คนในอดีต
ตอนที่ 1
คนในอดีต
“ช่วยรับรองแขกหน่อยนะมน น้าน่าจะไปถึงบริษัทช้าหน่อยวันนี้”
เสียงจากปลายสายทำให้ มนชิดา ละสายจากงานในหน้าจอคอมค้างไว้เพียงครู่ เพราะนั่นคือคำสั่งของ พิพัฒน์ เจ้าของบริษัทโกวายกรุ๊ป ผู้เป็นนายจ้าง และเขายังมีศักดิ์เป็นน้าเขยของเธออีกด้วย
เธอเพิ่งมาทำงานที่นี่ได้ไม่ถึงสองเดือนในตำแหน่งฝ่ายการตลาด หลังจากเรียนจบไม่นาน ด้วย อนงค์ แม่ของเธอนั้นต้องการให้มาทำงานที่นี่ หลังจากน้าเขยของเธอคะยั้นคะยอตั้งแต่สมัยเรียน
ความจริงเธอไม่อยากจะมาอยู่ใกล้ พิพัฒน์ เท่าใดนัก
มีหลายอย่างในใจที่เธอเก็บงำมาตั้งแต่เด็ก ไม่สามารถจะบอกเล่าให้ใครฟังได้ ทุกครั้งที่มองหน้าตัวเองในกระจกและมารดาผู้ให้กำเนิด
เธอรู้ดีถึงชาติกำเนิดของตัวเองว่าเป็นมาอย่างไร
ตอนเด็ก มนชิดา ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ระลึกชาติได้ แต่เมื่อค่อยๆโตขึ้นความรับรู้ทีละเรื่องราวค่อยๆ เด่นชัดในในความรู้สึกเรื่อยๆ จนค่อยๆก่อรูปร่างทีละนิดละน้อย
“มน หนูหน้าตาเหมือนศรีมาก เหมือนแทบทุกส่วน”
อนงค์ มารดาของเธอและญาติๆ เคยบอกไว้เช่นนั้น และทุกคนก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันมาตลอดว่าเธอเหมือน น้าศรีไพร ที่เป็นน้องสาวของแม่ราวกับคนเดียวกัน
น้าศรีไพร เสียชีวิตนานแล้วก่อนที่เธอจะเกิด หลังจากถูก พิพัฒน์ อาเขยขอเลิกและหนีมามีครอบครัวใหม่กับเศรษฐีนีที่กรุงเทพ หลังจากนั้น ศรีไพร ผู้ซึ่งเจ็บออดแอดๆเพราะสุขภาพไม่ดีก็ล้มป่วยลงและจากไป
แม่ของเธอเล่าถึงน้องสาวผู้เป็นที่รักด้วยน้ำตา
มนชิดา เคยเห็นรูป น้าศรีไพร ที่แม่ติดไว้ข้างผาบ้านตั้งแต่เด็ก ภาพของผู้หญิงคนหนี่งที่เหมือนเธอราวกับคนเดียวกัน เพียงแต่แววตานั้นเศร้าสร้อยยิ่งนัก
เธอรู้สึกสงสาร ศรีไพร ประดุจดั่งสงสารตัวเอง
ไม่ใช่ซิ จริงๆแล้ว ศรีไพร กับเธอ ก็คือคนเดียวกัน แค่ตอนนี้เธอ อยู่ในร่างและชาติใหม่ในบทบาทลูกสาวของ อนงค์ ผู้ที่เคยเป็นพี่สาวเท่านั้น
ที่มั่นใจได้เช่นนั้น เพราะเธอจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมดกับศรีไพร เหตุการณ์ต่างๆค่อยๆชัดเจนขึ้นทีละน้อย จนบัดนี้เธอกระจ่างได้ในใจแล้ว ว่าเธอคือ อาศรีไพร กลับชาติมาเกิด
พิพัฒน์ นั้นหลังจากแต่งงานและก่อสร้างหลักปักฐานกับครอบครัวใหม่ ก็แทบไม่เคยไปเหยียบบ้านเมียเก่าอีกเลย แม้ในวันงานเผาศพของศรีไพร และไปปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อเขาไปเปิดสาขาที่อำเภอเล็กๆที่เธออยู่
ตอนนั้นเธอเรียนอยู่มัธยมปลายแล้ว อาพิพัฒน์พบเธอกับแม่ นัยน์ตาเขาลุกวาวเมื่อเห็นเด็กสาวแสนสวย ผิวพรรณผุดฝาด หน้าตาเหมือนกับ ศรีไพร ราวกับแกะ
“มนเป็นลูกของอนงค์เอง จะเข้ามหาลัยแล้ว”
อนงค์ บอกเมื่อเจอหน้ากับ น้องเขยคนที่เคยทิ้งน้องสาวของตัวเองไป แต่ก็ยังพูดคุยด้วยอย่างมีมิตรไมตรี
“ไม่น่าเชื่อ เหมือนศรีไพรมาก”
ดวงตาของ พิพัฒน์ ทอแสงอ่อนลง เมื่อสบตากับเธอ
วินาทีแรกที่ มนชิดา ได้เห็นหน้าของคนที่เคยทำให้เธอเสียใจจนตรอมใจตายเมื่อชาติที่แล้ว คือรังเกียจและอยากจะผลักใสนัก เธอจึงขยับร่างไปยืนอยู่หลังมารดา แต่ยังลอบมองชายวัยเกือบห้าสิบปีที่ส่งสายตาอ่อนโยนมาให้
“ถ้าเดือดร้อนอะไรบอกพี่นะนงค์ ค่าใช้จ่ายในการเรียนจนจบของหลานมน พี่จะจ่ายให้ทั้งหมด ถ้าเรียนจบแล้วอยากจะไปทำงานที่บริษัทพี่ก็ไปได้เลย พี่จะให้เงินเดือนสวัสดิการและดูแลหลานเป็นอย่างดี”
อาเขย บอกกับแม่เธอไว้ ตั้งแต่วันนั้น
“อย่าปฎิเสธพี่เลยมน ถือซะว่าพี่ขอชดใช้ความผิด ที่ครั้งหนึ่งเคยละเลย และทิ้งศรีไพรไป”
