ภูวดินก้มมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือแล้วถอนหายใจหลายต่อหลายหนขณะนั่งในรถจิ๊ปที่เปื้อนรอยฝุ่นและดินทรายทั้งคัน รถของเขาจอดอยู่ในลานจอดรถของสนามบินนานาชาติที่ได้ยนเสียงเครื่องบินร่อนขึ้นลงดังกระหึ่ม ชายหนุ่มวัยสามสิบแปดถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงคำพูดของแม่ก่อนเดินทางมาที่นี่
“ดิน...ฟังแม่นะ นี่เรื่องสำคัญ ช่วงนี้ไม่ต้องไปคุมคนงานที่เหมืองเข้าใจหรือเปล่า”
“อะไรนะครับ แม่ไม่ให้ผมไปคุมคนงานที่เหมืองแล้วจะให้ผมทำอะไร”
“แม่มีงานสำคัญให้แกทำ เมื่อสองสามวันก่อนเพื่อนแม่โทรมาบอกว่าลูกสาวเขาจะมาเที่ยว เขาเพิ่งกลับจากต่างประเทศไม่เคยมาเที่ยวภาคใต้เลยสักครั้งก็เลยจะรบกวนให้แม่ช่วยเป็นธุระดูแลเรื่องที่พักให้หน่อย แต่เรื่องของเรื่องคือพรุ่งนี้แม่ต้องเดินทางไปไต้หวันเพราะเลื่อนนัดไม่ได้นี่ซี ก็เลยต้อง ให้ดินช่วยเป็นธุระไปรับหนูมัลลิกา ลูกสาวเพื่อนแม่ที่สนามบิน และให้ช่วยคอยดูแลต้อนรับ จัดการเรื่องที่พักกับเรื่องอาหารการกินให้เขาด้วย”
“ผมเนี่ยเหรอแม่?...ที่จริงให้ใครไปทำแทนก็ได้ ให้ไอ้บุญ คนสวนของแม่ไปรับเขาก็ได้นี่ครับ น้องเขาโตแล้วแถมอยู่เมืองนอกเมืองนาอย่างนั้นคงไม่ต้องไปคอยเทคแคร์เขามากหรอกนะครับแม่”
“ไม่ได้! แกรู้ไว้ด้วยว่าเพื่อนแม่คนนี้เขาเป็นคนสำคัญมาก เราสนิทกันและแม่จะปล่อยให้ลูกสาวเขามาเที่ยวโดยไม่มีใครคอยดูแลไม่ได้อย่างเด็ดขาด เราต้องคอยเทคแคร์เขา ยิ่งเขาไปอยู่เมืองนอกเราก็ยิ่งต้องคอยดูแลเวลาเขามาที่นี่เพราะหนูมัลลิกาไม่รู้จักใครเลย นี่ถ้าไม่ติดว่าเลื่อนนัดไม่ได้แม่ก็จะไปรับเขาด้วยตัวเอง”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาพูดกับแม่แล้วตาดิน แกต้องไปรับหนูมัลลิกาที่สนามบินแล้วจองห้องพักโรงแรมหรู เอาแบบห้าดาวไปเลยนะ ไปจัดการให้แม่ด้วย”
โรงแรมห้าดาวอย่างนั้นเหรอ?...ภูวดินกระตุกมุมปากและส่งเสียงในลำคอพร้อมพูดกับตัวเอง
“เฮอะ! พวกลูกผู้ดีมีเงินล่ะสิถึงต้องเอาอกเอาใจกันขนาดนี้ เวลาจะไปไหนทั้งทีก็ต้องพักโรงแรมหรู ต้องมีคนคอยเอาอกเอาใจ คอยให้การดูแลต้อนรับ โธ่เอ๊ย...แต่อย่ามาหวังอะไรแบบนี้กับภูวดินคนนี้เลย ขนาดเราเองเป็นเจ้าของเหมืองยังนอนในกระท่อมไม้เล็กๆ แล้วนี่เป็นใครก็ไม่รู้ แม่ต้องให้เราเอาใจถึงขนาดนั้น หึ! แล้วนี่ถ้าไม่ทำตามที่แม่สั่งอยากรู้จริง ๆ ว่าแม่คุณหนูคนนั้นจะทำยังไง”
เขานึกอะไรขึ้นมาได้ขณะนั่งรอในรถมากว่าชั่วโมง นึกรำคาญหัวใจที่ต้องมานั่งรอคอยใครก็ไม่รู้ตามคำสั่งมารดาโดยไม่มีเหตุผล พอก้มดูเวลาก็ถอนใจออกมาดังพรืด
“นี่เรามารอตั้งเกือบชั่วโมง นัดไม่เป็นเวลานัดเลยยัยคุณหนูบาร์บี้ ไปอยู่เมืองนอกมาตั้งกี่ปียังไม่รู้จักรักษาเวลาแบบฝรั่งเขาบ้าง”
ภูวดินกำลังจะปรับเบาะให้เอนนอนก็ต้องชะงักเมือ่ได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น เขารีบรับสายและได้ยินเสียงหวาน ๆ ดังมาว่า
“สวัสดีค่ะ นี่ใช่เบอร์โทรของพี่ภูวดินใช่เป่าคะ?”
