สวาทรักเมียข้ามคืน
คามิน พ่อเลี้ยงหนุ่มเจ้าของปางช้างหลงเข้าไปในป่าเพราะตามหาลูกช้างที่หายไป
แต่แล้วเขากลับพบกับสาวแสนสวยชื่อ นกยูง
ผู้ชายที่มีนิสัยดุดันและไม่คิดว่าเขาจะหลงเสน่ห์ผู้หญิงคนไหนง่าย ๆ กลับเผลอไผลหัวใจให้กับสาวชาวป่าไร้เดียงสาทว่าเปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์ที่กลายเป็นเมียของเขา...เพียงชั่วข้ามคืน
บทที่ 1
“พ่อเลี้ยง...เดินระวังนะครับ แถวนี้เป็นป่าลึก เดี๋ยวจะหลงเอาได้”
เสียงของชายวัยกลางคนในชุดเสื้อม่อฮ่อมสวมกางเกงทะมัดทะแมงในมือถือปืนลูกซองตะโกนบอกร่างสูงใหญ่ในชุดซาฟารีที่เดินจ้ำอ้าวนำหน้าคนติดตามซึ่งเป็นชายฉกรรจ์อีกสี่ห้าคนเข้าไปในป่ารกชัฎท่ามกลางหุบเขาที่บรรยากาศอึมครึมในยามเย็น
คามินหันไปมองอ้ายยา นายพรานมือฉมังและเป็นผู้นำพ่อเลี้ยงหนุ่มรวมทั้งผู้ติดตามทั้งหมดเข้ามาในป่ารกห่างจากปางช้างแม่เป็งเพื่อตามหาลูกช้างตัวหนึ่งที่พลัดหลงกับแม่ของมันและหายเข้ามาในป่าลึกซึ่งการแกะรอยลูกช้างตัวนั้นกินเวลาตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ลวงเลยมาจนถึงเวลาบ่ายคล้อย คามินซึ่งในมือมีปืนลูกซองเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ หยุดเดินและทำท่าครุ่นคิดก่อนหันไปพูดกับนายพรานใหญ่ในขณะที่ผู้ติดตามคนอื่น ๆ ก็พลอยหยุดเดินเพื่อฟังคำพ่อเลี้ยงเจ้าของปางช้าง
“อ้ายยา...นี่ก็เย็นมากแล้ว กว่าที่เราจะกลับไปที่ปางก็คงมืดค่ำพอดี ฉันว่าพรุ่งนี้เราค่อยออกมาตามหาลูกช้างกันใหม่ก็แล้วกัน”
“เราตามมาใกล้มากแล้วล่ะครับพ่อเลี้ยง ถ้ารอให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้รอยเท้าของมันจะเลือนหายแล้วเราอาจจะตามหามันไม่พบอีกเลยก็ได้”
อ้ายยาออกความเห็นตามประสบการณ์ที่เขาเคยผ่านมามากต่อมาก การแกะรอยสัตว์ใหญ่เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากก็จริง แต่หากปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานร่องรอยบนผืนดินและหญ้าที่สัตว์ตัวนั้นทิ้งเอาไว้ก็อาจหายไปจนหมด
คามินหยุดครุ่นคิด พ่อเลี้ยงหนุ่มวัยสามสิบห้าเจ้าของใบหน้าคร้ามเข้มหล่อเหลาแต่ดุดันและมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าชายไทยทั่วไปพยักหน้าแสดงการยอมรับในความเห็นของพรานใหญ่ในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่างที่อ้ายยาว่าก็แล้วกัน...พวกเราจะตามลูกช้างกันต่อ ตามหามันให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะหลงเข้าไปเป็นอาหารของพวกเสือสิงห์หรือไม่ก็พลัดตกเหวในป่านี่”
“ครับพ่อเลี้ยง...มาครับ ตามผมมาทางนี้เลย ผมเห็นรอยเท้าของมันยังใหม่ ๆ อยู่เลยครับ มันคงยังไปไม่ไกลจากที่นี่ บางทีมันอาจมุ่งหน้าไปที่ชายป่าฝั่งโน้น”
อ้ายยาชี้นิ้วไปยังแนวป่าที่หุบเขาเบื้องหน้าก่อนเดินลิ่วนำหน้าและคนอื่น ๆ เดินรั้งท้ายตามกันไป แสงแดดเริ่มเบาบางลงและบรรยากาศท่ามกลางป่าที่รกเรื้อไปด้วยต้นไม้ใหญ่ก็เริ่มเย็นตามไปด้วย
คามินเดินรั้งท้ายคนของเขาที่บุกป่าฝ่าดงตามนายพรานใหญ่ไปอีกที เจ้าของปางช้างขนาดใหญ่ในจังหวัดเชียงรายก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยทั้งที่ในป่าเต็มไปด้วยไม้น้อยใหญ่ เถาวัลย์และเนินดินขรุขระสูงบ้างต่ำบ้างและบางครั้งก็เป็นหุบผาชัน
คามินเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่นกกาเริ่มบินกลับรังบอกให้รู้ว่าเวลาย่ำค่ำกำลังมาถึง ในจังหวะนั้นเองที่เขาเผลอยืนจ้องมองบนท้องฟ้า แค่เพียงชั่วครู่เท่านั้นแต่เมื่อหันกลับมายังนายพรานใหญ่และผู้ติดตามทุกคนก็หายไปจากสายตาที่เขามองเห็นเสียแล้ว
พ่อเลี้ยงหนุ่มรีบวิ่งตามไปข้างหน้าและคิดว่าเขาจะเดินตามทุกคนได้ทัน แต่ยิ่งเดินไกลและลึกเข้าไปเท่าไรเขาก็มองไม่เห็นคนที่ตามมาด้วยเลยสักคน
“พรานอ้ายยา!...หนานเมือง!...”
คามินตะโกนเรียกตลอดทางที่เขาบุกฝ่าเข้าไปตามทางซึ่งเป็นป่ารกชัฏ ละอองแดดเริ่มเจือจางลงเรื่อย ๆ พ่อเลี้ยงหนุ่มหยุดเดินเพื่อปาดเหงื่อและมองไปรอบ ๆ
ให้ตายเถอะ...นี่เขาคงจะหลงทางกับผู้ติดตามมาแน่แล้ว คามินคิดขณะหอบหายใจหนัก เขามองยอดเขาสูงชันเบื้องหน้าและเริ่มเป็นกังวลว่าเขาอาจหลงป่าลึกเข้าไปเรื่อย ๆ หากไม่พบนายพรานใหญ่อ้ายยาในตอนนี้
“พรานอ้ายยา...โอ๊ะ!...โอ๊ย!”
ด้วยความเร่งร้อนทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าสะดุดรากไม้และล้มกลิ้งหลุน ๆ ลงไปตามไหล่ทางที่ลาดชัน ชายหนุ่มพยายามคว้ากิ่งไม้เอาไว้แต่ก็สายเกินไปเพราะร่างของเขากระแทกกับอะไรบางอย่าง
“โอ๊ย!”
เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดดังก้องพร้อมทั้งปืนลูกซองที่ถือติดมือมากระเด็นกระดอนไปไม่รู้ทิศ ชั่ววูบสุดท้ายที่ชายหนุ่มรู้สึกตัวเขาหมุนกลิ้งไปติดรากไม้ใหญ่และรู้สึกเจ็บแปลบที่ขาก่อนจะรู้สึกชาขึ้นมาถึงบั้นเอว
“โอย...อืม...อา”
คามินครางลึกในลำคอ เขาไม่สามารถลุกขึ้นได้และนอนอยู่อยางนั้นก่อนสำนึกสุดท้ายจะเหลือเพียงความว่างเปล่าก็ได้ยินเสียงแว่วหวานและใบหน้าซึ่งชายหนุ่มเห็นเลือนรางในความง่วงงุน
“คุณคะ...คุณ”
“ใคร...คุณเป็นใคร...อืม”
คามินถอนหายใจก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไปพร้อมกับสัมผัสที่ยังติดอยู่ในส่วนลึกของสัมปชัญญะ เสียงหวานจับใจและกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าที่เขาไม่คุ้นเคย