ตอนที่ 8 คนแกร่ง

1618 Words
ตอนที่ 8 คนแกร่ง บนโต๊ะอาหารของตระกูลก้องเกียรติไพบูลย์ ไร้เงาของปุณณดาผู้เป็นสะใภ้มานั่งร่วมทานมื้อเช้า และดูเหมือนนั่นไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่เธอมานั่งร่วมโต๊ะแล้วถูกปฏิบัติใส่อย่างไม่ให้เกียรติ มีแต่ความเดียดฉันท์ ปุณณดาเลือกที่จะเลี่ยงพาตัวเองออกไปทำงาน แล้วแวะซื้ออาหารเช้าสำเร็จง่าย ๆ นั่งกินในรถสบาย ๆ ดีกว่าต้องมานั่งวางท่าปั้นหน้าใส่กัน “ฮึ นังคางคกขึ้นวอ ขี้เกียจสันหลังยาว สบายเหลือเกินนะสะใภ้ตระกูลนี้ ตะวันโด่งขนาดนี้แล้ว ยังไม่ตื่นอีกหรือไงหรือว่าต้องรอให้มีคนขึ้นไปอัญเชิญลงมาหรือไง” แม่ผัวผู้อคติ ค่อนขอดด่าทอลูกสะใภ้อย่างปุณณดาจนกลายเป็นเรื่องปกติ “แหม คุณป้าขา คนสมัยนี้พอวันหยุดเขาก็ขี้เกียจตื่นเช้ากันทั้งนั้นแหละค่ะ ปุณเขาคงติดนิสัยมาจากตอนอยู่เมืองนอก ที่ใช้ชีวิตสุขสบายจะตื่นตอนไหน ทำอะไรไม่ต้องแคร์หรือว่าสนใจใคร” “นี่ตาฐา ถ้าครบสัญญาตามพินัยกรรมพ่อแกเมื่อไหร่รีบหย่าให้มันจบ ๆ ไปซะนะ” “หวังว่าคุณคงไม่ลังเลใช่ไหมคะฐา” “ผมจะขึ้นไปดูหน่อยว่าทำไมเขายังไม่ลงมา” “ไม่ต้อง! แกจะขึ้นไปดูมันทำไม มีมือมีตีนหิวเมื่อไหร่เดี๋ยวมันก็ลงมาต้มบะหมี่กินเหมือนทุกทีนั่นแหละ” “ต้มบะหมี่?” ตาขวางหันไปทางแม่บ้านสองคนที่ยืนหน้าเจื่อนอยู่ข้างโต๊ะอาหาร “ก็...คือ...” “ทำไมหรือว่าแกเกิดใจอ่อนเป็นห่วงมันขึ้นมา” “ผมจะขึ้นไปดูเขา” ร่างสูงดีดตัวลุกจากเก้าอี้ย่ำเท้าเดินโครม ๆ ขึ้นไปโดยมีอรสิมาและคุณหญิงรินรดาเดินตามไปด้วย หากแต่เมื่อเข้ามาถึงห้องนอนทุกอย่างนั้นกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาของผู้อาศัย แฟ้มเอกสารมากมายที่เมื่อคืนนี้ ฐาปกรณ์ยังเห็นว่ามันกองจนเกือบท่วมหัวปุณณดามันก็อันตรธานหายไปด้วย “เจริญจริงลูกสะใภ้ฉัน นี่คงแอบหนีไปแรดที่ไหนอีกแน่ วันหยุดทั้งที แทนที่จะอยู่ดูแลผัว แม่ผัว” “อย่าไปสนใจยายปุณเลยค่ะฐา วันนี้เราจะไปไหนกันดีคะ ไปตีกอล์ฟดีหรือเปล่า เราไม่ได้ออกรอบด้วยกันนานแล้วนะ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหรือทำไม ฐาปกรณ์ถึงรู้สึกว่าวันนี้เขาอยากมาที่ออฟฟิศทั้งที่มันเป็นวันหยุด รถเก๋งสีขาวทะเบียนคุ้นตาจอดอยู่ในช่องสำหรับรถผู้บริหาร ทั่วทั้งลานจอดนั้นไม่มีรถคันอื่นเลย “เธอมาทำอะไร?” ฐาปกรณ์เดินมาหลบยืนมองห้องทำงานของรองประธานกรรมการบริษัทซึ่งเปิดไฟสว่างอยู่เพียงห้องเดียว ฝีเท้าเบาค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้ เพราะไม่ต้องการให้คนด้านในรู้ตัว เอกสารจำนวนมากยังคงวางล้นจนเต็มโต๊ะ ด้านหลังติดริมหน้าต่างกระจก ร่างหนึ่งนั่งกอดเข่าเหม่อออกไปยังภายนอก ซึ่งเป็นวิวท้องฟ้าสีหม่นของกรุงเทพมหานคร “ฮึก ฮึก