“ครับ...พี่ก็ดีใจ...แล้วนี่น้องมิวมาคนเดียวหรือครับ?”
“ใช่ค่ะ มิวมาเที่ยวคนเดียว พอกลับจากต่างประเทศก็บินตรงมาที่นี่เลย เมื่อกี๊มิวเห็นวิวจากบนเครื่องบิน ข้างล่างสวยมากค่ะ ทั้งป่าทั้งน้ำทะเล”
“ที่จริงเมืองนอกก็น่าจะมีอะไรน่าดึงดูดมากกว่านี้นะครับ คือพี่เองก็ไม่เคยไปหรอก แต่คิดว่ามันน่าจะสวยมาก”
“โอ๊ว...เมืองนอกเวลาอากาศหนาวมิวแทบจะบินกลับเมืองไทยเลยล่ะค่ะ ไม่มีที่ไหนบิวตี้ฟูลและคอมฟอร์ทเท่าเมืองไทยอีกแล้วนะคะ ว่าแต่...พี่ภูวดินจะพามิวไปที่พักเลยใช่เป่าคะ”
“ครับ...เดี๋ยวพี่จะพาน้องมิวไปที่พัก...เอ้อ...”
ชายหนุ่มหันกลับไปยังหญิงสาวอีกครั้งขณะกำลังจะเดินออกจากห้องนั้น เขากล่าวว่า
“แต่ที่พักที่พี่จะพาน้องมิวไปเนี่ยเป็นที่พักแบบธรรมชาติมากๆ ไม่รู้น้องมิวจะชอบหรือเปล่า”
“พี่ภูวดินหมายถึงมีภูเขา มีป่า อย่างนั้นเหรอคะ?”
“ก็ประมาณนั้นล่ะ พี่คิดว่ามิวคงจะชอบมาก ๆ เลย มันสำหรับขาลุย”
“มิวก็เป็นขาลุยค่ะ ว๊าว...ตื่นเต้นจุง จะได้ไปเที่ยวในป่าในเขา มิวช๊อบชอบค่ะ”
หญิงสาวออกอาการกระดี๊กระด๊าโดยไม่รู้เลยว่าภูวดินแอบซ่อนยิ้มในหน้า ชอบป่าเขาอย่างนั้นเหรอ? ถ้าได้เจอเข้าจริง ๆ เดี๋ยวก็คงได้ร้องอยากกลับบ้านเหมือนเด็ก หรือไม่ก็อาจวิ่งแจ้นออกจากที่พักเพราะทนกับสภาพแบบเถื่อนๆ ไม่ไหว...ใช่...เขาตั้งใจไม่จองห้องพักเป็นโรงแรมห้าดาวให้ลูกสาวเพื่อนแม่ แต่วางแผนพาแม่ตุ๊กตาบาร์บี้ส่งตรงจากเมืองนอกไปอยู่ในกระท่อมกลางป่าให้เจ้าหล่อนพบกับความตื่นเต้นเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะแอบนึกขัดใจแม่ที่ให้มาคอยต้อนรับเอาใจใครก็ไม่รู้ที่เขาไม่รู้จักและไม่เห็นความจำเป็นเลยสักนิด หลังจากนั้นนายหัวหนุ่มแดนใต้จึงถือโอกาสพาสาวสวยเมืองกรุงไปยังที่อยู่ของเขาในเหมืองกลางป่าเขาโดยพาหล่อนไปกับรถจิ๊ปเปื้อนฝุ่น แต่ตลอดทางไปเหมืองที่ต้องขึ้นเขาและเข้าป่ารกมัลลิกากลับไม่ได้แสดงอาการหวั่นกลัวหรือรำคาญ ตรงข้ามหล่อนตื่นเต้นและพูดคุยกับภูวดินว่า
“ว๊าว!...ทางไปที่พักของพี่ภูวดินว๊าวมากเลยนะคะ”
“เรียกพี่ว่าดินเฉย ๆ ก็ได้ครับน้องมิว นี่น้องมิวชอบเข้าป่าจริงเหรอครับเนี่ย”
เขาถามพลางเหลือบมองสาวสวยที่นั่งบนเบาะข้างคนขับ เขาแอบขัดใจเล็ก ๆ ที่มัลลิกาพูดภาษาแปลก ๆ แบบภาษาอังกฤษปนไทย ถึงหล่อนจะสวยน่ารักขนาดไหนแต่เขาก็ยังไม่ชินกับภาษาการพูดของหล่อนอยู่ดี และพอเขาถามอย่างนั้นหญิงสาวก็รีบพยักหน้า
