ยามถึงเวลาอันสมควร เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็เดินเข้าไปในงาน มีแขกเหรื่อจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจที่รู้จักกับสองพ่อลูก บิดาและมารดาของข้าวหอมไม่ได้ถูกเชิญให้มาร่วมในงานนี้หรือจะพูดว่าไม่ทราบเรื่องก็ไม่ผิดอะไร
แต่ทั้งหมดมาจากความต้องการของร่างระหง โดยเจ้าตัวลอบมองเจ้าบ่าวไร้หัวใจอยู่ตลอด ดูเขาสิ ดูทำหน้าเข้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยจริงๆ หรือว่าใจดวงโตจะตายด้านไม่มีทางเยียวยาเสียแล้วจริงๆ พริบตาต่อมามีหนึ่งอย่างทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เชิญบ่าวสาวขึ้นมาบนเวทีหน่อยครับ”
เสียงประกาศจากพิธีกรทำให้ข้าวหอมใจสั่น เพราะร่างกำยำไม่มีทีท่าว่าจะขยับเท้าขึ้นไป
“ใหญ่”
แต่ด้วยสายตาและน้ำเสียงวอนขอของอารัญทำให้ชายหนุ่มยอมก้าวฉับๆ ขึ้นไปอย่างไม่รีรอเจ้าสาวเลยสักนิด และทันทีที่บ่าวสาวมายืนอยู่คู่กัน คำถามเด็ดแทบน็อกคนทั้งสองก็ดังขึ้นในทันควัน
“ไม่ทราบว่า รักกันได้อย่างไรครับ”
คนทั้งสองถึงกับนิ่งเงียบ ไม่สามารถหาคำไหนมาบอกกล่าว ในเมื่อการแต่งงานไม่ได้เกิดจากความรัก อย่างไรเสียข้าวหอมก็ต้องเอ่ยออกไป
“คุณพ่อแนะนำให้รู้จักกันค่ะ” มันเป็นความจริง เธอและเขารู้จักกันเพราะอารัญนัดมาให้เจอหน้า ทว่าคำถามก็ตามมาอีกระลอก ไม่ทันให้ฝ่ายหญิงได้หายใจหายคอ โดยดูท่าหนนี้จะหนักกว่าคำถามแรกมากโข
“แล้วคุณใหญ่ขอคุณข้าวแต่งงานที่ไหนครับ”
เป็นคำถามที่สร้างความหนักใจ แต่คำตอบนั้นคงหนักกว่า ในเมื่อเธอและเขาไม่มีการขอแต่งงาน ทุกอย่างดำเนินไปด้วยคำร้องขอจากอารัญ จนต้องเงยหน้าขึ้นมองชายซึ่งยืนนิ่งคล้ายอยากให้ช่วยพูดอะไรสักอย่าง ให้สถานการณ์ไม่ย่ำแย่ไปกว่าที่ควร
“ที่บ้านครับ” วาจานั้นกระด้างเหมือนสีหน้าและราวตอบไปส่งๆ ให้จบปัญหา
“งั้นคุณใหญ่ช่วยบอกรักคุณข้าวให้พวกเราอิจฉาหน่อยได้ไหมครับ” พิธีกรคงไม่สังเกตเห็นว่า ชายหนุ่มและหญิงสาวอึดอัดใจเท่าใดจึงกล้าจะร้องขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“อย่าเลยค่ะ”
ข้าวหอมรีบแย้งทันทีพร้อมส่งสายตาเว้าวอนให้หยุดคำถาม จนพิธีกรเริ่มสังเกตเห็นจึงยกยิ้มแห้งๆ แล้วพูดแก้ตัวให้กับคนทั้งสอง
“ดูท่าเจ้าสาวจะขี้อายนะครับ” จากนั้นบนเวทีก็คลายความอึดอัดไปได้ แต่ไม่ถึงอึดใจ ใครบางคนก็ส่งเสียงดังให้แขกเหรื่อต้องหันมอง ในทันใดนั้นตกเป็นจุดสนใจทันที
“เจ้าสาวคงไม่ได้ขี้อายหรอกค่ะแต่เพราะเจ้าบ่าวไม่ได้รักต่างหากถึงได้ห้าม อีกอย่างการแต่งงานในครั้งนี้ก็ไม่ได้มาจากความเต็มใจของใหญ่ด้วย แต่เพราะโดนคุณพ่อบังคับ” เท้าสวยที่ก้าวมาหยุดอยู่หน้าเวทีเป็นบุคคลที่ทุกคนต่างรู้จักกันดี พวงชมพู ดาราสาว อดีตภรรยาของอาชานั่นเอง