พิพัฒน์บอกไว้เช่นนั้น แม้ อนงค์ จะกระอักกระอ่วนใจเพียงใด แต่ก็รับข้อเสนอด้วยต้องการผ่อนเบาภาระที่หนักอึ้งของตนเอง และต้องการให้ ลูกสาว มีชีวิตและการศึกษาที่ดีขึ้น
มนชิดา อยากจะบอกเหลือเกินว่า ต่อให้ พิพัฒน์ ชดใช้ยังไงก็ไม่วันหมด สำหรับความเจ็บปวดที่เขาทำกับศรีไพรไว้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอยอมมาทำงานที่บริษัทนี้หลังจากเรียนจบ
“คุณปริญ แขกของนายมาแล้วมน”
เพื่อนร่วมงานเดินมาบอก เรียกสติของ มนชิดา จากภวงค์ หน้าสวยที่แต่งแต้มอย่างประณีตปรับเปลี่ยนเป็นยกยิ้ม ก่อนจะขยับลุกขึ้น เพื่อจะเดินไปห้องรับรอง
การมาทำงานที่บริษัทของพิพัฒน์นั้น เธอมีเป้าหมายหลายอย่าง นอกจากอยากจะแก้เผ็ดคนที่เคยทำให้เธอเจ็บจนตายในอดีตแล้ว เธอยังอยากเจอคนๆหนึ่ง
คนที่เธอไม่มีโอกาสจะบอกลาเขา เมื่อชาติที่แล้ว
และตอนนี้เขากำลังรอพบกับเอ็มดีของโกวายกรุ๊ป ในห้องรับรองแล้ว การติดงานของ พิพัฒน์ในวันนี้เป็นสาเหตที่ทำให้เธอ จำต้องมาต้อนรับเขาแทนผู้เป็นอาเขย
ก๊อก!
“ขอโทษค่ะ พอดีคุณพัฒน์อาจจะเข้าช้านิดนึง อย่างไงคุณปริญรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวมนจะแจ้งรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ดูก่อน”
มนชิดา เอ่ยเสียงราบเรียบเมื่อเปิดประตูเข้าไป
ร่างสูงโปร่งของ ปริญ นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ที่หันไปทางกระจกด้านนอก เขาน่าจะอายุใกล้จะสามสิบแล้ว ตามข้อมูลที่เธอไปสืบค้นมา
ปริญ ภาสกรกุล เป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอทีและแอพลิเคชั่นออนไลน์หลายอย่างในไทยและภูมิภาคเอเชีย ทางอาเขยของเธอ คงต้องการจะร่วมลงทุนธุรกิจกับเขาเพื่อจะขยายเงินทุนจากเดิมของภรรยา
“ไม่เป็นไร ผมจะรอคุยกับคุณพัฒน์”
ปริญตอบเสียงเรียบ สายตายังจับจ้องไปทางหน้าต่างกระจก ไม่ใส่ใจคนที่เข้ามาหาแม้แต่น้อย
“งั้นรอสักครู่นะคะต้องขออภัยแทนคุณพัฒน์ด้วยค่ะ”
มนชิดา เอ่ยเสียงหวาน เมื่อเห็นท่าทีของคนตรงหน้าที่แม้แต่หน้าเธอเขายังไม่หันมามอง เธอเลยได้แต่ลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างถือวิสาละ
ปริญ ดูสุขุมเยือกเย็นในชุดสูทสีเทาเงิน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแม้มองจากด้านข้าง ผมหยักโศกตัดแต่งอย่างเรียบร้อยถูกปัดมาด้านหลัง แตกต่างจากเมื่อชาติที่แล้ว แต่สิ่งเดียวที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือ ไผแดงตรงหางคิ้ว
เธอจำมันได้ดี มันคือไผมหาเสน่ห์ของเขา
“คุณออกไปได้แล้วครับ”
ปริญ เอ่ยเสียงเข้ม เมื่อรู้สึกว่าคนที่เดินมาในห้องเอาแต่จ้องมองเขา ไม่ยอมขยับร่างออกห่าง
“อะค่ะ งั้นเดี๋ยวมนวางชาร้อนไว้ตรงนี้นะคะ”
มนชิดา เอ่ยเสียงอ่อน เมื่อเห็นท่าทีของเขา เธอจึงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ เป็นจังหวะที่ ปริญ หันหน้ากลับมามองพอดี
คิ้วหนาได้รูปของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“เดี๋ยวคุณ!!”
“อะ อุ้ย”
เพราะเสียงท้วงของเขา ทำให้มนชิดา เงยหน้าไปมองจังหวะกับที่เอียงถาดชาจนน้ำร้อนในแก้ว กระฉอกจนรดหลังมือของเธอ
“อุ้ย ขอโทษค่ะ”
เธอรีบวางถ้วยชาลง และเตรียมถอยหลังออกจากห้อง ความร้อนจากน้ำชาทำให้ผิวเป็นรอยแดงและเริ่มปวดแสบปวดร้อน จนต้องก้มหน้าเป่าหลังมือตัวเอง
“เจ็บมากมั้ยครับ?”
ร่างหนาของปริญ ปราดมาชิดใกล้ และดึงมือนิ่มของเธอมาจับ ก่อนจะก้มจนจรดริมผีปากยังรอยแดงที่หลังมือทันที