ฮึก” หากหูไม่ฝาดฐาปกรณ์คิดว่าเขากำลังได้ยินเสียงสะอื้นอย่างคนร้องไห้ ดังมาจากเจ้าของแผ่นหลังบอบบางอันสั่นเทา เป็นไปได้ยังไง ผู้หญิงใจแข็ง ไร้ความรู้สึกอย่างปุณณดานะหรือจะร้องไห้เสียใจเป็น “...!.....? .....” “ฮึก ฮึก อึก” ฝ่ามือบางถูกยกขึ้นมาปาดเช็ดบนผิวแก้มซ้ำ ๆ เหมือนตอกย้ำว่าเมื่อครู่นั้นฐาปกรณ์ไม่ได้หูฝาด “อ้าว คุณฐาสวัสดีครับ” พนักงาน รปภ. คนหนึ่งตะโกนดังมาจากด้านหน้าทางเข้าลิฟต์ หยุดเสียงสะอื้นสะอึกของปุณณดาหยุดลงในทันที หากแต่ตาขวางของท่านประธานเหมือนป้ายไฟเขตหวงห้ามที่พนักงานคนนั้นถึงกับหันหลังเลี้ยวเดินกลับไปทันที “คุณฐา คุณมาทำอะไรที่นี่คะ” ดวงตาฉงนหันกลับมามองเหมือนไม่อยากเชื่อว่าจะเจอเขาที่นี่ “แล้วเธอล่ะมาทำอะไรที่นี่” “มาทำงานค่ะ” “ทำงาน? นี่มันวันหยุดนะ” “ค่ะ ฉันรู้ ฉันเคยบอกคุณไปแล้วนี่คะว่า นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตฉัน อีกอย่างฉันไม่อยากอยู่บ้านให้รกหูรกตาคุณแม่ของคุณ เดี๋ยวความดันขึ้น โรคหัวใจกำเริบฉันจะกลายเป็นฆาตรกรไปเสียอีก” “ปุณณดา ดูคุณเกลียดแม่ของผมมากเลยนะ” “อย่าพูดจาใส่ร้ายฉันอย่างนั้นสิคะ ระหว่างฉันเกลียดแม่คุณ กับแม่คุณเกลียดฉัน คุณลองไตร่ตรองดูสักหน่อยดีหรือเปล่าคะว่า....ใครเกลียดใครมากกว่ากัน” “ปุณ!” “ถ้าจะมาชวนทะเลาะ กลับไปเถอะค่ะ เสียเวลาฉันทำงาน อ้อ ฉันจะไม่กลับบ้านสักสองสามวันนะคะ” “คุณจะไปไหน?” “ทำงานค่ะ” “งานอะไร?” “เอ๊ะ คุณนี่ยังไง ทำงานก็คือทำงาน ฉันไม่เหมือนคุณที่เอาเวลางานไปใช้ในเรื่องส่วนตัวหรอกค่ะ” หน้าเชิดสะบัดยกคางขึ้นสูง อาการอย่างนี้นานหลายปีแล้วที่ฐาปกรณ์ไม่ได้เห็นมัน “ผมถามในฐานะประธานบริษัท ไปทำงานอะไร” “เฮ้อ ได้ถ้าอย่างนั้นฉันจะตอบในฐานะรองประธานกรรมการบริษัทฯ เรียนคุณฐาปกรณ์ ก้องเกียรติไพบูลย์ ดิฉันนางสาวปุณณดา ปรีชาวราพัชช์ มีเหตุจำเป็นต้องเดินทางไปยังบริษัทในเครือส่วนภูมิภาค เพื่อตรวจสอบการทำงานของคณะบริหาร พอใจหรือยังคะท่านประธาน” “ไปกับใคร?” “นี่คุณฐา ฉันโตแล้วอายุยี่สิบแปดปี ฉันสามารถเดินทางตัวคนเดียวได้ โดยไม่ต้องมีผู้ปกครอง คอยเซ็นรับรองเอกสารหรือตามประกบ” “ไปทำงานคนเดียวเนี่ยนะ” “แปลกหรือคะ ตอนนี้ฉันก็กำลังทำงานคนเดียว” มือผายไปยังเอกสารกองใหญ่บนโต๊ะ “เฮอะ ปุณณดาคุณนี่เก่งไปทุกเรื่องเลยนะ เก่งไม่เคยเปลี่ยน คิดเอง เออเอง ตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยไม่เคยคิดถามความเห็นของใคร...ไม่เคยเปลี่ยนเลย” “แล้วฉันต้องถามใคร ถามคุณอย่างนั้นหรือ...คุณเคยอยู่ให้ฉันถามหรือปรึกษาหรือเปล่าล่ะ ทุกครั้งที่ฉันเดินไปหา คุณฐาขาไปทานข้าวกันอรนะคะ คุณฐาขาไปช็อปปิงกับอรนะคะ คุณฐาขา....