“คุณชมพู/พวงชมพู!!” ข้าวหอมรู้สึกว่าอากาศหายใจลดน้อยลงเรื่อยๆ วันนี้เป็นวันมงคลกลับต้องมารับมือผู้หญิงของอาชาถึงสองคน ซึ่งอารัญนั้นเอ่ยเสียงดุ ไม่ค่อยลงรอยกับอดีตลูกสะใภ้สักเท่าไร เนื่องด้วยเจ้าหล่อนทำกับลูกชายของเขาไว้สาหัส
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ”
ดาราสาวหันไปพนมมือไหว้พ่อสามี ก่อนจะงัดหมัดเด็ดมาทำให้อารัญไม่กล้าเอาเรื่อง
“หนูเจ้า สวัสดีคุณปู่สิลูก”
“ซาหวัดดีค่าคูณปู่” เด็กหญิงวัยสองขวบกว่าอยู่ในชุดกระโปรงบานสีชมพูยกยิ้มจนเห็นฟันซี่ขาว ประเดี๋ยวเดียวกระโดดตัวลอยละม้ายดีใจที่ได้เห็นอาชาพร้อมส่งเสียงเรียก “คูณพ่อ...พ่อใหญ่”
“หนูเจ้า”
น้ำเสียงของอาชาอบอุ่นขึ้นมาเป็นกอง แววตาเปลี่ยนไปฉับพลัน เด็กผู้หญิงคนนี้คือหัวใจของชายหนุ่ม โดยทั้งรักและทะนุถนอมอย่างดี ถือว่าเป็นแก้วตาดวงใจ
“ขึ้นไปหาคุณพ่อบนเวทีสิลูก” แผนร้ายได้เริ่มต้นขึ้นและรู้ดีว่าอาชาจะไม่อยู่เฉยเมื่อลูกสาวต้องการ อาชาขยับตัวหมายจะลงไปอุ้ม แต่แล้วกลับมีหนึ่งมือบางมาคว้าข้อมือไว้เพราะคาดการณ์ว่าพวงชมพูนั้นอยากทำให้เธอรู้ว่าเป็นได้แค่ส่วนเกิน
นัยน์ตากลมโตไหวระริกบ่งบอกได้ดีว่าอยากจะรั้งไม่ให้เขาเดินลงไปด้านล่าง เพราะจะเป็นไปตามแผนของดาราสาว เรียวปากงามเม้มแน่นหวังว่าอาชาจะเข้าใจ ทว่าความเป็นจริงแล้วเจ็บปวดเสมอ ในเมื่ออีกฝ่ายสะบัดมือออกอย่างไม่ไยดี
หัวใจก้อนโตรักจันทร์เจ้ากว่าอะไรทั้งสิ้น ไม่มีทางเลยที่ข้าวหอมจะสำคัญกว่า แต่ใช่ว่าชายหนุ่มจะดูไม่ออกกับแผนการของอดีตภรรยา
“คุณไม่น่าแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ทั้งที่เรากำลังจะกลับมาเป็นครอบครัวเดียวกัน” วาจามีความน้อยใจปะปนอยู่ มากกว่านั้นคงเป็นความโกรธทั้งตนเองและสามี หล่อนรู้ว่าอะไรมีค่าก็สายเกินแก้ แต่จะไม่ยอมวางมือจากเรื่องนี้ อย่างไรต้องได้อาชากลับมาเป็นครอบครัวเดียวกัน
“ผมไม่ใช่ของตายของคุณชมพู ผมไม่โง่ซ้ำสองหรอก” คนตัวโตแทบจะหลุดเสียงเยาะออกมากับถ้อยคำของพวงชมพู พลางปรายตามองอย่างรู้ทัน ก่อนอุ้มลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนไว้ในอ้อมกอดแล้วหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความคิดถึง ฝ่ายเจ้าสาวก็เดินตามลงมาเช่นกัน ซึ่งหยุดยืนอยู่ห่างไปอีกนิด
“งั้นเรามาลองดูกันค่ะ อีกไม่นานชมพูต้องได้คุณคืน อ้ออีกอย่างวันนี้ฝากคุณพาลูกเข้านอนด้วยนะ คงไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าชมพูจะฝากหนูเจ้าไว้กับคุณ” แผนร้ายของพวงชมพูเริ่มอีกขั้น กระตุกยิ้มอย่างมากด้วยเล่ห์ ส่วนอาชารับปากอย่างไม่ลังเล
“ได้สิ”