“ใช่ค่ะ มิวชอบเข้าป่า รู้ไหมคะพี่ดินว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ลอสแองเจลิส มิวกับเพื่อนร่วมกันตั้งชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติด้วยนะคะ เราเข้าป่าตั้งแคมป์กันสนุกสนานม๊ากเลยค่ะ”
“ป่าที่มิวไปน่ะมันเป็นอุทยานใช่ไหมล่ะ เมืองนอกเขามีระบบความปลอดภันอย่างดีตามอุทยาน แต่บ้านเราน่ะมันคนละเรื่องกันเลยนะ นี่ถ้ามิวเข้าไปตั้งแคมป์ในป่าที่ไม่รู้เส้นทางหรือไม่รู้จักพื้นที่ดีอาจจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นก็ได้”
“เรื่องน่าตื่นเต้นหรือคะ มันเป็นเรื่องแบบไหนหรือคะ”
ภูวดินยักไหล่ขณะที่เขาขับรถเข้าไปตามเส้นทางภนนลูกรังทั้งแคบและเป็นเนินตามไหล่เขา
“เรื่องตื่นเต้นน่ะมีเยอะแยะ ก็อย่างเช่นนอนอยู่ดี ๆ อาจจะเจอช้างตกมัน หมีควายเอย เสือเอย”
“พี่ดินเคยเจอเหรอคะ”
“ยิ่งกว่าเคยเจออีกนะ พี่เข้าใกล้สัตว์พวกนี้มากนักต่อนักแล้ว สำหรับผู้ชายมันเรื่องปกติแต่ผู้หญิงอย่างมิวพี่ว่าถ้าได้เจอกับตัวเองต้องวิ่งแจ้นออกจากป่าไม่ทันแน่ๆ”
“พวกสัตว์กลัวไฟค่ะ เวลาเราแคมปิ้งก็จะก่อกองไฟและมีสัญญาณบอกอันตรายเตือนกัน แต่ก็ขอบคุณพี่ดินมากเลยนะคะ”
“ขอบคุณอะไรพี่หรือมิว”
“ก็ขอบคุณที่พี่ดินเป็นห่วงมิวนะซีคะ”
ห่วงเหรอ?...ภูวดินนึกถามตัวเองเมื่อได้ยินหญิงสาวพูด ห่วงอะไรที่ไหนกัน ที่เขาพูดทั้งหมดเพราะอยากกระตุกความกลัวของหล่อนต่างหาก แต่เมื่อเหลือบมองใบหน้าหวานหมดจดของหล่อนที่กำลังจ้องเขาด้วยแววตาสดใสคู่นั้นกลับทำให้หัวใจนายหัวหนุ่มไหวยวบเลยทีเดียว เฮ้ย...เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นเวลาเจอผู้หญิงสวยๆ แต่เพราะเขาทำงานอยู่ในเหมืองเป็นบ้าเป็นหลังมาหลายปี แม่ของเขาบอกให้หาเมียภูวดินก็ทำเป็นหูทวนลมเพราะเขายังไม่เจอผู้หญิงที่ใช่ เพื่อนเขาหลายคนพยายามนำเสนอผู้หญิงมาให้เขาก็ก็ปฏิเสธ แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกแปลก ๆ กับตัวเอง ใจเขามันเต้นเหมือนผิดจังหวะเวลาสบนัยน์ตาระยิบระยับงดงามคู่นั้น จะบ้าแล้วเรา...ภูวดินนึกโมโหตัวเอง ถึงยังไงเขาก็ยังไม่ละทิ้งความตั้งใจที่จะพามัลลิกาไปเจอกับรสชาติความลำบากในป่าเขา นายหัวหนุ่มพยักหน้าและยิ้มขณะที่สายตาจ้องมองทางขรุขระข้างหน้า
“พี่ก็ต้องเป็นห่วงสวัสดิภาพของมิวเพราะมิวเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศและยังไม่เคยเที่ยวป่าลึกในเมืองไทย...มันไม่ได้มีอะไรหรอก”
“ค่ะ...แต่ยังไงมิวก้ต้องขอบคุณพี่ดินมาก ๆ เลยล่ะเพราะพี่ดินอุตส่าห์สละเวลาไปรับมิวที่สนามบินแล้วยังพามิวไปที่พักอีก มิวรู้สึกโชคดีจังเลยค่ะที่กลับมาเมืองไทยก็ได้เจอคนดีๆ”