ไม่เคยนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเลย ฉันจะปรึกษาคุณยังไง ขนาดเอกสารอนุมัติการเดินทางฉันยังต้องเซ็นอนุมัติให้ตัวเอง เพราะคุณฐาขาพาคนรักไปงานวันเกิดเพื่อนสนิท คุณตอบฉันสิ” “ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน อรคือคนที่อยู่ข้างผม ทุกเวลาที่ผมต้องการใครสักคน” “ฉันไม่สนว่าคุณกับเขารักกันมากแค่ไหน ฉันรู้แค่ว่าในบริษัทนี้ ยังมีคนอีกหนึ่งพันสองร้อยสามสิบเจ็ดคนที่ฉันต้องดูแล ยังไม่นับรวมบริษัทลูก สาขาย่อยอีกยี่สิบสองแห่ง และในฐานะผู้บริหารระดับสูง ในฐานะรองกรรมการผู้จัดการ ทุกการตัดสินใจ ของฉันมันหมายถึงการที่ใครคนหนึ่งจะได้มีการงานที่มั่นคง ปลายปีมีเงินโบนัสไปปลดหนี้สินให้ครอบครัว เขาอาจมีลูก ๆ ที่รอจ่ายค่าเทอม อาจมีพ่อแม่รอจ่ายค่ารักษาพยาบาล เขาอาจมีภาระแบกเอาไว้บนหลังจากเงินเดือน จากความมั่นคงที่พวกเราจะส่งต่อมันให้พวกเขา” “ฮึ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมไม่เคยตามความคิดของคุณทันเลย รู้ไหมปุณ คุณเดินนำหน้า เร็วกว่าผมหนึ่งก้าวเสมอ” “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ เปล่าเลย ฉันไม่ได้เดินนำหน้า หรือว่าเดินเร็วกว่า มีเพียงแค่คุณที่ไม่ยอมเดินไปข้างหน้าเท่านั้นเอง” “เที่ยวบินไฟลต์ห้าโมงเย็นค่ะ” “เดี๋ยวครับ” “นี่คุณ!” ตั๋วเครื่องบินสองใบถูกวางซ้อนลงมาบนเคาน์เตอร์ พร้อมกับท่านประธานบริษัทที่ร้อยวันพันปีไม่เคยมีเวลาว่างเดินตัวปลิวมายืนอยู่ด้านข้าง “ในฐานะประธานบริษัท ผมจะไปด้วย” “ไปด้วย?” ปุณณดาพยายามมองหากระเป๋าเดินทาง หรือกระเป๋าสัมภาระของคนที่ดื้อด้านขอตามไปทำงานนอกสถานที่ “ใช่” “เฮ้ออออ นี่คุณฐาฉันไปทำงาน และฉันต้องการสมาธิคุณกับแฟนของคุณ..” “แค่ผมกับคุณ” “คะ” ปุณณดาหยิบตั๋วเครื่องบินนั้นขึ้นมาอ่านชื่อผู้โดยสารพบว่ามันเป็นตั๋วเครื่องบินชื่อของเธอหนึ่งใบ และอีกใบหนึ่งนั้นเป็นชื่อของฐาปกรณ์หาใช่ชื่อของอรสิมา “ไปได้หรือยัง” “แล้วกระเป๋าเดินทางคุณล่ะ” “ไม่มี เดี๋ยวไปหาซื้อเอาข้างหน้า” “ประสาท” “อยากนั่งริมหน้าต่างหรือเปล่า” ท่านประธานเอ่ยถามหลังจากยกกระเป๋าเดินทางใส่เข้าไปในช่องสัมภาระเรียบร้อย “ไม่เป็นไรค่ะ” มือยกตั๋วที่นั่งออกมาดูหมายเลข จากนั้นเดินเลี่ยงหลบให้ฐาปกรณ์เดินเข้าไปด้านในก่อน “เข้าไปสิ” “เฮ้อ คิดว่าจะได้เดินทางคนสบาย ๆ” หลังจากเครื่องบินเทกออฟขึ้นจากรันเวย์คนที่อดหลับอดนอนมาเกือบตลอดคืน เผลอปล่อยตัวเองให้ลื่นไถลล่วงลงไปสู่การหลับใหล คออ่อนโอนเอนเสียการควบคุม จนกระทั่งฝ่ามือหนานุ่มช้อนลงมาประคองรองไว้อีกชั้นด้วยบ่ากว้าง “ทำไมวันนั้น คุณเลือกที่จะทิ้งผมไป” มือหยาบรวบกำเหมือนพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ สายตามองผ่านกระจกใสออกไปเห็นปุยเมฆขาวนอกหน้าต่างนั้นแล้วยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD