้านาทีเป็นประจำทุกวัน และสิ่งแรกที่เขาทำไม่นับรวมการลืมตาตื่นนั่นก็คือการการหยิบมือถือมาเช็คข้อความ เมื่อไม่เห็นข้อความที่มักจะส่งมากวนใจเขาเป็นประจำทุกคืนก็ยิ่งหงุดหงิดใจ “ก็ดี” เสียงทุ้มที่ออกมาจากริมฝีปากได้รูปเต็มไปด้วยความไม่ได้ดั่งใจ เจ้าของร่างสูงวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่เข้าห้องน้ำไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “สวัสดีค่ะหมอบูม” “สวัสดีครับ” ปารวีย์กล่าวทักทายพยาบาลหน้าห้องตรวจ ร่างสูงก้าวเข้าไปด้านใน นั่งลงที่โต๊ะทำงาน มือเรียวเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าวันนี้เขานัดคนไข้รายไหนไว้บ้างเพื่อจะได้เตรียมข้อมูลสำหรับทำการรักษา ดูข้อมูลคนไข้ได้ไม่ถึงสองราย เสียงเคาะประตูห้องทำงานของเขาก็ดังขึ้น “เชิญครับ” ปารวีย์เอ่ยอนุญาตโดยไม่ได้ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทว่าเสียงที่คุ้นหูทำให้เขาต้องชะงักมือที่กำลังขยับเมาส์ “ฉัตรทำแซนวิชทูน่ามาให้ค่ะ อย่างที่บูมเคยชอบเลย” ปารวีย์เหลือบสายตามองแซนวิชที่อยู่ในกล่องใสดูสะอาดสะอ้าน “ขอบคุณครับ แต่คราวหลังไม่ต้องก็ได้ ฉัตรจะลำบากเปล่าๆ” “ไม่ลำบากเลยค่ะ ฉัตรเต็มใจ” ฉัตรรดายิ้ม แพทย์สาวถือวิสาสะขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงโดยไม่รอให้เจ้าของห้องเชื้อเชิญ “ฉัตรทำทานเองทุกเช้าอยู่แล้ว แต่อันนี้ก็ตั้งใจทำมาให้บูมด้วย หวังว่าบูมจะไม่ปฏิเสธความตั้งใจของฉัตรนะคะ” ฉัตรรดามองปารวีย์ด้วยสายตาเว้าวอน เขาจึงพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ “ครับ” ปารวีย์ยิ้มตามมารยาท “แวะเอาแซนวิชมาให้อย่างเดียวหรือว่ามีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” “พอดีฉัตรเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างออกค่ะ” “ครับ” ปารวีย์เลิกคิ้วถาม “ตอนที่เราเป็นเอ็กซ์เทิร์นบูมเคยสัญญาเอาไว้ว่าจะตอบแทนที่ฉัตรเคยช่วยบูมตอนที่บูมไปดื่มจนมาราวด์วอร์ดไม่ไหว จำได้หรือเปล่าคะ” “จำได้ครับ” แม้จะผ่านมาเกือบแปดปีแต่ปารวีย์ก็จำได้ดี ตอนนั้นน่าจะเป็นงานวันเกิดของเพื่อนแก๊งมัธยมของเขาสักคน และเขาก็ดื่มหนักไปหน่อยจนตื่นมาราวด์วอร์ดไม่ไหว และฉัตรรดาก็เป็นคนช่วยจัดการให้จนเขาไม่ต้องถูกอาจารย์หมอตำหนิ แต่สาบานว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตของเขาจริงๆ “งั้นฉัตรขอทวงสัญญาเลยก็แล้วกันนะคะ” ใบหน้าของฉัตรรดาเต็มไปด้วยรอยยิ้มตอนที่พูดประโยคดังกล่าวออกมา ถ้าความคิดถึงฆ่าคนได้ ปภาวรินทร์คงได้ตายวันละหลายรอบ ทุกครั้งที่ได้พักรอเข้าฉากหญิงสาวเป็นอันต้องถอนหายใจแล้วทำหน้าเบื่อโลก จนมาริษาอดเป็นกังวลไม่ได้ “มีอะไรหนักอกหนักใจขนาดนั้นอะปั้นชา ฉันเห็นแกถอนหายใจหลายรอบแล้วนะ” ปภาวรินทร์มองมาริษาที่ลากเก้าอี้มานั่งใกล้กัน และเอ่ยด้วยเสียงเบาราวกับต้องการให้ได้ยินเพียงแค่สองคน “ฉันไม่อยากตัดใจจากพี่หมอเลยอะริษา” “ฉันก็นึกว่าเรื่องอะไร” “นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ” “โอเคๆ ฉันเข้าใจ” มาริษาลอบถอนหายใจ “แต่แกจะทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อแกแทบจะดับเครื่องชนแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาก็แทบไม่เปลี่ยนไปเลยอะ” “พี่หมอไม่ชอบฉันสักนิดจริงๆ เหรอ” ปภาวรินทร์แค่พูดออกไปอย่างนั้น ไม่ได้คาดหวังว่ามาริษาจะให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ เพราะคนที่จะตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุดมีเพียงคนเดียวก็คือปารวีย์ “เอางี้ไหมล่ะ” “ยังไงเหรอ” “เธอลองนัดหมอบูมมาคุยดูสิ ถามเขาไปตรงๆ เลยว่าพอจะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะมีใจให้เธอ แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลย ฉันว่าแกรู้นะว่าแกต้องทำยังไง สิบปีไม่ใช่ระยะเวลาน้อยๆ เลยนะปั้นชา” ปั้นชา ถ้าหนูพอมีเวลาว่าง แวะมาหาป้าที่บ้านหน่อยได้ไหมลูก ปภาวรินทร์ขมวดคิ้วมุ่นตอนที่ได้อ่านข้อความของถาวรีย์ผู้เป็นป้า โชคดีที่วันนี้คิวถ่ายของเธอเสร็จตอนห้าโมงเย็น หญิงสาวรีบขับรถกลับมาที่บ้าน ถาวรีย์นั่งรอเธออยู่ที่โถงรับแขก สีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณป้า” ถาวรีย์คือญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ปภาวรินทร์มี บิดากับมารดาของเธอจากไปตอนที่ปภาวรินทร์เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย และคนที่ดูแลเธอมาตลอดก็คือถาวรีย์ “ป้าไม่ได้อยากเอาเรื่องไม่สบายใจมากวนปั้นชาเลยนะลูก แต่ครั้งนี้ป้าจนปัญญาแล้วจริงๆ” น้ำเสียงที่เกือบจะสะอื้นทำปภาวรินทร์ใจคอไม่สู้ดีนัก หญิงสาวจับมือของถาวรีย์ ถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย “คุณป้าบอกหนูมาเถอะค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น เราจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาไงคะ” “คือป้า ป้าขอโทษ” ปภาวรินทร์ตกใจที่จู่ๆ ถาวรีย์ก็ปล่อยโฮ หญิงสาวรีบกอดปลอบให้คนสูงวัยกว่าคลายสะอื้น “คุณป้าใจเย็นๆ ก่อนนะคะ” ปภาวรินทร์ลูบหลังถาวรีย์ ปลอบใจอีกฝ่ายน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณป้าบอกหนูมาเถอะค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น เราจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาไงคะ” ถาวรีย์คลายสะอื้นลง ประคองมือของปภาวรินทร์เอาไว้ สบตาหญิงสาวอย่างขอลุแก่โทษ “ป้าเป็นหนี้ เป็นหนี้ยี่สิบล้าน” ได้ยินแบบนั้นปภาวรินทร์ก็พูดไม่ออก หญิงสาวหาเสียงตัวเองไม่เจอไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคง “คุณป้า…” “ป้าขอโทษนะลูก” ถาวรีย์น้ำตาคลอ “ป้าไม่คิดว่ามันจะเสียเยอะขนาดนี้” ถาวรีย์เอ่ยเสียงสะอื้น “ป้าแค่คิดว่าจะเล่นเอาสนุก แต่สุดท้ายมันก็ถล้ำลึก พอเสียมากๆ เข้าป้าก็อยากได้คืน พออยากได้คืนก็กลายเป็นหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนป้าไม่มีเงินไปคืน ทางนั้นเขาก็เลยยึดโฉนดที่ดินบ้านเราไป เพราะถ้าป้าไม่ให้เขา เขาขู่จะทำร้ายป้าน่ะปั้นชา” ปภาวรินทร์ไม่รู้จะพูดอะไร รู้สึกราวกับฟ้าถล่มลงตรงหน้า เธออยู่ในวงการบันเทิงมาราวๆ ห้าปี แต่เพิ่งจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้นก็เมื่อปีที่ผ่านมา เธอมีรายได้จากงานในวงการบันเทิงก็จริง แต่ก็ไม่ได้เยอะถึงขนาดตัวเลขที่ถาวรีย์เป็นหนี้ ยังขาดอีกหลายล้านบาท ดวงตาคู่สวยกวาดมองบริเวณโดยรอบห้องโถงของตัวบ้าน กรอบรูปของบิดามารดาที่จากไปยังคงตั้งอยู่ตามมุมต่างๆ บางรูปก็ยังแขวนอยู่บนผนังตั้งแต่ปภาวรินทร์จำความได้ ปภาวรินทร์ไม่ได้ยึดติดกับทรัพย์สมบัติ แต่บ้านหลังนี้คือความทรงจำทั้งหมดที่เธอมี เธอเสียบ้านหลังนี้ไปไม่ได้จริงๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD