จวนอ๋องเทียนหราน บุรุษหนุ่มวัยสามสิบสี่ปี ผู้ที่กระหายสงครามและมักออกทำศึกด้วยตนเองจนผู้คนต่างแคว้นนั้นยำเกรง ยามนี้เขาพึ่งกลับมาจากสนามรบทางทิศใต้ของแคว้น และยังคงได้รับชัยชนะกลับมาเช่นทุกครา
ร่างสูงซึ่งอยู่ในบ่อน้ำแร่ในเรือนด้านหลัง เขาหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ หลังจากที่ทำศึกกับแคว้นนี้เพียงแค่สิบวัน ก็เอาชนะและยึดเมืองทั้งสามมาได้อย่างง่ายดาย จนแทบมิต้องออกแรงเลยด้วยซ้ำ ส่วชาวเมืองก็ยกให้อ๋องผู้พี่นั้นจัดการแทนอย่างเช่นทุกที
ร่างสูงเปลือยกายล่อนจ้อน เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแน่นน่าหลงใหล
แม้จะอยู่ในวัยฉกรรจ์แล้วก็ตาม แต่รูปร่างนั้นยังเป็นที่ต้องตาของสตรีน้อยใหญ่เช่นเดิม แม้เพียงได้เห็นแค่เล็กน้อยก็เกิดอยากเป็นหนึ่งในสนมของเขา รวมถึงนางกำนัลที่รับใช้ในจวนต่างก็เฝ้ารอให้ท่านอ๋องเรียกขาน
“เจ้ามาตรงนี้ที ตอนนี้มันแข็งเสียแล้ว มาเอามันลงให้ข้าหน่อย แล้วข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”
เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับยิ้มร้ายส่งให้สตรีอุ่นเตียงของเขา ซึ่งมีมากมายในจวน จนยามที่ร่วมหลับนอนนั้นแทบจะมิเคยซ้ำหน้าเลยสักครา ร่างเย้ายวนของสตรีตัวน้อยเดินนวยนาดเข้ามาหาอ๋องเทียนหรานรูปงาม ก่อนจะนั่งคร่อมเขาเอาไว้แม้อีกฝ่ายจะยังคงนั่งอยู่ใต้น้ำ
และมิต้องบอกกล่าวสิ่งใดเลยนางก็ทำหน้าที่จนอ๋องหนุ่มนั้นคลายความเจ็บปวดช่วงล่างลง ยิ้มร้ายผุดขึ้นก่อนจะพยักหน้าให้คนของตนจัดการต่อ เขาทำเช่นนี้อยู่เสมอยามที่เสร็จกิจ เพราะมิต้องการผูกมัดกับสตรีนางใด
รวมถึงมิต้องการมีบุตรกับสตรีเหล่านี้ จึงให้ดื่มยาเพื่อมิให้ตั้งครรภ์ทุกครายามทำเช่นนี้ หากคนสนิทพอใจสตรีใดก็ให้พาไปได้เลย แม้นางเหล่านั้นจะเคยเป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นสูงต่างแคว้นก็เถอะ
แต่หาได้มีความหมายกับเขาไม่ เพียงแค่เสพสุขนั่นคือสิ่งที่เขาคิด สตรีนั้นไร้ค่าไร้ความหมายสำหรับเขา มีเพียงศึกสงครามเท่านั้นที่ทำให้เทียนหรานรู้สึกมีอำนาจ
“ท่านอ๋องกระหม่อมได้ยินว่าฝ่าบาททรงตรัสว่าจะยกทัพไปตีเมืองเหลียงเหอ ยามเมื่อหมดสัญญาสงบศึกจริงหรือไม่พะย่ะค่ะ หากเป็นเช่นนั้นกระหม่อมว่าคงมิต้องใช้เวลาถึงสามวันเป็นแน่ เพราะฝ่ายนั้นคงมิคิดว่าเราจะยกทัพไป เห็นว่าเอาแต่ทำไร่ปลูกผักมิเคยจับดาบกันเลย”
