กุลวุฒิ จ้องไปที่ใบหน้าสวยแปลกตาด้วยความตื่นตะลึง ยิ่งเมื่อรู้สึกถึงความนุ่มหยุ่นตรงอกเขา ชายหนุ่มก็เผลอก้มลงมองจุดสัมผัสของพวกเขาเหมือนอยากจะรู้ว่าไอ้ที่กำลังทิ่มอกเขาอยู่มันเป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่
และบางอย่างก็บอกเขาว่านี่คือของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
“คุ...คุณ...คุณกุล...” เสียงหวานเอ่ยชื่อเขาเหมือนว่ารู้จัก เขาจึงได้เลื่อนสายตาจากกลางอกมามองสบตากับเธอ
“เธอ...เป็นใคร?”
“คือ...คือหนูเป็นหลานป้าสายค่ะ เพิ่ง...เพิ่งจะย้ายมาอยู่เมื่อตอนบ่าย หนูขอโทษนะคะที่ทำให้คุณตกใจ” เด็กสาวลนลานกระถดตัวหนีออกจากร่างกายกำยำ และนั่นก็ทำให้เขารู้ว่าเธอเองก็คงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย
เมื่อได้รู้สถานะของคนตรงหน้า ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปเปิดสวิตช์ไฟที่อยู่ข้างตู้เย็นเพื่อให้ความสว่างกับห้องและเมื่อได้เห็นหน้าเธอชัดๆ เขาก็รู้สึก ‘พอใจ’ อย่างไม่ทราบสาเหตุ
อาจเพราะคนตรงหน้าเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างกะทัดรัดแต่มีส่วนเว้าส่วนโค้งน่ามอง ดวงตาคู่สวยกลมโต ริมฝีปากจิ้มลิ้มพริ้มเพรารับกับจมูกโด่งได้รูป ผมสีดำสนิทยาวถึงกลางหลัง ดูสวยหวานและไร้เดียงสา น่ารักน่าทะนุถนอมไปทั้งตัว...
“ดึกดื่นป่านนี้เธอออกมาทำอะไร แล้วนั่น...จะเอามาฟาดหัวฉันงั้นเหรอ” เขามองอาวุธในมือของเธอก่อนจะสังเกตว่าที่ปากแจกันมันแตกและมันก็บาดลงบนมือเล็กจนเลือดสีแดงฉานหยดลงพื้นจนน่ากลัว
“คือว่า...”
“นี่เธอบาดเจ็บไม่ใช่เหรอ”
เขาขยับตัวเข้ามาคว้าของในมือเธอไปวางบนโต๊ะก่อนจะพลิกมือเธอขึ้นมาดูแล้วก็เห็นว่ามันบาดผิวขาวๆ ของเธออยู่จริงๆ
“เอ่อ...หนู...” เหมือนเธอเองก็จะตกใจไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าความรู้สึกแปลบๆ ตรงมือจะเป็นอาการแสบจากการโดนบาด
“มานี่”
เขาพาเธอไปที่ซิงค์ล้างจานเพื่อล้างเลือดออก จากนั้นก็ลากเธอไปที่ห้องทำงาน ก่อนจะหาอุปกรณ์ทำแผลในห้องมาจัดการทำแผลให้กับเธอ
“เจ็บมากมั้ย”
“เอ่อ...ค่ะ” ตอนแรกไม่เจ็บเพราะไม่รู้ตัว แต่พอเห็นแผลเธอก็เจ็บขึ้นมาจริงๆ และเหมือนจะเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วด้วย
“แผลไม่ลึกมากคงไม่ต้องเย็บ แต่ยังไงก็ต้องกินยาฆ่าเชื้อกับยาแก้ปวดเอาไว้ ไม่งั้นคืนนี้เธอคงนอนไม่ได้แน่ หรือจะไปโรงพยาบาลดีล่ะ ให้หมอดูแผลหน่อยก็น่าจะดี” เขาเงยหน้าขึ้นมาถามหลังจากทำแผลให้เธอเสร็จแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณกุลมียา หนูขอยากินดีกว่า แค่นี้ก็ทำให้คุณวุ่นวายมากแล้ว หนูขอโทษนะคะที่ไม่ได้ดูให้ดี คิดว่าคุณเป็นขโมยจนเกือบจะทำร้ายคุณเข้าแล้ว ขอโทษจริงๆ ค่ะ” เธอยกมือไหว้เขาพร้อมกับแววตาสำนึกผิด
