"บลูมึงโอเคไหม?"
พอลืมตาตื่นเสียงแรกเลยที่ได้ยินคือเสียงของเต๋อที่กำลังลุกยืนถามอาการฉันนั้นทำให้ฉันเห็นเพดานสีขาวพร้อมกับสายน้ำเกลือที่กำลังห้อยอยู่
"โรงบาลหรอ?"
"คิดว่าสวนสนุกรึไง?"
ฉันหันตามอีกเสียงที่ดังแทรกมาทางด้านซ้ายมือของตัวเองและคนที่ยืนกอดอกมองอยู่คือกุนซือ...เขายังอยู่?
"มึงเลือกกำเดาไหลจนสลบ"
"ระหรอ" ฉันหันมองเต๋อขณะที่มันก็มองฉันด้วยความเป็นห่วง
"หมอบอกมึงพักผ่อนน้อยและดีที่กุนซือช่วยมึงไว้"
ไม่รู้หรอกนะว่ากุนซือกับเต๋อไปรู้จักกันตอนไหนแต่กุนซือเขาช่วยฉันไว้...อีกแล้ว ฉันกลืนน้ำลายลงคอพร้อมหันมองกุนซือที่ยังนิ่งอยู่
"ขอบคุณนะที่ช่วยอีกแล้ว"
"อืม จริงๆมีอะไรจะถามมากกว่านี้อีกแต่พอเห็นสภาพเธอตอนนี้แล้วสงสาร"
กุนซือว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบพร้อมกับจ้องมองมาที่ฉันนานนับนาที ดวงตาดำขลับมองไล้ไปทั่วนั้นทำให้ฉันต้องกำมือแน่นเพราะเกร็ง
"กุนซือมองอะไร?"
"มองก็ไม่ได้?" ฉันกลืนน้ำลายอีกครั้งเมื่อสบเข้ากับแววตาที่ฉายแววหงุดหงิด "กลัวอะไรนักหนา"
"มะไม่ๆ ขอโทษเราไม่ได้คิดแบบนั้น"
"ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว"
ฉันพยักหน้าและมองกุนซืออีกครั้ง
"ขอบคุณอีกครั้งนะ จากใจเลย"
"อย่าวิ่งไปตัดหน้าใครเขาอีกขอแค่นี้" กุนซือบอกพร้อมกับมองฉันด้วยสายตาที่อ่อนลง "ส่วนเรื่องที่จะถามรอเธอดีขึ้นกว่านี้ก่อนล่ะกัน เดี๋ยวจะโทรหาอีกที"
"เอ่อ.."
"แล้วก็ห้ามหนีอีก" กุนซือที่กำลังจะเดินออกไปหันกลับมาเตือนฉันเสียงเข้ม "ยิ่งหนียิ่งเจอเธอควรจะเรียนรู้เรื่องนี้ด้วย"
ฟึ้บ
พูดจบเขาก็เดินออกไปจากเตียงภายในห้องรวมที่ฉันกำลังนอนอยู่ทันที ฉันเม้มปากกำมือแน่นเพราะหัวใจดันเต้นแรงเพราะคำพูดของเขา
"ดุจัด" เต๋อว่าเสียงเบาพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้พลางมองฉันอย่างห่วงๆ "แล้วมึงไปทำไงให้เป็นลมเป็นแล้งขนาดนั้น?"
"ก็นอนน้อยแหละ ว่าแต่มึงมาไงรู้ได้ไงว่ากูอยู่นี่?"
ฉันเบี่ยงประเด็นแทนที่จะตอบคำถามของเต๋อซึ่งนั้นทำให้เต๋าเล่าว่ากุนซือเป็นคนโทรตามเอง กุนซือสแกนเข้าไอโฟนฉันและโทรหาเต๋อเพราะเต็อคือคนที่ฉันโทรหาล่าสุด..ก็ดีอยู่เพราะอย่างน้อยฉันก็ไม่เหงาและไม่ต้องสนใจวิญญานที่กำลังเดินไปมาไรจุดหมายแบบนี้
เพราะที่นี่เป็นโรงบาลวิญญานจึงเยอะกว่าทุกที่และทันทีที่กุนซือไปวิญญานก็ออกมาเดินกันเต็มไปหมด..วิญญานหรอ?
แล้วทำไมตอนกุนซืออยู่ทำไมฉันถึงไม่เห็นเลยล่ะ?
19.33 pm.
"มึงแน่ใจใช่ไหมว่าอยู่ได้?"
ฉันหันมองเต๋อที่กำลังยืนมองอยู่ตรงหน้าทางบันไดขึ้นหอ และมันคงเป็นห่วงฉันมากแหละเพราะดูจากสภาพฉันตอนนี้คงเหมือนช่วยไรตัวเองไม่ได้แล้ว มันเหนื่อยมันล้าไปหมด
"อยู่ได้แหละ ขึ้นไปกูกะจะนอนเลย"
"เอาจริงมีไรโทรหากูได้ตลอดนะ" ฉันพยักหน้าและหันหลังแต่เต๋อกลับคว้างมือฉันไว้อีกครั้ง "กูจริงจังนะถ้าคิดว่าไม่ไหวจริงรีบโทรหากูเลย"
"ได้ ถ้ากูไม่ไหวจริงกูโทรหามึงแน่เต๋อ"
ฉันสบตากับเต๋อนิ่งขณะที่เต๋อก็จ้องมองด้วยความเป็นห่วง ซึ่งฉันรู้ว่ามันเป็นห่วงจริง..ฉันแตะมือลงที่หลังมือมันเบาๆ
"ขอบใจมากที่ไปเฝ้า"
"งั้นกูกลับล่ะ"
ฉันพยักหน้าและยืนมองเต๋อจนเขาขับรถออกไปสุดสายตาไม่ได้ใส่ใจวิญญานที่กำลังมองมาที่ฉันเลยเพราะมันเหนื่อยเกินไป และถึงพวกเขาจะมองกันขนาดไหนพวกเขาก็เข้ามาข้างในนี้ไม่ได้หรอก
...เพราะที่นี่มีศาลพระภูมิไงล่ะ มันแน่อยู่แล้วที่พวกผีจะไม่กล้าเข้ามาเพราะที่ไหนที่มีศาลก็แปลว่าที่นั้นมีเจ้าที่ และวันนี้ฉันก็เหนื่อยเกินกว่าจะไปต่อล้อกับวิญญานที่ไหนอีกแล้ว
"ไม่สิ"
ระหว่างที่จะเดินเข้าห้องฉันก็ต้องชะงักอีกครั้งเพราะดันคิดถึงวิญญานอีกตนที่ไม่ได้เข้าหาเหมือนกับพวกอื่นๆที่เข้าหาอย่างปกติ คิดได้ฉันก็รีบกดโทรหายายทันทีซึ่งไม่นานเธอก็รับ
(ฮัลโหลบลู ยายคิดว่าเราจะโทรหายายพรุ่งนี้ซะอีก)
"คือจริงๆบลูก็ควรจะโทรหายายพรุ่งนี้แหละแต่พอดีว่าหนูมีเรื่องจะถามยาย"
(ว่าไงลูก)
"ปกติเรื่องเล่าต่างๆที่ยายฟังมาเกี่ยวกับพวกวิญญานปกติพวกเขาจะเข้ามาขอส่วนบุญไม่ก็ขอให้ช่วยใช่ไหมคะ"
(ใช่ ส่วนมากเลยล่ะ) ฉันเม้มปากแน่นพร้อมกับคิดถึงสิ่งที่ตามตัวเองมาตลอดหลายวันมานี้ ทั้งเงามืดทั้งความฝันบ้าๆนั้น (ทำไมถึงถามเรื่องนี้ล่ะ ปกติเราไม่ค่อยสนใจไม่ใช่หรอ?)
"แล้วมันแปลกไหมยายถ้าเกิดจู่ๆมีวิญญานตามเรามาแต่ไม่ได้ขอส่วนบุญหรืออะไรเลยนอกจากทำให้กลัว?"
(มันไม่แปลกลูกแต่มันน่ากลัวเพราะถ้าเขามาตามแบบนี้จุดหมายของเขาคือจะเอาเราไปอยู่ด้วย)
ริมฝีปากของฉันเม้มเข้าหากันด้วยความหนักใจในทันทีที่ยายบอกมาแบบนี้ เอาไปอยู่ด้วยหรอ?
(บลูพูดให้ยายฟังๆด้นะเผื่อฉันจะพอช่วยอะไรได้บ้าง)
"จริงๆบลูฝันถึงค่ะ ฝันมาหลายวันติดแล้วแล้วพอตื่นมันทั้งเหนื่อยและล้า"
(ทำไมถึงมาทำกับบลูแบบนี้กัน)
"นั้นสิ บลูก็อยากรู้"
(เดี๋ยวยายหาบทสวดให้)
"เขาไม่กลัวค่ะยาย บลูลองแล้วสวดมันทุกคาถาก่อนจะนอนแต่สุดท้ายก็ฝันอีก"
(งั้นบลูกลับบ้านก่อนไหมลูก)
"อีกสองวันก็วันศุกร์แล้วค่ะยายเดี๋ยวบลูกลับวันนั้นเลย"
(แล้วหนูจะไหลหรอลูก)
"คงไหวค่ะแล้วบลูกก็มีเรื่องคาใจที่ต้องสะสางก่อนด้วย"
(ได้ๆ งั้นยายจะเตรียมของไว้ให้แล้วกันนะ)
"ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ"
ฉันคุยกับยายต่ออีกหน่อยก่อนจะวางสายฉันจึงอาบน้ำและเตรียมตัวจะนอนแต่ดันลืมว่ามีสิ่งที่จะต้องทำอยู่ ตอนนี้สามทุ่มครึ่งได้แล้วฉันหยิบโทรศัพท์มาเปิดเน็ตพร้อมกับแชทที่เด้งและหนึ่งในนั้นคือกุนซือ
เขาอยากเคลียร์กับฉันและฉันก็มีสิ่งที่อยากจะรู้เช่นกันเราจึงนัดคุยกันในวันพรุ่งนี้ตอนเที่ยง..
กุนซือ : อย่าลืมนัดล่ะ
กุนซือเตือนอีกครั้งและฉันก็ตอบตกลงกลับก่อนจะหันมามองเตียงนอนของตัวเองอีกครั้ง..คืนนี้ฉันคงจะนอนไม่ได้และคงจะไม่นอนเพราะไม่งั้นฉันได้ฝันอีกแน่
12.10 PM.
"โทษทีรถติด"
ฉันเงยหน้าจากหนังสือเครื่องรางที่กำลังอ่านก่อนจะปิดมันลงเมื่อเจอสายตาแปลกๆของกุนซือที่มองลงมา เขาขมวดคิ้วและมองฉันที่กำลังเก็บหนังสือเข้ากระเป๋า
"มานานแล้วหรอ?"
"สักพักแล้ว"
"แล้วทำไมไม่บอก"
"พอดีมีเรียนน่ะ เลิกก่อนเวลา"
กุนซือพยักหน้าและมองแก้วลาเต้ของฉันก่อนเขาจะเดินไปสั่งบ้าง
"ไม่บอกว่าจะกินด้วยจะได้สั่งไว้ให้"
"เห็นแล้วมันอยากกินน่ะ" เขาว่าพร้อมนั่งลงตรงข้ามพร้อมใช้สายตาดำขลับไล้มองฉันอย่างสังเกต "โอเคขึ้นยัง?"
"อืม โอเคขึ้นอยู่"
"แต่หน้ามึงเหมือนคนยังไม่ได้นอน" กุนซือชะงักพร้อมโบกมือไปมาช้าๆ "โทษทีที่หยาบคาย"
"เฮ้ยไม่เป็นไรเลยจะพูดยังไงก็พูดเถอะ"
"เออ โอเค"
เขานี่เข้าใจอะไรง่ายดีนะ ฉันยิ้มออกมาบางๆและสบตากับกุนซือก่อนจะหลบสายตาอีกครั้ง..เมื่อคืนนี้ดีหน่อยที่ฉันไม่ได้หลับไม่งั้นฉันได้กระดากอายอีกแน่
"คือ/เรื่องเมื่อวาน"
เราทั้งสองชะงักอีกครั้งเพราะเราดันพูดขึ้นมาพร้อมกัน กุนซือขมวดคิ้วและพยักหน้าให้ฉันพูดก่อน
"กุนซือก่อนเถอะ"
"นั้นแหละ ที่กูจะถามก็เรื่องเมื่อวาน"
"เราฝันร้ายน่ะ"
"แล้วฝันร้ายมันเกี่ยวกับกูหรอทำไมมึงถึงวิ่งหนีกูแบบนั้น?"
กุนซือถามอย่างตรงไปตรงมาพร้อมกับพนักงานที่เดินเอาลาเต้มาเสริฟฉันจึงยิ้มให้พนักงานและรอให้เธอเดินออกไปก่อนจะสบตากับกุนซืออีกครั้ง
"ถ้าเราพูดให้ฟังกุนซือจะเชื่อไหม"
"ก็พูดมาก่อน เชื่อไม่เชื่อก็อีกเรื่อง"
พูดแบบนี้เป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรเลยแน่ๆ ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆและสบตากับกุนซืออีกครั้งพร้อมรวบรวมความกล้า
"เราหนีกุนซือสองครั้งแล้วใช่ไหม"
"ใช่ หงุดหงิดแล้วเนี้ย"
"เหตุผลที่เราเอาแต่หนีเพราะเราเห็นผี"
กึ่ก..
กุนซือวางแก้วลงที่จานรองเสียงดังพร้อมกับดวงตาคมที่เหลือบมองฉันอย่างไม่เชื่อสายตา
"จะว่าเรามีเซ้นก็ได้แต่มันมีวิญญานอีกตนที่ตามเราอยู่" ฉันกลืนน้ำลายและมองกุนซือ "แล้วเขาหน้าเหมือนกุน เหมือนมากจนเรากลัว"
กุนซือนิ่งไปนานหลายนาทีซึ่งนั้นมันทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมานิดเพราะคิดว่าเขาคงจะเชื่อ อย่างน้อยเขาน่าจะอยากฟังต่อบ้างน่ะนะ
"มึงพี้ยามาหรอ?"
"ห๊ะ?"
"รึเป็นประสาท?"
"มะไม่ใช่ เราพูดความจริงจะให้เราพิสูจน์ยังไงก็ได้!"
"ประสาทหรอ?"
ฉันลุกตามกุนซือทันทีเพราะเขาที่ขยับลุกและถอยออกห่างจากฉัน
"เอาจริงๆมึงจะบอกว่าไม่ชอบขี้หน้าหรืออะไรกูก็ได้นะที่หนีไปไม่ต้องสร้างเรื่องก็ได้ไหมว่าเห็นผี"
"มันไม่ใช่แบบนั้นไงกุน เราเห็นผีจริงๆ"
"โอเคเห็นก็เรื่องของมึงเถอะว่ะ" ร่างสูงยกมือโบกไปมาพร้อมส่ายหัว "แต่ขอเลยอย่ามายุ่งกับกูอีก"
"แต่.."
"ถึงจะมีผีที่หน้าเหมือนกูตามแต่มันก็ไม่ใช่ว่ากูจะเป็นผีไหมล่ะ รึอยากให้กูเป็น?"
"ไม่ใช่นะเราไม่ได้หมายความแบบนั้น"
"ครับ กูเข้าใจไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว" กุนพยักหน้าและถอนหายใจ "ถือว่ากูไม่เคยได้ยินเรื่องนี้แล้วกันนะ"
"แต่กุน เราจำเป็นจริงๆที่จะต้องสืบเรื่องนี้เขาไม่สิ..วิญญานที่ตามเราเหมือนกับกุนมาก"
"ถ้ายังไม่หยุดพล่ามกูจะคิดว่ามึงบ้าจริงล่ะนะ"
"..." ฉันกัดปากตัวเองแน่นจนมันเจ็บขณะที่กุนก็หรี่ตาลงและหันไปหยิบกระเป๋ามาสะพายแทน "ถ้ากุนไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยนะ"
"..ขอโทษที่หยาบคายใส่แต่เรื่องที่เธอพูดมันเกินจะรับจริงๆ"
กุนซือมองฉันเหมือนรู้สึกผิดจริงก่อนเขาจะเดินออกจากร้านไปก่อนทิ้งให้ฉันยืนอยู่ภายในร้านที่เดิมคนเดียว ฉันค่อยๆนั่งลงพร้อมกับเหล่าวิญญานที่พุดร่างคล้ายกับกลุ่มหมอกออกมาออกันเต็มรอบโต๊ะของฉัน
..พวกวิญญานออกมาทันทีที่กุนซือเดินออกไปซึ่งมันทำให้ฉันแน่ใจแล้วว่าเวลาที่ฉันอยู่กับกุนซือหรืออยู่ใกล้เขาฉันจะไม่เห็นวิญญานจริงๆ
'..ยังไงมันก็ไม่ช่วยอยู่ดี'
วิญญานรอบตัวฉันหายวับไปกับตาพร้อมกับเสียงเย็นคุ้นหูที่พุ่งเข้ามาแทนที่ ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความเกร็งเพราะเสียงเมื่อกี้ที่กระซิบข้างหู
'มันไม่เชื่อหรอก'
เสียงหัวเราะทุ้มๆดังวนภายในหัวฉันและนั้นทำเอาฉันน้ำตาไหล...ถึงตอนนี้จะไม่ได้กลัวเท่าครั้งก่อนๆแต่มันเหนื่อย ฉันเหนื่อยเกินจะรับมือกับวิญญานตนนี้แล้วนะ
"ต้องการอะไรจากฉัน?"
ฉันถามเสียงเบาหวิวพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักที่ดังก้องหู
'เธอไงบลู'