“ไห่เฉิงเจ้าไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใด”
หลู่ถงองครักษ์อีกคนของเทียนหรานเอ่ยถามสหาย ซึ่งยืนกอดอกถือกระบี่เฝ้าผู้เป็นนายอยู่คนละมุม
“ก็ได้ยินมาจากสหายที่เป็นพ่อค้าอยู่ในเมืองนี่แหละ เห็นว่ายามนี้ทางนั้นเก็บผลผลิตได้มากมาย โดยเฉพาะเหล้าหมักดอกท้อ เห็นว่าเป็นของเลื่องชื่อในเมืองเหลียงเหอเลยเชียวนะ พวกขุนนางน้อยในต่างก็สั่งมาดื่มกิน”
เทียนหรานนิ่งฟังคำพูดขององครักษ์ทั้งสองอย่างใช้ความคิด เช่นนี้กระมังฮ่องเต้จึงอยากได้เมืองนี้นัก
“หึ! เจ้านี่กลับมามิทันไรก็หาความสำราญให้ตนเองจนรู้ข่าวต่างเมืองได้รวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือไห่เฉิง”
หลู่ถงยังคงเอ่ยเหน็บแนมสหายตน ก่อนจะก้มหน้าลงเมื่อผู้เป็นนายลุกขึ้นจากการแช่น้ำ นางกำนัลรีบทำหน้าที่ของตนด้วยท่าทางเขินอาย เมื่อสวมใส่ผ้าคลุมเสร็จเทียนหรานก็เดินออกมาจากบ่อน้ำแร่ เพื่อตรงไปยังห้องนอนและห้องตำราซึ่งมันอยู่ติดกัน
“เจ้าไปเตรียมหาแผนผังของเมืองนี้และรอบนอกมาให้หมด หากฝ่าบาทรับสั่งเมื่อใดเราจะออกเดินทัพทันที”
“พระองค์จะไม่พักสักหน่อยหรือพะย่ะค่ะ พึ่งเดินทางกลับมาจากทิศใต้เพียงสองวันเอง”
หลู่ถงเอ่ยถามผู้เป็นนายในขณะที่ยืนรออีกฝ่ายแต่งตัว เพราะอย่างไรเสียก็พึ่งเดินทางมาถึง
“หึ! ทำศึกกับพวกอ่อนแอเช่นนั้นน่ะหรือจะให้ข้าเหนื่อย อีกอย่างไห่เฉิงบอกเองมิใช่หรือว่าฝ่ายนั้นมีแต่ปลูกผักทำไร่ทำนากันมิได้จับดาบ แต่ถึงจะมิได้เป็นเช่นนั้น ข้าก็มิคิดว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะโจมตีเมืองนี้หรอก”
เทียนหรานเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มมองคนของตนที่ทำมิต่างกัน นายเป็นเช่นไรบ่าวรับใช้ก็คงเป็นเช่นนั้น
“วันนี้ท่านเสนาเชิญท่านอ๋องไปทานอาหารที่จวน สงสัยคงอยากจะยกบุตรสาวให้มาเป็นสนมอีกคนเป็นแน่”
“ข้าเกลียดคนพวกนี้เสียจริง หากข้ามิใช่อ๋องเทียนหรานผู้กุมอำนาจทางทหาร คงมิเอาใจข้าเพียงนี้”
“คงเกรงอำนาจบารมีพระองค์พะย่ะค่ะ”
เทียนหรานเพียงแค่ส่งเสียงเย้ยหยันในลำคอเท่านั้น ยามนี้เขาอยู่ในชุดคลุมสีดำปักลายด้วยเส้นไหม สมฐานะของราชวงศ์รุ่นก่อน เขามิชอบการปกครองจึงขอทำหน้าที่แม่ทัพแทน และมักจะทำมันออกมาได้ดีในทุกครั้ง
