ตอนที่ 8 คนแกร่ง
บนโต๊ะอาหารของตระกูลก้องเกียรติไพบูลย์ ไร้เงาของปุณณดาผู้เป็นสะใภ้มานั่งร่วมทานมื้อเช้า และดูเหมือนนั่นไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ เพราะนับตั้งแต่วันแรกที่เธอมานั่งร่วมโต๊ะแล้วถูกปฏิบัติใส่อย่างไม่ให้เกียรติ มีแต่ความเดียดฉันท์ ปุณณดาเลือกที่จะเลี่ยงพาตัวเองออกไปทำงาน แล้วแวะซื้ออาหารเช้าสำเร็จง่าย ๆ นั่งกินในรถสบาย ๆ ดีกว่าต้องมานั่งวางท่าปั้นหน้าใส่กัน
“ฮึ นังคางคกขึ้นวอ ขี้เกียจสันหลังยาว สบายเหลือเกินนะสะใภ้ตระกูลนี้ ตะวันโด่งขนาดนี้แล้ว ยังไม่ตื่นอีกหรือไงหรือว่าต้องรอให้มีคนขึ้นไปอัญเชิญลงมาหรือไง” แม่ผัวผู้อคติ ค่อนขอดด่าทอลูกสะใภ้อย่างปุณณดาจนกลายเป็นเรื่องปกติ
“แหม คุณป้าขา คนสมัยนี้พอวันหยุดเขาก็ขี้เกียจตื่นเช้ากันทั้งนั้นแหละค่ะ ปุณเขาคงติดนิสัยมาจากตอนอยู่เมืองนอก ที่ใช้ชีวิตสุขสบายจะตื่นตอนไหน ทำอะไรไม่ต้องแคร์หรือว่าสนใจใคร”
“นี่ตาฐา ถ้าครบสัญญาตามพินัยกรรมพ่อแกเมื่อไหร่รีบหย่าให้มันจบ ๆ ไปซะนะ”
“หวังว่าคุณคงไม่ลังเลใช่ไหมคะฐา”
“ผมจะขึ้นไปดูหน่อยว่าทำไมเขายังไม่ลงมา”
“ไม่ต้อง! แกจะขึ้นไปดูมันทำไม มีมือมีตีนหิวเมื่อไหร่เดี๋ยวมันก็ลงมาต้มบะหมี่กินเหมือนทุกทีนั่นแหละ”
“ต้มบะหมี่?” ตาขวางหันไปทางแม่บ้านสองคนที่ยืนหน้าเจื่อนอยู่ข้างโต๊ะอาหาร
“ก็...คือ...”
“ทำไมหรือว่าแกเกิดใจอ่อนเป็นห่วงมันขึ้นมา”
“ผมจะขึ้นไปดูเขา” ร่างสูงดีดตัวลุกจากเก้าอี้ย่ำเท้าเดินโครม ๆ ขึ้นไปโดยมีอรสิมาและคุณหญิงรินรดาเดินตามไปด้วย
หากแต่เมื่อเข้ามาถึงห้องนอนทุกอย่างนั้นกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไร้เงาของผู้อาศัย แฟ้มเอกสารมากมายที่เมื่อคืนนี้ ฐาปกรณ์ยังเห็นว่ามันกองจนเกือบท่วมหัวปุณณดามันก็อันตรธานหายไปด้วย
“เจริญจริงลูกสะใภ้ฉัน นี่คงแอบหนีไปแรดที่ไหนอีกแน่ วันหยุดทั้งที แทนที่จะอยู่ดูแลผัว แม่ผัว”
“อย่าไปสนใจยายปุณเลยค่ะฐา วันนี้เราจะไปไหนกันดีคะ ไปตีกอล์ฟดีหรือเปล่า เราไม่ได้ออกรอบด้วยกันนานแล้วนะ”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหรือทำไม ฐาปกรณ์ถึงรู้สึกว่าวันนี้เขาอยากมาที่ออฟฟิศทั้งที่มันเป็นวันหยุด รถเก๋งสีขาวทะเบียนคุ้นตาจอดอยู่ในช่องสำหรับรถผู้บริหาร ทั่วทั้งลานจอดนั้นไม่มีรถคันอื่นเลย
“เธอมาทำอะไร?”
ฐาปกรณ์เดินมาหลบยืนมองห้องทำงานของรองประธานกรรมการบริษัทซึ่งเปิดไฟสว่างอยู่เพียงห้องเดียว ฝีเท้าเบาค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้ เพราะไม่ต้องการให้คนด้านในรู้ตัว เอกสารจำนวนมากยังคงวางล้นจนเต็มโต๊ะ ด้านหลังติดริมหน้าต่างกระจก ร่างหนึ่งนั่งกอดเข่าเหม่อออกไปยังภายนอก ซึ่งเป็นวิวท้องฟ้าสีหม่นของกรุงเทพมหานคร
“ฮึก ฮึก ฮึก”
หากหูไม่ฝาดฐาปกรณ์คิดว่าเขากำลังได้ยินเสียงสะอื้นอย่างคนร้องไห้ ดังมาจากเจ้าของแผ่นหลังบอบบางอันสั่นเทา เป็นไปได้ยังไง ผู้หญิงใจแข็ง ไร้ความรู้สึกอย่างปุณณดานะหรือจะร้องไห้เสียใจเป็น
“...!.....? .....”