“อ้อ...ใช่ครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร”
“มิวนะคะ”
“มิว...มิวไหนไม่ทราบครับ”
“มัลลิกา...ลูกสาวของเพื่อนคุณแม่พี่ภูวดินไงคะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ช้ามากเพราะวันนี้แอคซิเด้น เครื่องดีเลย์ค่ะ ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่ภูวดินรออยู่ตรงไหนคะ”
“แล้วน้องมิวอยู่ไหนล่ะครับ เดี๋ยวพี่จะไปหาเอง”
“มิวรออยู่ในห้องผู้โดยสารขาเข้าเนี่ยล่ะค่ะ แล้วมิวจะรู้ได้ไงคะว่าพี่ภูวดินเนี่ยคนไหน”
“ผม...เอ้ย...พี่ใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์เก่าๆ ขาดๆ ด้วย หน้าดุๆ มีหนวดมีเคราแต่ไม่รุงรังเท่าไหร่”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวมิวจะได้มองหานะคะ”
อีกฝ่ายวางสายไปแล้วขณะที่ภูวดินถอนใจอีกครั้ง
“ยัยคุณหนูบาร์บี้ นี่ฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย ไม่เคยต้องมาคอยเทคแคร์ใครเลยจริงๆ ให้ตายไปซี๊”
ภูวดินบ่นกับตัวเองก่อนลงจากรถแล้วเดินจ้ำอ้าวไปยังที่พักผู้โดยสารภายในสนามบินนานาชาติที่มีทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างประเทศพลุกพล่าน
“พี่ภูวดิน...พี่ภูวดินใช่เป่าคะ”
บทที่ 2
เสียงเรียกทำให้ภูวดินที่เดินเข้าไปหยุดในห้องผู้โดยสารขาเข้าต้องชะงัก เขาหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นหญิงสาวร่างระหงสวมชุดกระโปรงพลิ้วเบาลายดอกไม้สดใสเดินลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้ามาและหยุดตรงหน้าเขาก่อนพูดว่า
“พี่ภูวดินใช่เป่าคะ?”
“เอ้อ...ครับ...ผมภูวดิน” เขาพยักหน้ากับหญิงสาวหน้าตาสวยใสหมดจด หน้ารูปไข่ของหล่อนสวยงามรับกับผมยาวเป็นคลื่นอ่อนๆ สีน้ำตาลเข้ม อายุของหล่อนน่าจะประมาณยี่สิบสี่ปีแต่สดใสเหมือนเด็กสาวอายุสิบแปด อาจเป็นเพราะรูปร่างเพรียวบางและรอยยิ้มสดใสที่ทำเอาชายหนุ่มเผลอจ้องตาไม่กระพริบเมื่อได้เจอครั้งแรก พอเขาพยักหน้ารับหล่อนก็ยกมือไหว้และพูดว่า
“สวัสดีค่ะ...มิวเองนะคะ ดีใจจังเลยค่ะที่ได้เจอพี่ภูวดิน คุณแม่ของพี่ให้เบอร์โทรมิวเอาไว้ ให้โทรหาเวลามาถึง ดีใจจังเลยค่ะที่ได้พบลูกชายของคุณป้าเพื่อนสนิทของคุณแม่”