“เตรียมม้าข้าจะออกไปนอกเมือง สั่งคนของเราไปรอที่นั่น ข้าอยากดูแผนผังเมืองเหลียงเหอ”
“แล้วคำเชิญของท่านเสนาซ้ายล่ะพะย่ะค่ะ”
“เจ้าก็ไปแทนข้าสิ”
เทียนหรานเอ่ยพร้อมกับเดินออกไปโดยมิใส่ใจคนสนิทของตน ไห่เฉิงทำได้เพียงแค่เดินตามเท่านั้น เพราะหากผู้เป็นนายเอ่ยเช่นนี้พวกตนก็หาต้องสนใจไม่
ร่างสูงบังคับม้าออกนอกเมืองด้วยท่วงท่าสง่างาม เป็นจุดสนใจให้สตรีน้อยใหญ่เมื่อได้พบเห็น ความองอาจห้าวหาญซ้ำยังรูปงามกว่าใคร มันช่างขัดกับความเป็นจริงที่ว่าเขาเป็นบุรุษที่เหี้ยมโหดไร้ปราณีเสียเหลือเกิน ข่าวลือของอ๋องผู้นี้มิได้เป็นไปในทางที่ดีแม้แต่น้อย
ยิ่งเมื่อสี่ปีก่อนที่รบชนะเผ่าทะเลทราย ชื่อเสียงของอ๋องเทียนหรานก็ดูจะโฉดชั่วมากกว่าเดิม เพราะเข่นฆ่าแม้กระทั่งเด็กทารกที่พึ่งเกิดเพียงไม่กี่เดือน นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาถูกตั้งค่าหัว พอๆ กับฮ่องเต้ผู้เป็นหลาน แต่ก็มิมีผู้ใดกระทำการได้สำเร็จเลยสักคน
เพราะเขามีทั้งฝีมือและองครักษ์ที่คอยปกป้องถวายชีวิต แม้คนผู้นี้จะถูกมองว่าโหดเหี้ยม แต่คนในปกครองใกล้ชิดต่างก็เคารพยำเกรงและซื่อสัตย์ต่อเขามาก
“ท่านอ๋องนี่พะย่ะค่ะแผนผังเมืองเหลียงเหอ”
เทียนหรานหยิบออกมากางลงบนโต๊ะ เมื่อเดินทางมาถึงเรือนหลังหนึ่งนอกเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ซ่องสุมกำลังพลมานับสิบปีแล้ว แต่เพราะทุกคนแต่งกายเช่นชาวบ้านธรรมดา และอาศัยอยู่เช่นคนทั่วไปจึงมิมีผู้ใดสงสัย
อ๋องเทียนหรานก็จะมาที่นี่เพียงแค่ช่วงที่อยู่เมืองหลวงเท่านั้น ซึ่งมันก็นานๆ ที เพราะส่วนมากจะอยู่ในสนามรบเสียมากกว่า เขามองสำรวจแผนผังอยู่ซักพักก็ยกยิ้มอย่างพอใจ เพราะที่นี่ดูท่าจะอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก มิแปลกใจเลยเหตุใดฮ่องเต้จึงอยากครอบครอง
แม้จะเคยมีสนธิสัญญาสงบศึกกันมาก่อนแล้ว แต่ในยามนี้มันหมดเวลานั้น หากได้มาเป็นของตนแคว้นตงเยี่ยน คงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมากเป็นแน่
“หึเมืองเล็กๆ เพียงแค่นี้ คงใช้เวลามิถึงสามวันอย่างที่เจ้าเอ่ยเป็นแน่ ให้คนไปสืบดูว่าที่นั่นทำสิ่งใดกัน”
“ได้ยินว่าทางนั้นปิดเมืองตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนพะย่ะค่ะ”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเพราะเกิดความสงสัยขึ้นมา
“ปิดเมืองกระนั้นหรือ เหตุใดจึงทำเช่นนั้นหรือพวกมันเองก็มีสายในแคว้นเราเช่นกัน”
“ได้ยินว่าก่อนหน้านั้นรบกับแคว้นเหว่ยพะย่ะค่ะ ส่วนปิดเพราะเหตุใดเรื่องนี้คนของเรายังมิอาจสืบทราบได้”
“หึ! ช่างเถอะอย่างไรเสียเมืองเหลียงเหอก็มิอาจพ้นมือข้าไปได้หรอ เตรียมซักซ้อมคนของเราไว้ให้ดี”
อ๋องหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกยืนเต็มความสูง เขาเดินออกมานอกเรือนซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง
พร้อมกับมองไปเบื้องหน้า ยามนี้ทหารเกือบสี่ร้อยนายซึ่งเป็นคนของเขาทั้งหมด มิเกี่ยวกับทหารรักษาเมืองหรือทำศึก ที่ทำเช่นนี้มิใช่ว่าคิดจะกบฎ เพียงแต่ตระเตรียมคนเอาไว้เผื่อเหตุการณ์ล่วงหน้า
เพราะในราชสำนักมีหลายฝักหลายฝ่ายแยกตัวเข้าพวกกับราชวงศ์คนอื่นๆ ส่วนตัวเขานั้นรับปากพี่ชายซึ่งเป็นฮ่องเต้องค์ก่อน ว่าจะช่วยคุ้มครองหลานชายให้ขึ้นครองราชย์โดยมิมีผู้ใดกล้าต่อต้าน และมันเป็นเช่นนี้มานับสิบปีแล้ว เขาอยู่ที่นี่จนมืดค่ำจึงได้กลับจวน
สายของอีกวันอ่องเทียนหรานก็ถูกเรียกให้เข้าพบ และได้รับคำสั่งให้ยกทัพเข้าตีเมืองเหลียงเหออย่างที่ได้ยินข่าวมาก่อนหน้านี้ โดยมีอ๋องซานเหรินผู้พี่นั่นหารือร่วมอยู่ด้วย คราแรกเขาอาสาออกรบแทนแต่ฮ่องเต้ก็มิยอม ให้เหตุผลเพียงแค่มิอยากให้ต้องไปเสี่ยงหลายคน แต่ความเป็นจริงเพราะจินหลินมิได้ไว้ใจอ๋องซานเหรินต่างหาก
“เช่นนั้นกระหม่อมจะออกไปเตรียมไพร่พล แล้วออกเดินทางในวันพรุ่งเลยพะย่ะค่ะ”
“ข้าขอให้เสด็จอานำชัยชนะมาเช่นทุกครั้ง”
จินหลินเอ่ยพร้อมกับมองตามร่างสูงของอนุชาบิดาตน
“เช่นนั้นกระหม่อมก็คงต้องขอตัวเช่นกันพะย่ะค่ะ”
ซานเหรินเอ่ยก่อนจะคำนับอีกฝ่าย เขาเดินออกมาพร้อมกับขบกรามแน่น
“หึ! ข้ามิปล่อยให้เจ้ามีอำนาจนานหรอก”
เสียงรอดไรฟันเปล่งออกมาบ่งบอกถึงความรู้สึกที่ถูกเก็บกักไว้ในยามนี้ แม้จะขุ่นเคืองมากเพียงใดแต่เขายังต้องอดทน รอเวลาที่เหมาะสมที่จะทำการใหญ่
“เตรียมคนของเราไว้ ข้าจะตามทัพไป”
"พะย่ะค่ะ” ฟานเสียนองครักษ์คนสนิทอ๋องซานเหรินเอ่ยขึ้น ยามนี้ทุกฝ่ายต่างก็พุ่งเป้าไปยังแคว้นเหลียง บ้างก็พนันขันต่อกันว่าอีกฝ่ายจะตั้งรับได้นานเพียงใด