“ฮึก ฮึก อึก” ฝ่ามือบางถูกยกขึ้นมาปาดเช็ดบนผิวแก้มซ้ำ ๆ เหมือนตอกย้ำว่าเมื่อครู่นั้นฐาปกรณ์ไม่ได้หูฝาด
“อ้าว คุณฐาสวัสดีครับ” พนักงาน รปภ. คนหนึ่งตะโกนดังมาจากด้านหน้าทางเข้าลิฟต์ หยุดเสียงสะอื้นสะอึกของปุณณดาหยุดลงในทันที หากแต่ตาขวางของท่านประธานเหมือนป้ายไฟเขตหวงห้ามที่พนักงานคนนั้นถึงกับหันหลังเลี้ยวเดินกลับไปทันที
“คุณฐา คุณมาทำอะไรที่นี่คะ” ดวงตาฉงนหันกลับมามองเหมือนไม่อยากเชื่อว่าจะเจอเขาที่นี่
“แล้วเธอล่ะมาทำอะไรที่นี่”
“มาทำงานค่ะ”
“ทำงาน? นี่มันวันหยุดนะ”
“ค่ะ ฉันรู้ ฉันเคยบอกคุณไปแล้วนี่คะว่า นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตฉัน อีกอย่างฉันไม่อยากอยู่บ้านให้รกหูรกตาคุณแม่ของคุณ เดี๋ยวความดันขึ้น โรคหัวใจกำเริบฉันจะกลายเป็นฆาตรกรไปเสียอีก”
“ปุณณดา ดูคุณเกลียดแม่ของผมมากเลยนะ”
“อย่าพูดจาใส่ร้ายฉันอย่างนั้นสิคะ ระหว่างฉันเกลียดแม่คุณ กับแม่คุณเกลียดฉัน คุณลองไตร่ตรองดูสักหน่อยดีหรือเปล่าคะว่า....ใครเกลียดใครมากกว่ากัน”
“ปุณ!”
“ถ้าจะมาชวนทะเลาะ กลับไปเถอะค่ะ เสียเวลาฉันทำงาน อ้อ ฉันจะไม่กลับบ้านสักสองสามวันนะคะ”
“คุณจะไปไหน?”
“ทำงานค่ะ”
“งานอะไร?”
“เอ๊ะ คุณนี่ยังไง ทำงานก็คือทำงาน ฉันไม่เหมือนคุณที่เอาเวลางานไปใช้ในเรื่องส่วนตัวหรอกค่ะ” หน้าเชิดสะบัดยกคางขึ้นสูง อาการอย่างนี้นานหลายปีแล้วที่ฐาปกรณ์ไม่ได้เห็นมัน
“ผมถามในฐานะประธานบริษัท ไปทำงานอะไร”
“เฮ้อ ได้ถ้าอย่างนั้นฉันจะตอบในฐานะรองประธานกรรมการบริษัทฯ เรียนคุณฐาปกรณ์ ก้องเกียรติไพบูลย์ ดิฉันนางสาวปุณณดา ปรีชาวราพัชช์ มีเหตุจำเป็นต้องเดินทางไปยังบริษัทในเครือส่วนภูมิภาค เพื่อตรวจสอบการทำงานของคณะบริหาร พอใจหรือยังคะท่านประธาน”
“ไปกับใคร?”
“นี่คุณฐา ฉันโตแล้วอายุยี่สิบแปดปี ฉันสามารถเดินทางตัวคนเดียวได้ โดยไม่ต้องมีผู้ปกครอง คอยเซ็นรับรองเอกสารหรือตามประกบ”
“ไปทำงานคนเดียวเนี่ยนะ”
“แปลกหรือคะ ตอนนี้ฉันก็กำลังทำงานคนเดียว” มือผายไปยังเอกสารกองใหญ่บนโต๊ะ
“เฮอะ ปุณณดาคุณนี่เก่งไปทุกเรื่องเลยนะ เก่งไม่เคยเปลี่ยน คิดเอง เออเอง ตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง โดยไม่เคยคิดถามความเห็นของใคร...ไม่เคยเปลี่ยนเลย”
“แล้วฉันต้องถามใคร ถามคุณอย่างนั้นหรือ...คุณเคยอยู่ให้ฉันถามหรือปรึกษาหรือเปล่าล่ะ ทุกครั้งที่ฉันเดินไปหา คุณฐาขาไปทานข้าวกันอรนะคะ คุณฐาขาไปช็อปปิงกับอรนะคะ คุณฐาขา....ไม่เคยนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเลย ฉันจะปรึกษาคุณยังไง ขนาดเอกสารอนุมัติการเดินทางฉันยังต้องเซ็นอนุมัติให้ตัวเอง เพราะคุณฐาขาพาคนรักไปงานวันเกิดเพื่อนสนิท คุณตอบฉันสิ”
“ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน อรคือคนที่อยู่ข้างผม ทุกเวลาที่ผมต้องการใครสักคน”
“ฉันไม่สนว่าคุณกับเขารักกันมากแค่ไหน ฉันรู้แค่ว่าในบริษัทนี้ ยังมีคนอีกหนึ่งพันสองร้อยสามสิบเจ็ดคนที่ฉันต้องดูแล ยังไม่นับรวมบริษัทลูก สาขาย่อยอีกยี่สิบสองแห่ง และในฐานะผู้บริหารระดับสูง ในฐานะรองกรรมการผู้จัดการ ทุกการตัดสินใจ ของฉันมันหมายถึงการที่ใครคนหนึ่งจะได้มีการงานที่มั่นคง ปลายปีมีเงินโบนัสไปปลดหนี้สินให้ครอบครัว เขาอาจมีลูก ๆ ที่รอจ่ายค่าเทอม อาจมีพ่อแม่รอจ่ายค่ารักษาพยาบาล เขาอาจมีภาระแบกเอาไว้บนหลังจากเงินเดือน จากความมั่นคงที่พวกเราจะส่งต่อมันให้พวกเขา”
“ฮึ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมไม่เคยตามความคิดของคุณทันเลย รู้ไหมปุณ คุณเดินนำหน้า เร็วกว่าผมหนึ่งก้าวเสมอ”
“คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ เปล่าเลย ฉันไม่ได้เดินนำหน้า หรือว่าเดินเร็วกว่า มีเพียงแค่คุณที่ไม่ยอมเดินไปข้างหน้าเท่านั้นเอง”
“เที่ยวบินไฟลต์ห้าโมงเย็นค่ะ”
“เดี๋ยวครับ”
“นี่คุณ!”
ตั๋วเครื่องบินสองใบถูกวางซ้อนลงมาบนเคาน์เตอร์ พร้อมกับท่านประธานบริษัทที่ร้อยวันพันปีไม่เคยมีเวลาว่างเดินตัวปลิวมายืนอยู่ด้านข้าง
“ในฐานะประธานบริษัท ผมจะไปด้วย”
“ไปด้วย?” ปุณณดาพยายามมองหากระเป๋าเดินทาง หรือกระเป๋าสัมภาระของคนที่ดื้อด้านขอตามไปทำงานนอกสถานที่
“ใช่”
“เฮ้ออออ นี่คุณฐาฉันไปทำงาน และฉันต้องการสมาธิคุณกับแฟนของคุณ..”
“แค่ผมกับคุณ”
“คะ” ปุณณดาหยิบตั๋วเครื่องบินนั้นขึ้นมาอ่านชื่อผู้โดยสารพบว่ามันเป็นตั๋วเครื่องบินชื่อของเธอหนึ่งใบ และอีกใบหนึ่งนั้นเป็นชื่อของฐาปกรณ์หาใช่ชื่อของอรสิมา
“ไปได้หรือยัง”
“แล้วกระเป๋าเดินทางคุณล่ะ”
“ไม่มี เดี๋ยวไปหาซื้อเอาข้างหน้า”
“ประสาท”
“อยากนั่งริมหน้าต่างหรือเปล่า” ท่านประธานเอ่ยถามหลังจากยกกระเป๋าเดินทางใส่เข้าไปในช่องสัมภาระเรียบร้อย
“ไม่เป็นไรค่ะ” มือยกตั๋วที่นั่งออกมาดูหมายเลข จากนั้นเดินเลี่ยงหลบให้ฐาปกรณ์เดินเข้าไปด้านในก่อน
“เข้าไปสิ”
“เฮ้อ คิดว่าจะได้เดินทางคนสบาย ๆ”
หลังจากเครื่องบินเทกออฟขึ้นจากรันเวย์คนที่อดหลับอดนอนมาเกือบตลอดคืน เผลอปล่อยตัวเองให้ลื่นไถลล่วงลงไปสู่การหลับใหล คออ่อนโอนเอนเสียการควบคุม จนกระทั่งฝ่ามือหนานุ่มช้อนลงมาประคองรองไว้อีกชั้นด้วยบ่ากว้าง
“ทำไมวันนั้น คุณเลือกที่จะทิ้งผมไป” มือหยาบรวบกำเหมือนพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ สายตามองผ่านกระจกใสออกไปเห็นปุยเมฆขาวนอกหน้าต่างนั้นแล้วยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด