ช่วงเช้าของวัน หลังจากที่คุณหมอเข้ามาตรวจอาการบาดเจ็บที่แผ่นหลังของจิรายุเรียบร้อย จึงอนุญาตให้ประธานหนุ่มกลับบ้านได้ แต่ผู้ช่วยเลขากลับนอนหลับใหลอยู่บนโซฟาไร้วี่แววรู้สึกตัวตื่น
“ให้ฉันปลุก ภรรยาให้ช่วยประคองไปเข้าห้องน้ำดีไหมคะ” พยาบาลวัยกลางคนเอ่ยถามจิรายุที่กำลังจะเดินลงจากเตียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการตัวเองได้”
“งั้นมีอะไร เรียกพยาบาลได้นะคะ” จิรายุพยักหน้ารับและเดินไปเข้าห้องน้ำ จัดการตัวเองและหวังว่าเดินออกจากห้องน้ำ ผู้ช่วยเลขาคงตื่นนอนด้วยตัวเองแล้ว
จิรายุจัดการธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จ ชายหนุ่มเดินออกมาในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงสแล็กพร้อมทำงาน ต่างจากเกวลินที่พึ่งตื่นนอน สภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ท่าทางงัวเงีย เอ่ยทักประธานหนุ่มด้วยดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ท่าน ตื่นนานแล้วเหรอคะ”
“ตื่นสายไปนะ” น้ำเสียงเรียบเฉย สายตาตำหนิเป็นเชิงหยอกล้อให้เกวลินรู้ตัว จนหญิงสาวต้องนั่งยืดตัวตรงเก็บอาการง่วงนอนของตนเองเอาไว้
“ก็ฉันต้องตื่นบ่อย มาดูท่านไง” ข้ออ้างที่ผุดเข้ามาในสมอง ณ เวลานี้ เป็นคำพูดของบุคคลที่นอนเฝ้าไข้คนป่วย แต่คงไม่ใช่เธอ เพราะเท่าที่จำความได้เธอหลับสนิท ตื่นนอนอีกทีก็เช้าเลย
“อ๋อเหรอ งั้นก็รีบ” จิรายุลากเสียงยาว พลันบอกเธอให้รีบเตรียมตัวไปทำงานในเช้าวันนี้
“วันนี้ลา หรือ เข้าสายได้ใช่ไหมคะ” น้ำเสียงและดวงตากลมโตประกายอย่างมีหวัง อย่างน้อยประธานบริษัทคงเห็นใจเธอบ้าง
แต่!
“คุณคิดเองแล้วกัน พึ่งมาทำงานใหม่ ลา เข้าสาย สายตาคนอื่นจะมองยังไง” น้ำเสียงและใบหน้าเรียบเฉยตอบกลับผู้ช่วยเลขา ไร้ประโยคปฏิเสธ แต่เต็มไปด้วยคำพูดชวนคิดที่ทำให้เกวลิน ต้องรีบยันตัวลุกขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็ว
“งั้นแยกย้ายกันตรงนี้นะคะ สวัสดีค่ะ” เกวลินบอกลาจิรายุพัลวัน ก่อนที่ร่างบางจะรีบเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยท่าทางเร่งรีบ พร้อมกับมือเล็กยกมือถือขึ้นมองนาฬิกาบ่งบอกเวลากระชั้นชิด
“หึ!” เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอหนา จิรายุยกยิ้มมุมปากด้วยความชอบใจ ยิ่งแกล้งผู้ช่วยเลขาได้สำเร็จ ยิ่งชอบใจและทำให้อารมณ์ดีไม่น้อย
@ บริษัทอิทธิวิวัฒนากุล
เกวลินเดินมุ่งตรงมายังโต๊ะทำงานของตนเอง ด้วยท่าทางเร่งรีบและดูเหมือนวันนี้จะเป็นข่าวดีของเธอ เมื่อเธอนั้นพบกับขันติเลขาคนสนิทของท่านประธาน
“คุณขันติ หายป่วยแล้วเหรอคะ”
“คะ ครับ” ขันติตอบกลับด้วยใบหน้าเลิ่กลั่ก น้ำเสียงตะกุกตะกัก เสมือนคนตกใจกับคำถามที่ต้องตอบก็ไม่ปาน
“ดีเลยค่ะ เป็นเลขาไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ ขนาดเป็นผู้ช่วยเลขาเกือบตุยอยู่แล้ว” เกวลินไม่ได้คิดอะไรมากนัก เธอเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานท่าทางหมดแรง
“เจออะไรมาครับ” ขันติเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู เพียงแค่เห็นท่าทางเหนื่อยล้าของเกวลิน
“เมื่อวานไปตรวจงานที่ไซต์งานก่อสร้าง ด้วยความซุ่มซ่ามของเกวก็เลยเผลอไปเกี่ยวเหล็กล้มลงค่ะ”
“คุณเกวเป็นอะไรมาก รึเปล่าครับ” ประโยคคำพูดของเกวลิน สร้างความตกใจให้กับขันติไม่น้อย
“ไม่ค่ะ”
“ห้อยพระ อะไรครับ” เมื่อเห็นว่าเกวลินไม่ได้เป็นอะไร ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ขันติเลขาสายมู จึงรีบเอ่ยถามของดีจากผู้ช่วยเลขาพัลวัน
“พระประธานค่ะ” เกวลินตอบกลับด้วยใบหน้าที่แสดงอาการอมยิ้ม กลั้นขำเอาไว้ เมื่อเธอกำลังเล่นมุกใส่ขันติ
“หือ” ขันติขมวดคิ้วเข้าหากัน มึนงง กับคำพูดของเกวลินพอสมควร แต่หากให้คิดเอง พระประธานที่เธอบอกคงเป็นพระประธานองค์ใหญ่ที่บ้านเสียมากกว่า
“พอดีท่านประธาน เข้ามาขวางเอาไว้ได้ทันค่ะ” เมื่อเห็นใบหน้ามึนงง ปนสงสัยและข้องใจของขันติ เกวลินจึงรีบเฉลยทันที
“ท่านประธานของเรา เนี่ยนะครับ” ขันติแอบตกใจกับคำตอบที่ได้ยินไม่น้อย เพราะเขาทำงานกับประธานหนุ่มมานานหลายปี เรียกได้ว่าสนิทประดุจพี่น้องพ่อแม่เดียวกันที่สามารถรู้ใจกันเกือบทุกเรื่อง
“ใช่เลยค่ะ” เกวลินย้ำประโยคคำพูดของตัวเอง เมื่อเห็นว่าขันติยังคงแสดงสีหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดออกไป
“ผมบอกได้เลยว่า คุณเกวเป็นคนมีบุญครับ” รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของขันติ ยิ้มที่มีนัยบางอย่างแอบแฝงอยู่
“เกวไม่เข้าใจ ที่คุณขันติพูดเลยค่ะ”
“วันหนึ่งคุณเกว จะเข้าใจเองครับ”
“รู้ตอนนี้ ไม่ได้เหรอคะ” ทำไมเธอต้องรอ? ถึงวันนั้นเธอจะยังจำคำพูดของขันติได้อยู่หรือเปล่า
“ติดตาม ตอนต่อไปครับ” ขันติยังคงปิดปากเงียบ ไม่ยอมเฉลยสิ่งที่ตัวเองใบ้ให้กับเกวลินแม้แต่นิดเดียว
ก่อนที่ขันตินั้นจะปลีกตัวเดินเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธาน ที่วันนี้เดินทางมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ มาพร้อมกับท่าทางอารมณ์ดีจนขันตินึกแปลกใจ
ช่วงบ่ายของวันหลังจากทานอาหารมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อย เกวลินและขันติจึงกลับมาเคลียร์งานต่อ โดยได้รับคำแนะนำและสอนงานจากขันติทุกอย่างไม่มีกั๊ก
“คุณขันติ ตรงนี้เกวลงรายละเอียดถูกใช่ไหมคะ”
“ถูกต้องครับ คุณเกวหัวไวมาก” ผู้หญิงคนนี้หัวไวมาก นี่คือความคิดที่ผุดเข้ามาในหัวของขันติ สวย ฉลาด เรียนรู้เร็ว ไม่เหมือนกับพนักงานบริษัทเลยสักนิด เพราะท่าทางการทำงานของ เกวลินเสมือนผู้บริหารคนหนึ่งก็ว่าได้
“ได้ครูสอนดีค่ะ” เกวลินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยชมครูสอนงานได้เข้าใจจนเธอสามารถเรียนรู้งานได้อย่างรวดเร็ว
แต่! ในระหว่างที่ขันติและเกวลินกำลังคุยเรื่องงานกันอยู่ กลับมีเสียงแหลมของผู้หญิง คนหนึ่งดังขึ้น
“เลขาใหม่ ของคุณจิรายุเหรอ?” ไปรยาเอ่ยถามขันติ สายตายังคงจับจ้องไปยังใบหน้าสวยของเกวลิน ตวัดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าดั่งคนไร้มารยาท
“ผู้ช่วยเลขาครับ” ขันติตอบกลับอย่างใจเย็น อย่างน้อยไปรยาคือพรีเซนเตอร์ของบริษัท ที่ไม่สามารถต่อกรได้สักเท่าไรนัก ด้วยชื่อเสียงและความฮอตของเธอในตอนนี้ บริษัทไหนก็อยากได้ไปร่วมงาน
“อ้อ ไปรยาก็นึกว่า คุณขันติจะลาออกเสียอีก”
“ไม่ใช่ครับ วันนี้คุณไปรยาไม่พาผู้จัดการมาด้วยเหรอครับ” ขันติกวาดสายตามองไปโดยรอบ แต่กลับไร้เงาของผู้จัดการไปรยาที่มักเข้ามาคุยงานด้วยอยู่เป็นประจำ
“ฉันมาคนเดียว สะดวกกว่าค่ะ อีกอย่างจะได้อยู่คุยกับคุณจิรายุได้สะดวกหน่อย”
“วันนี้มีนัดคุยเรื่องงาน ไม่มีผู้จัดการไม่เป็นไรเหรอครับ”
“ฉันกับคุณจิรายุคนกันเอง คุยกันได้สบายค่ะ” ไปรยาตอบกลับอย่างมีจริต ท่าทางดั่งนางพญา อาจจะสวยสำหรับผู้ชายหลายคน แต่สำหรับเขาไม่เลยสักนิด
“งั้นรอที่ห้องรับแขกสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมเข้าไปแจ้งเจ้านายให้ทราบ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวไปรยาเข้าไปทักทายคุณจิรายุด้วยตัวเอง”
“แต่ว่า เฮ้ย! หัวไอ้ขันติหลุดจากบ่าแน่” ยังไม่ทันที่ขันติจะห้ามเอาไว้ ไปรยาจึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องทำงานประธานบริษัททันที พร้อมกับเสียงร้องห้ามของขันติที่ดังลั่น แต่ไม่สามารถหยุดเธอคนนั้นเอาไว้ได้
“ทำไม? หัวต้องหลุดจากบ่าด้วยคะ” ทำไมต้องเวอร์อะไรขนาดนั้น ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องทำงานของท่านประธาน
“เจ้านาย ไม่ชอบคุยงานที่ห้องทำงานครับ ส่วนมากจะห้องรับแขก”
“ขันติ!” เพียงแค่ไปรยาเข้าไปในห้องทำงานได้ไม่นาน เสียงเข้มของจิรายุกลับดังขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน จนขันติเริ่มลนลานและเลิ่กลั่ก
“ว่าแล้ว ผมต้องโดนแน่ ๆ”
“รีบเข้าไป เถอะค่ะ”
“คะ ครับ” ขันติรีบเดินเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านายหนุ่มทันที เพราะขืนช้ากว่านี้ ศีรษะของเขาคงได้หลุดออกจากบ่าแน่นอน
“เหอะ! ผู้หญิงหมายเลขที่เท่าไหร่เนี่ย? ตัวเองจะคุยกับคู่ขา ทำไมต้องให้คนอื่นเข้าไปด้วย โรคจิตจริง ๆ”