อีกด้านในแคว้นเหลียง ยามนี้ชาวเมืองกำลังเริ่มอพยพไปยังเมืองใกล้เคียง ตั้งแต่มีการประกาศว่าแคว้นตงเยี่ยนจะยกทัพมาตีเมือง ทำให้ในยามนี้ด้านในจึงดูว่างเปล่ารกร้างไร้ผู้คน แต่ก็เพียงมินานเท่านั้นเพราะมีทหารเข้ามาพักอาศัยอยู่แทน
“นายน้อยชาวเมืองอพยพไปหมดแล้วขอรับ”
“อืม อย่าลืมสั่งให้ทหารตระเตรียมอาวุธให้พร้อม”
เสียงจากผู้สวมใส่หน้ากากเอ่ยขึ้น ยามนี้นัยน์ตานั้นกลับมองออกไปทั่วอาณาบริเวณ เพราะมันอาจเป็นภาพสุดท้ายที่ได้เห็นทิวทัศน์อันงดงามนี้ อีกมินานมันคงถูกเหยียบย่ำจากผู้กระหายสงครามเป็นแน่
“มิคิดว่าแคว้นตงเยี่ยนจะมิรู้พอเช่นนี้ คิดแต่จะทำสงครามมินึกถึงราษฎรแม้แต่น้อย”
“สองอาหลานโฉดชั่วนั้นมิเคยนึกถึงผู้ใด หากตายไปเสียแผ่นดินนี้คงสงบสุขมิน้อย”
หาญสวี่ผู้ติดตามของนายน้อยที่พวกเขาเรียกขานเอ่ย
“หึ! เช่นนี้แล้วเจ้าก็จงฝึกยิงธนูให้แม่นเถอะ จะได้สังหารอ๋องโฉดผู้นั้นเพื่อให้แผ่นดินนี้สูงขึ้น”
“หากข้ามีฝีมือเช่นนายน้อยอย่างไรข้าก็มิพลาดที่จะทำ มันจะไม่มีโอกาสได้หายใจอีกเป็นแน่”
รอยยิ้มเกิดขึ้นภายใต้หน้ากากสีขาวราวมรกต เมื่อได้ยินคนของตนเอ่ยเช่นนั้น แต่มันก็เพียงแค่ชั่วครู่ เพราะสุดท้ายมันก็ปะปนไปกับความเศร้าเช่นเดิม นัยน์ตาคมยังคงมองภาพเบื้องหน้าราวกับจะเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ เพราะมิรู้จะมีโอกาสได้เห็นมันอีกหรือไม่
เรื่องราวในวันเก่าทำให้คนผู้นี้เฝ้าโทษตนเองที่มิอาจปกป้องน้องชายที่สติฟั่นเฟือนเมื่อห้าปีก่อนได้ จึงยอมรับโทษจากมารดาเลี้ยงซึ่งเป็นถึงองค์หญิงแต่โดยดี คราแรกนั้นเกือบถูกประหารเสียด้วยซ้ำ เพราะความลำเอียงของบิดาที่เกลียดชังตน
หากมิมีองค์ชายสามลูกพี่ลูกน้องร้องขอความเมตตาเอาไว้ เขาคงมิได้มายืนอยู่ตรงนี้ เพราะดูท่าฝ่ายมารดาเลี้ยงนั้นต้องการให้เขาตายตกไปตามน้องชาย แม้เรื่องนี้จะมิได้เกิดเพราะความผิดของตนเลย
แต่เพราะเด็กน้อยผู้นั้นแอบวิ่งตามกลุ่มโจรไปในยามที่บิดามารดาซุ่มหลบภัยอยู่ จึงทำให้ถูกสังหารอย่างเลือดเย็น แต่ผู้พี่ที่มีอายุเพียงสิบสี่ปีไหนเลยจะไปช่วยน้องชายได้ จากนั้นมาเขาจึงฝึกหนักจนเก่งกาจ และความฉลาดเฉลียวพลิกแพลงประดิษฐ์อาวุธมากมายได้ราวกับมันอยู่ในหัว รวมถึงความสามารถในการยิงธนูระยะไกล จึงได้เป็นที่ปรึกษาในการรบตั้งแต่คราวก่อน
# ถ้าชอบก็ขอใจให้ไรท์สักดวงนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะ