@วิลล่าหรูของรามสูร
น้องนางเดินตามรามสูรเข้ามาภายในวิลล่าหรู บรรยากาศภายในตกแต่งอย่างสวยงาม เรียบหรู ทว่าเงียบสงบจนน่าอึดอัด ราวกับวังจำลองที่เธอกำลังจะถูกกักขังไว้ ที่นี่ดูสงบ แต่กลับเย็นชาไม่ต่างอะไรจากเจ้าของมันที่เดินนำหน้าเธอด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์
รามสูรตั้งใจซื้อวิลล่าหลังนี้เอาไว้เพื่อให้เธอมาอยู่ด้วย เป็นสถานที่ที่เงียบสงบและอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก ต่างจากคอนโดของเขาที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนพลุกพล่าน และเพื่อนผู้ชายที่ผลัดกันเข้าออกไม่หยุด ที่นี่คือคำตอบของคำว่าควบคุมและเขาต้องการควบคุมเธออย่างไม่มีเงื่อนไขใด
"เป็นไง...ชอบไหม.."
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก สายตาคมเหลือบมองเธอเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางราวกับกลัวว่าตัวเองจะเผลอแสดงความรู้สึกบางอย่างออกมา
"ชอบหรือไม่ชอบนางก็ต้องอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ..."
เสียงของเธอนิ่ง เย็นชา ปราศจากความรู้สึกใด ๆ ใบหน้าหวานไร้แววตื่นตาใดกับบ้านหลังงาม ดวงตาของเธอมองไปรอบ ๆ อย่างจำยอม สะท้อนภาพความเหนื่อยล้าที่ถูกซ่อนอยู่ลึก ๆ
"ก็ใช่...แต่ที่ฉันถาม..ไม่ใช่เพราะสนใจอะไรเธอหรอกนะ..แค่ถามความคิดเห็น..อย่าสำคัญตัวเองผิด.."
เขาพูดพร้อมยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังประชดประชัน แววตาเฉียบคมตวัดมองเธออย่างเหนือกว่า
"ค่ะ..นางไม่เคยคิดแบบนั้นอยู่แล้ว...เป็นแค่นักโทษก็ต้องอยู่ในกรอบในกรงที่พี่วางไว้..."
เธอพยายามพูดให้ราบเรียบที่สุด แม้เสียงจะแฝงไว้ด้วยความขื่นขมเล็ก ๆ ที่ตัวเองเผลอเปรียบตัวเองเป็นนักโทษในคุกที่เขาออกแบบขึ้น
"หึ...รู้ตัวก็ดี...จะได้ไม่ต้องพูดซ้ำให้เปลืองน้ำลาย"
รามสูรหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะเดินนำไปทางบันได ร่างสูงสง่าก้าวขึ้นไปโดยไม่หันกลับมามอง
"ให้นางพักห้องไหนคะ...นางจะได้เอาของไปเก็บ"
เสียงเรียบ ๆ เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง เธอกอดกระเป๋าเดินทางใบเล็กแน่น ราวกับมันคือสิ่งสุดท้ายที่ยังเป็นของเธอเอง
"ห้องนอนอยู่ชั้นสอง..ฝั่งขวามือ..."
"ค่ะ"
น้องนางตอบเพียงสั้น ๆ แล้วเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่ปริปากแม้แต่น้อย ฝีเท้าเบาแต่มั่นคง ขณะที่รามสูรเดินตามหลังเธออย่างเงียบงัน ดวงตาคมจับจ้องแผ่นหลังบอบบางตรงหน้าอย่างพินิจ
"พี่ราม...แน่ใจนะคะว่าให้นางพักห้องนี้"
เธอชะงักหน้าห้องนอน มือเล็กจับลูกบิดแน่น ก่อนจะหันมามองเขาด้วยความสงสัย ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น
"อืม...มีปัญหาอะไร"
เขาเลิกคิ้วมองเธอ เหมือนไม่เข้าใจว่าเรื่องแค่นี้ทำไมถึงต้องตั้งคำถาม
"แต่ในห้องมีของใช้ส่วนตัวของผู้ชาย ดูแล้วน่าจะเป็นของๆพี่.."
เสียงของเธอเบาลงเล็กน้อย ราวกับไม่อยากยืนยันสิ่งที่กำลังคิดให้ชัดเจนเกินไป
"ก็ใช่ไง...แล้วทำไม ??"
