“ทำไม? ทำท่าทางรังเกียจกันขนาดนี้คะ” ไปรยาเสแสร้งแกล้งยิ้มกลบเกลื่อนใบหน้าที่แตกร้าว เมื่อถูกจิรายุเฉยชาใส่ไม่ยอมคุยกับเธอ นอกเสียจากเรื่องงานเท่านั้น
“เจ้านาย มีอะไรครับ” ขันติวิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องทำงานประธานหนุ่ม ที่มีแขกไม่ได้รับเชิญนั่งไขว่ห้างอย่างมีจริตอยู่เก้าอี้ตรงข้ามจิรายุ
“พาคุณไปรยา ไปที่ห้องรับแขก” จิรายุสั่งขันติด้วยน้ำเสียงและใบหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาคมแฝงไปด้วยความน่ากลัวที่ทำให้ขันติสัมผัสได้
“ไปรยาว่าเราคุยในห้องทำงานของคุณยุ สะดวกกว่านะคะ” ไปรยานางแบบสาว ยังคงดื้อรั้นไม่ยอมเดินออกจากห้องทำงานของประธานหนุ่ม หญิงสาวยังคงนั่งปั้นหน้ายิ้มอยู่เช่นนั้น
จนกระทั่งได้ยินคำตอบหลุดจากปากจิรายุ
“แต่ผม ไม่สะดวก”
“ไปรยาขอเหตุผลหน่อยค่ะ” เธอเองก็อยากทราบเหตุผลของผู้ชายคนนี้เช่นกัน ว่าเหตุใด เขาถึงได้เฉยชา ไม่แม้แต่จะใช้หางตามองขาเรียวสวยหรือหน้าอกตู้มของเธอเลยสักนิด
“เพราะผมไม่อยากมีข่าวเสียหาย ให้ว่าที่ภรรยาไม่สบายใจครับ หวังว่าคุณไปรยาจะเข้าใจ” จิรายุยกมือข้างซ้ายของตัวเองขึ้นมาโชว์แหวนทองคำขาวที่เด่นหราอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายตนเอง เสมือนเป็นเครื่องยืนยันในคำพูดได้เป็นอย่างดี
“แต่ก็ยัง ไม่ได้แต่งงานหนิคะ แต่เอาเป็นว่าไปรยาจะเข้ามาคุยเรื่องพรีเซนเตอร์อีกทีนะคะ” ไปรยากรีดยิ้มอย่างมีจริต ยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงาน ก้าวเดินออกจากห้องทำงานทันที โดยไม่ปล่อยให้ประธานหนุ่มเอ่ยปากไล่อีกครั้ง
“ปล่อยให้ เข้ามาได้ยังไง” น้ำเสียงเรียบเฉย นัยต์ตาคมกริบจ้องมองใบหน้าของขันติ เสมือนต้องการคำตอบที่น่าพึงพอใจ
“อย่าหาว่าผมเสือกเลยนะคะ เจ้านายมีว่าที่ภรรยาแล้วเหรอครับ” ทำงานกับเจ้านายมาตั้งนาน
ทำไม?
เขาพึ่งทราบเรื่องนี้พร้อมกับคุณไปรยาไปได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เห็นเจ้านายหนุ่มใส่แหวนนิ้วนางข้างซ้ายมาโดยตลอด เพียงแค่คิดว่า นั่นคือแฟชั่น
“อยากรู้ ไปทำไม” น้ำเสียงเรียบเฉยถามกลับเลขาคนสนิทตนเอง
“อ้าว! ท่านครับ ผมเป็นลูกน้องคนสนิทมากของท่านนะครับ ใจคอจะไม่บอกกันหน่อยเหรอ” ขันติร้องโอดโอยขึ้น เสมือนกำลังน้อยใจเจ้านายหนุ่มไม่ปาน
“ไม่ละ” จิรายุตอบกลับเสียงแข็ง สะบัดมือไล่เลขาคนสนิทออกจากห้องทำงานด้วยความรำคาญใจ
“ตอบแบบนี้ ผมงอนได้ไหมครับ” ขันติแสดงใบหน้างอนออกมา เสมือนต้องการให้เจ้านายหนุ่มง้อ แต่ ประโยคที่ได้รับกลับมา ทำให้เขาต้องรีบปิดปากตนเองสนิท
“ว่างเหรอ? จะเพิ่มงานให้”
“ไม่ว่างแล้วครับ ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ” ขันติโค้งศีรษะเล็กน้อย รีบหันหลังเดินคอตกออกจากห้องประธานหนุ่ม
ไปรยาเดินออกจากห้องทำงานประธานบริษัท มาหยุดที่โต๊ะทำงานเกวลินที่กำลังนั่งทำงานอยู่เพียงลำพัง
“นี่เธอ! เข้ามาทำงานที่นี่นานรึยัง” ไปรยาจีบปากจีบคอ เอ่ยถามเกวลินเสียงแหลม เชิดหน้าดั่งนางพญา
“หนึ่งอาทิตย์ค่ะ” เกวลินตอบกลับด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม พยายามใจเย็นและผูกมิตรกับไปรยาเอาไว้
“หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา เคยเห็นผู้หญิงคนไหนมาหาคุณยุบ้างรึเปล่า”
“ไม่มีนะคะ คุณคือคนแรกที่ฉันเห็นเลย”
“เหรอ? ดี ถ้าอยากได้ค่าขนมเพิ่ม อย่าให้ผู้หญิงที่ไหนเข้าใกล้คุณยุอีก” ไปรยาถูกใจคำตอบของเกวลินไม่น้อย ยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ
“หือ! ผลตอบแทนจะคุ้มค่าเหรอคะ” เกวลินเสแสร้งแกล้งกลัวกับคำสั่งที่ได้รับจากไปรยา คำสั่งนี้หากเป็นพนักงานปกติคงไม่กล้าขัดขวางสักเท่าไรนัก
“ต้องการ เท่าไหร่ล่ะ ถึงจะคุ้มค่า”
“คุณคิดว่า ดิฉันควรตีเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่คะ คุณก็คงทราบดีว่าใคร ๆ ก็อยากเป็นภรรยาท่านประธาน”
“ฉลาดดีหนิ”
“วันนี้ ฉันมีเงินสดติดตัวแค่ สามหมื่น เธอเอาไปแค่นี้ก่อนแล้วกัน แต่ ถ้าเธอช่วยฉัน ฉันจะตอบแทนอย่างงาม” ไปรยาหยิบเงินสดจากกระเป๋าสะพายข้างออกมาปึกหนึ่ง วางบนโต๊ะทำงานของเกวลินอย่างจำใจ
“โอเคค่ะ ดีล” เพียงแค่เห็นผลประโยชน์ที่ได้รับ สามารถเรียกรอยยิ้มจากเกวลินได้เป็นอย่างดี พร้อมกับความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง
วันนี้ช่วงบ่ายของวัน ภายในบริษัทที่เคยเงียบสงัด มีเพียงแค่ความตึงเครียด กลับครึกครื้นเป็นพิเศษ เมื่อพนักงานแต่ละแผนกถูกผู้ช่วยเลขาสาวเลี้ยงพิซซ่าชุดใหญ่ จนเรื่องทั้งหมดเข้าหูท่านประธานที่นั่งทำงานอยู่ในห้อง
“เกิดอะไรขึ้น” จิรายุเอ่ยถามขันติด้วยความสงสัย และคำตอบที่ได้ กลับทำให้ประธานหนุ่มสงสัยมากกว่าเดิม
“คุณเกว เลี้ยงพิซซ่าพนักงานทุกแผนกเลยครับ” ขันติตอบกลับด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เสมือนเขานั้นกำลังพูดถึงนางฟ้าประจำใจของตน แต่! กลับต้องหุบยิ้มลง เพียงแค่สายตาปะทะเข้ากับนัยน์ตาคมกริบของประธานหนุ่ม
“ไปตาม ต้นเรื่องมา” เสียงเข้มสั่งเลขาคนสนิทให้ไปตามผู้ช่วยเลขา ที่กำลังป่วนพนักงานในบริษัทของเขาอยู่ให้เข้ามาอธิบายเหตุผล
“ครับ” ขันติลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ยิ่งได้ยินน้ำเสียง บวกสายตาน่ากลัวของประธานหนุ่ม ยิ่งรู้สึกกลัวแทนผู้ช่วยเลขาที่สร้างเรื่องในครานี้
“ท่านประธานเรียกฉัน มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ” เกวลินเดินเข้ามาพบท่านประธาน ที่กำลังนั่งทำหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดอยู่ที่โต๊ะทำงาน
“คุณรวย มากเหรอ” น้ำเสียงเรียบเฉยเอ่ยถามผู้ช่วยเลขา ที่ยืนปั้นหน้ายิ้มกว้างสู้กับสายตาคมกริบที่มองเธอไม่ละสายตา เสมือนกำลังคาดโทษ
“ไม่รวยเท่าท่านประธานค่ะ” หากพูดเรื่องฐานะ เธอคงรวยสู้ผู้ชายคนนี้ไม่ได้หรอก แต่ ฐานะเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นแน่นอน
“เอาเงินที่ไหน? มาเลี้ยงพิซซ่าพนักงาน”
“อ้อ ต้องขอบคุณผู้หญิงของเจ้านายค่ะ เธอให้เงินฉัน”
“ผู้หญิงของผม?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปม มึนงงและสงสัยกับคำพูดผู้ช่วยเลขาจนเผลอทวนคำจากเธอ
“ใช่ไงคะ? ผู้หญิงเมื่อเช้าไงคะ” รอยยิ้มร้าย สายตาจับผิดประธานหนุ่ม หวังได้รับประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้บ้าง แต่ กลับได้ยินประโยคปฏิเสธเสียงเข้ม
“ไปรยา ไม่ใช่ผู้หญิงของผม” จิรายุปฏิเสธด้วยสีหน้าและท่าทางจริงจัง บ่งบอกว่าสิ่งที่เขาพูดออกมา คือเรื่องจริง ซึ่งเขาไม่ได้อยากให้คนทั่วไปเข้าใจผิดเรื่องราวระหว่างเขาและไปรยา จึงรีบปกป้องตนเองให้ผู้ช่วยเลขาฟังเสียก่อน
“โธ่! เจ้านาย ไม่ต้องปิดบังหรอกค่ะ รับรอง ว่าหากมีผู้หญิงคนต่อไปเข้ามา ดิฉันจะเก็บความลับนี้แน่นอน”
“ผมไม่ได้ หมายความแบบนั้น” จิรายุถอนหายใจพรืดยาว ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยใจเวลาคุยกับคนอื่น เท่ากับผู้ช่วยเลขาคนนี้มาก่อนในชีวิต
“เอาเป็นว่า ท่านเรียกฉันมาพบเท่านี้ใช่รึเปล่าคะ” เกวลินเอ่ยถามด้วยใบหน้าและแววตาสงสัยเต็มประดา เพียงแค่ท่านประธานเรียกพบเธอเพียงเรื่องแค่นี้
“อย่าเลี้ยง อะไรพนักงานอีก” เสียงเข้มสั่งผู้ช่วยเลขา หวังว่าเธอคงจะเข้าใจคำสั่ง แต่! ทุกอย่างกลับเหมือนเดิม เพราะเธอก็ยังคงไม่เข้าใจเช่นเดิม
“ทำไมคะ? พนักงานทำงานหนักเหมือนหุ่นยนต์ เครียดจนหน้ามีรอยตีนกากันหมดแล้ว รวมไปถึงท่านประธานด้วย” ตั้งแต่เธอเข้ามาทำงานที่บริษัทนี้ เห็นได้ชัดคงหนีไม่พ้นใบหน้าไร้รอยยิ้มของพนักงาน ที่มักทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่หน้าจอทีวี
“ตอนนี้คุณเป็นแค่พนักงานเงินเดือน ไม่ใช่ภรรยาเจ้าของประธานบริษัท”
“คะ?” เกวลินอุทานขึ้นด้วยความตกใจปนมึนงง ไม่เข้าใจประโยคคำพูดของท่านประธาน แต่รู้สึกว่าประโยคนั้นมีนัยแอบแฝง
“กลับไปทำงานได้แล้ว”
“คือไม่เข้าใจค่ะ” เพราะยังไม่ได้คำอธิบายให้หายคาใจ เกวลินยังคงยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าประธานหนุ่มเช่นนั้น ไม่ยอมขยับตัวไปไหน จนได้ยินคำพูดของประธานหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง
“คุณไม่ต้อง อยากจะเข้าใจไปซะ! ทุกเรื่องก็ได้”