“ช่างเถอะ ฉันเองก็ผิดที่ไม่ยอมเปิดไฟในห้องนั้นเลยทำให้เธอตกใจ แต่ถ้าฉันเป็นคนร้ายจริงเธอก็ไม่ควรเข้าไปปะทะแบบนั้นเพราะมันอันตรายมากรู้มั้ย นี่ป้าสายคงไม่ได้บอกจุดที่เป็นสวิตช์ส่งสัญญาณสำหรับกรณีฉุกเฉินไว้ล่ะสิ”
“ไม่ได้บอกค่ะ” เธอส่ายหน้าปฏิเสธและคิดว่าที่ป้าไม่ได้บอกเพราะมีหลายเรื่องที่ต้องสอนเธอทำให้ท่านลืมไปเท่านั้น
“ในบ้านฉันน่ะจะมีปุ่มสำหรับกดสัญญาณเตือนภัยอยู่หลายจุด ถ้ากดปุ่มนั้นแล้วมันจะส่งเสียงดังทำให้ทุกคนในบ้านได้ยิน”
“มันจะดังไปถึงเรือนที่ป้าสายอยู่เลยเหรอคะ”
“ใช่ แม้แต่บ้านข้างๆ ก็ยังได้ยินเลยล่ะ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นอีกสิ่งแรกที่เธอต้องทำก็คือดูให้แน่ใจว่าใช่คนร้ายจริงรึเปล่า จากนั้นก็กดปุ่ม เข้าใจรึเปล่า”
“เข้าใจค่ะ”
“แต่ปกติแล้วบ้านฉันไม่มีขโมยขึ้นมาได้หรอก เพราะตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนจนถึงตีห้าสัญญาณกันขโมยจะทำงานอัตโนมัติ ไม่มีใครเข้ามาได้ถ้าไม่มีรหัสผ่าน และคนที่มีรหัสผ่านก็จะมีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น เพราะในบ้านนี้มีฉันอยู่คนเดียว คนอื่นๆ ก็อยู่เรือนข้างหลังอย่างที่เธอเห็น”
“งั้นก็แปลว่าเที่ยงคืนถึงตีห้า หนูจะออกไปไหนไม่ได้ ไม่งั้นก็จะเข้าบ้านไม่ได้ด้วยใช่มั้ยคะ”
“ใช่ แต่เวลานั้นเธอคงไม่มีธุระไปที่ไหนหรอกมั้ง”
“ไม่มีหรอกค่ะ หนูแค่ถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้นเอง งั้น...”
“มีอะไร?”
“คือหนูกำลังคิดว่าตัวเองไม่ควรมาอยู่ในบ้านของคุณค่ะ ให้หนูไปอยู่กับป้าสายดีมั้ยคะ ที่นี่มันเป็นพื้นที่ส่วนตัว หนูเป็นแค่คนใช้ไม่ควรมาอยู่ในบ้านเจ้านาย”
“เรื่องที่ให้เธอมาอยู่ในบ้านนี้ฉันเป็นคนบอกป้าสายเอง เพราะฉันอยากให้มีคนคอยรับใช้เวลาที่ฉันกลับมาดึกแล้วเกิดหิวขึ้นมา เพราะฉะนั้นเธอไม่จำเป็นต้องคิดมากแค่คอยรับใช้ฉันให้ดีก็พอ”
“ค่ะคุณกุล”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปหายามาให้กินก่อนเธอจะได้กินยาแล้วไปนอน”
เขาบอกก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ตู้ยา
“แล้วคุณล่ะคะ”
“ฉันทำไม” เขาหันกลับมามองเธออย่างสงสัย
“ก็เมื่อกี้ที่คุณไปที่ห้องครัว คุณหิวเหรอคะ”
“อ๋อ ก็ใช่ ฉันหิวนิดหน่อยเลยว่าจะหาอะไรในตู้เย็นกินน่ะ แต่ก็เห็นมีแต่ของสดไม่มีอาหารสำเร็จรูปที่พอจะเวฟกินได้เลย สงสัยต้องบอกป้าสายให้ซื้อมาตุนไว้ในช่องฟรีซสักหน่อยแล้วสิ” เขาบอกยิ้มๆ ก่อนจะหันไปหยิบยาแล้วเดินกลับมาหาเธอ