"หมายความว่ายังไง"
น้องนางเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ความสงสัยที่ปะทุอยู่ในใจเริ่มตีรวนในอก
"เธอพักกับฉัน..อยู่ห้องเดียวกัน..นอนด้วยกัน เข้าใจยากตรงไหน.."
เสียงของเขาดังหนักแน่น ใบหน้าคมคร้ามไร้ซึ่งแววลังเล สายตาทิ่มแทงเธอเหมือนมีด
"แต่นาง.."
"ลืมไปแล้วเหรอน้องนาง...ว่าฉันให้เธอมาทำหน้าที่อะไร....นางบำเรอ...มีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ"
เขาเอ่ยช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ ทุกรอยยิ้ม ทุกรอยตาจงใจจะทำลายศักดิ์ศรีของเธอให้แหลกละเอียด
"........"
น้องนางไม่ตอบอะไร ดวงตาคู่นั้นเริ่มมีประกายหม่นหมอง เธอก้มหน้าลง ยืนนิ่งเงียบ ความรู้สึกเจ็บลึกจุกอยู่กลางอกเหมือนจะระเบิดออกมา ร่างเล็กสั่นน้อย ๆ จากภายใน
เธอรู้...รู้ดีว่าเขาพาเธอมาอยู่ที่นี่เพราะเหตุผลเดียว แค่ของเล่น แค่นางบำเรอที่ไม่มีสิทธิ์จะมีเสียงหรือศักดิ์ศรีอะไรเลย
แม้จะตั้งใจจะเข้มแข็ง แต่ทำไมใจถึงได้เจ็บทุกครั้งที่เขาย้ำสถานะซ้ำ ๆ คำพูดเดิม ๆ ที่กรีดลึกจนเลือดหยดในใจ
"รีบเก็บของ..แล้วลงมาทำอาหาร ฉันหิวแล้ว"
น้ำเสียงเฉียบขาดเอ่ยขึ้นอีกครั้งเหมือนคำสั่งจากเจ้านายถึงข้ารับใช้
"ค่ะ..."
เสียงตอบรับของเธอเบาโหยแต่ชัดเจน ใบหน้าหวานไร้แววขัดขืน หยิบกระเป๋าขึ้นแนบอก ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในห้องโดยไม่หันกลับมามอง
ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป...เขาคือเจ้าชีวิต และเธอก็คือสิ่งของที่ถูกกักขังอยู่ในกรอบแคบ ๆ ของเขา ไม่มีสิทธิ์โต้เถียง ไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะเสียใจ
เธอได้แต่ยอมจำนน...ทั้งหัวใจและร่างกาย...
@15 นาทีต่อมา
กลิ่นหอมของไข่ข้นที่เพิ่งยกขึ้นจากกระทะลอยฟุ้งอบอวลไปทั่วห้องครัวขนาดกลางในวิลล่าหรู น้องนางจัดจานอาหารเรียบร้อยแล้วก่อนจะยกมาวางไว้ตรงหน้ารามสูรอย่างเงียบเชียบ แม้สีหน้าของเธอจะนิ่งเรียบ แต่ความซีดเซียวบนใบหน้าและดวงตาที่หม่นหมองก็สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนล้าทางร่างกายและจิตใจได้อย่างชัดเจน
"ข้าวไข่ข้น...พี่รามกินได้ไหมคะ"
เสียงเธอนุ่มแผ่วคล้ายไร้แรง ทว่าเธอยังคงพยายามฝืนยิ้มจาง ๆ ขณะเอ่ยถาม ดวงตาไม่กล้ามองสบกับคนตรงหน้า
"ได้ไม่ได้ก็คงต้องจำใจกิน เอาไว้วันหลังฉันจะให้เขตแดนซื้อของสดมาติดตู้เย็นไว้"
รามสูรตอบด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ ดวงตาคมมองจานอาหารสลับกับใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาวตรงหน้า แม้ปากจะยังหยอกประชด แต่แววตาของเขากลับมีความลังเลปนเป็นห่วงซ่อนอยู่ลึก ๆ
"ค่ะ...."
น้องนางตอบรับเสียงเบา ก่อนจะขยับถอยไปอย่างช้า ๆ สีหน้าซีดลงกว่าเดิมจนเขาเริ่มสังเกตได้ชัด รอยเหงื่อซึมบาง ๆ บนหน้าผากและริมฝีปากที่เม้มแน่น บ่งบอกว่าเธอกำลังฝืนร่างกายอยู่
"แล้วเธอไม่กินรึไง..."
เขาถามขึ้นพลางขมวดคิ้ว สายตาจับจ้องเรือนร่างบอบบางอย่างไม่ไว้ใจ ท่าทีเธอไม่เหมือนปกติ
"นางยังไม่หิวค่ะ...พี่รามมีอะไรจะให้นางทำอีกไหมคะ"
เธอยังคงไม่เงยหน้าขึ้น ดวงตาหลุบต่ำ ร่างกายเอนพิงเคาน์เตอร์เล็กน้อยอย่างเผลอไผล สองมือกำชายเสื้อแน่น
"ถามทำไม...เธอจะไปไหน...."
เสียงของเขาเริ่มขุ่นนิด ๆ ด้วยความไม่พอใจ แต่ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับฉายแววฉงน
"นางปวดท้อง..จะขอขึ้นไปพักสักหน่อย.."
น้ำเสียงของเธอฟังดูอ่อนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ดวงตาแสดงถึงความทรมานที่ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป
"ปวดท้อง ? ปวดเป็นอะไร เป็นกระเพาะ หรือปวดแบบไหน ไปหาหมอไหม..?"
รามสูรรีบซักถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน ใบหน้าคมเริ่มมีแววเป็นห่วงชัดเจน ดวงตาคมฉายแววว้าวุ่น มือหนาขยับเกือบจะเอื้อมไปหาเธอโดยไม่รู้ตัว
น้องนางเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อย ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงแสดงความห่วงใยออกมาชัดเจนแบบนั้น
"ปวดท้องประจำเดือนค่ะ...ขอนางขึ้นไปพักสักเดี๋ยวได้ไหมคะ ถ้าพี่รามกินเสร็จ วางไว้ตรงนี้เลยก็ได้ เดี๋ยวนางลงมาเก็บ..."
เสียงของเธอแผ่วเบาเหมือนจะหมดแรง ทว่าก็ยังเปี่ยมด้วยความสุภาพและอดกลั้น
"อืม...จะไปไหนก็ไป..มาวันแรกก็ทำตัวเป็นภาระ"
น้ำเสียงของเขากลับแข็งกระด้างขึ้นอีกครั้งราวกับตั้งใจจะกลบเกลื่อนความรู้สึกที่หลุดออกมาเมื่อครู่
"ขอโทษด้วยนะคะ"
เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาท่าทีเรียบร้อยไว้เต็มที่ ดวงตาหลบเลี่ยงไม่สบกับสายตาคมของเขา ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างช้า ๆ ทุกก้าวที่เดินเหมือนแบกน้ำหนักไว้ทั้งตัว
รามสูรมองแผ่นหลังบางที่ค่อย ๆ เลือนหายขึ้นไปบนบันได ก่อนจะหันกลับมานั่งนิ่ง ความรู้สึกบางอย่างเริ่มตีวนอยู่ในอก เขาไม่เข้าใจตัวเอง...แค่คำว่า ‘ปวดท้อง’ ทำไมต้องรู้สึกห่วงขนาดนั้น...
ประตูห้องถูกปิดลงอย่างแผ่วเบา น้องนางทิ้งตัวลงบนเตียงใบหน้าอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด
"ฟู้ ~~~ ต้องอดทนสินะน้องนาง"
เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ดวงตาเหม่อลอยขึ้นมองเพดาน สูดหายใจลึกทั้งที่ยังจุกเสียดตรงท้องน้อย ความรู้สึกเครียดสะสมและความเจ็บปวดทางกายมันประสานกันจนเธอแทบไม่ไหว
เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง ห้องเงียบสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจเบา ๆ ของเธอ รามสูรที่นั่งรออยู่ข้างล่างมองนาฬิกาบ่อยครั้ง ความหงุดหงิดแปลก ๆ ที่เธอหายเงียบไปนานเริ่มก่อตัวขึ้นในใจจนอดไม่ได้ต้องลุกขึ้นเดินตามขึ้นไป
เมื่อเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่เขาเห็นทำให้หัวใจเต้นแผ่วลงโดยไม่รู้ตัว...น้องนางนอนขดตัวบนเตียง ผ้าห่มผืนบางคลุมร่างเธอไว้ไม่หมด ร่างเล็กงอตัวแน่นเหมือนลูกกุ้ง มือเรียวทั้งสองกุมหน้าท้องแน่น สีหน้าแม้หลับตาอยู่ก็ยังฉายความเจ็บปวดจาง ๆ เขาก้าวเข้ามาอย่างเงียบงัน ทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ใช้หลังมือหนาแตะเบา ๆ ที่หน้าผากเล็กของเธอ ความร้อนจากร่างกายของเธอสะท้อนออกมาชัดเจน ความกังวลก่อตัวขึ้นในใจของเขาโดยไม่ทันรู้ตัว
ใบหน้าหล่อเหลานั้นขรึมลงทันที ความเย่อหยิ่งจางหายแทบไม่เหลือเค้าเดิม เขากำมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรของไรอัลในทันที นิ้วมือที่กดเบอร์ยังสั่นเบา ๆ อย่างควบคุมไม่อยู่
เขาไม่ได้แค่รู้สึกผิด...แต่รู้สึก ‘เจ็บ’ แทนเธอโดยไม่รู้ตัว...
📞 ไรอัล : ว่า.......
📞 รามสูร : ไรอัล..กูมีเรื่องจะปรึกษามึง
📞 ไรอัล : เรื่องอะไร ?
📞 รามสูร : ปกติเวลาที่ผู้หญิงปวดท้องประจำเดือน หรือไม่สบายต้องทำยังไงวะ
📞 ไรอัล : ไอ้ราม...มึงถามกู แล้วกูจะไปรู้ได้ไงวะ กูไม่ใช่หมอ...
📞 รามสูร : ก็มึงมีพี่เป็นหมอไม่ใช่เหรอ....มึงจะไม่ซึมซับความรู้อะไรมาบ้างเลยรึไง...
📞 ไรอัล : กูไม่รู้....มึงลองเซิสหาในอินเทอร์เน็ตดู ทำไม...ใครเป็นอะไร..น้องนางไม่สบายเหรอ
📞 รามสูร : อืม...นอนซมอยู่ในห้อง...
📞 ไรอัล : แล้วทำไมมึงไม่พาเขาไปหาหมอ
📞 รามสูร : นางกลัวเข็ม...
📞 ไรอัล : งั้นมึงก็คงต้องช่วยตัวเองแล้วแหละ เท่าที่กูรู้ เวลาไม่สบายก็ให้กินยา ถ้าตัวร้อนก็ให้เช็ดตัว....
📞 รามสูร : อันนั้นกูรู้ แต่ที่ไม่รู้คือเป็นเวลาเป็นประจำเดือนแล้วมีไข้ด้วย ต้องทำยังไง
📞 ไรอัล : แล้วมึงมาถามกูเพื่อ ?? กูเคยเป็นเมนรึไง..ไอ้เชี้ย
📞 รามสูร : ก็กูทำอะไรไม่ถูก นึกถึงมึงเลยโทรหามึงไง...ไอ้เชี้ย...บ่นเก่งชิบ..แค่นี้แหละ...เดี๋ยวกูไปซื้อยาแล้วถามกับเภสัชกรเอา..
📞 ไรอัล : เออ..มึงน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วไหม ..
📞 รามสูร : พูดมาก... ตุด ตุด ตุด ~~
รามสูรวางสายจากไรอัล เขามองดูคนเป็นน้องก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาปกคลุมร่างกายเล็กเอาไว้ ยิ่งมองยิ่งมีหลากหลายความรู้สึก ในบางครั้งเขารู้สึกเกลียดตัวเอง ที่ยังคงเป็นห่วงเป็นใยเธออยู่เสมอ ทั้งที่พยายามย้ำเตือนกับตัวเองอยู่ตลอด ว่าบุคคลตรงหน้าคือผู้หญิงที่เขาเกลียด ชาตินี้จะไม่มีวันกลับไปรัก ไปรู้สึกอะไรกับเธออีกแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง เขากลับห้ามความรู้สึกหวั่นไหวภายในใจของตัวเองไม่ได้ ถึงปากจะบอกว่าไม่..อย่างไร แต่ใจของเขากลับไม่เป็นไปอย่างนั้น ที่ทำได้ก็เห็นทีจะเป็นคำพูดร้ายๆที่คอยทิ่มแทงคนเป็นน้อง อยากจะเอาคืนเธอให้สาสม...ชดใช้กับความรู้สึกที่สูญเสียไปในอดีต..แต่ก็ไม่รู้ว่าหัวใจของเขามันจะสามารถทำแบบนั้นได้อีกนานสักเท่าไหร่