หลับสนิทไปหนึ่งตื่นตลอดทั้งคืนด้วยความประหลาดใจ ปกติแก้มใสจะเป็นคนติดที่นอนมากเธอทำใจแล้วว่าการย้ายมาอยู่คอนโดกับพี่ชายครั้งนี้เธอต้องมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับแน่ แต่ไม่คิดเลยว่าแค่คืนแรกเธอจะสามารถหลับเป็นตายเหมือนได้ยาสลบช้างแบบนี้
บิดขี้เกียจได้ประเดี๋ยวเดียวก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง หญิงสาวรีบก้มดูการแต่งกายของตัวเองเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเนื่องจากถอดเสื้อชั้นในนอนเธอจึงรีบคว้าเสื้อกันหนาวตัวหนาในกองเสื้อผ้าที่รื้อออกมาเมื่อคืนสวมทับอีกชั้นก่อนจะเดินไปเปิดประตู
“หนาวเหรอ” ล่าคลื่นเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยพลางเหลือบมองเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ที่คนน้องสวมใส่
“นิดหน่อยค่ะ” เธอไหลไปตามน้ำ “เลิกปาร์ตี้กันแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยถามกลับ
“อื้มเลิกตั้งแต่ตีสองเมื่อคืนแล้ว”
แก้มใสมองผ่านล่าคลื่นไปยังนาฬิกาเรือนใหญ่ด้านหลังเขา ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้าแล้ว
“งั้นพี่รอหนูเก็บของแป๊บหนึ่งนะ”
“ไม่ต้องรีบ เดี๋ยวมากินข้าวเช้าด้วยกันก่อน”
“ข้าวเช้า?”
ดวงตากลมโตที่แฝงไปด้วยความสงสัยกับใบหน้าหมดจดของคนเพิ่งตื่นนอนทำให้ล่าคลื่นอดยิ้มไม่ได้ เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกเอ็นดูเด็กผู้หญิงมากขนาดนี้
“ไปล้างหน้าแล้วมากินข้าว”
“อ้อ”
แก้มใสถูกคนพี่กดเสียงเข้มใส่ก็พลันรู้สึกเหมือนได้พี่ชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน หลังจากเธอล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกับใส่เสื้อชั้นในเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมานั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเพื่อนพี่ชาย
“กินได้ไหม” เขาถามพลางมองใบหน้าเธอสลับกับถ้วยข้าวต้มหมูตรงหน้า
“ได้ค่ะ”
“งั้นก็กินให้หมด”
ประโยคของพี่ชายคนนี้ทำให้แก้มใสรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่บังคับให้กินข้าวเลย
เธองับข้าวต้มเข้าปากไปพลางเหลือบมองล่าคลื่นไปพลาง “มีอะไร” เขาสบตากลับพลันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอคะ”
“ทำไมถามงั้นอะ”
“ก็ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วที่พี่เอาแต่ทำหน้าง่วงอยู่ตลอดเวลา”
ล่าคลื่นไม่ได้เอ่ยตอบอะไรทำเพียงมองหน้าเด็กสาวแล้วยิ้มๆ ก่อนจะก้มหน้าทานข้าวต้มต่อ
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแก้มใสก็เก็บเสื้อผ้าพร้อมกับตุ๊กตาแพนกวินกลับมาที่ห้อง แต่ทันทีที่เข้ามาถึงก็ทำให้เธออดถอนหายใจไม่ได้ ผู้ชายตัวใหญ่กว่าห้าคนนอนล้มระเนระนาดอยู่เต็มพื้น หัวไปทางหางไปทาง
เธอส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะยกกระเป๋าใบหนักเดินหลบซากศพที่นอนก่ายกันอยู่บนพื้นกลับเข้าไปในห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเบาะนุ่มด้วยความอ่อนเพลีย เธอยังรู้สึกง่วงอยู่เลย
ขณะที่เปลือกตาทั้งสองข้างกำลังจะปิดลงอย่างเชื่องช้าเสียงข้อความจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นดึงความสนใจให้แก้มใสหันไปมอง
กัปตัน : ตื่นหรือยัง อาการนอนไม่หลับเป็นยังไงบ้าง
แก้มใส : ตื่นแล้วค่ะ ไม่มีอาการอะไรเลยหนูหลับสนิทมาก
กัปตัน : งั้นก็ดีแล้ว แต่ถ้านอนไม่หลับอีกต้องบอกเฮียนะ
แก้มใส : รับทราบค่ะ
เที่ยงตรง
ร่างบางในชุดเดรสกระโปรงสีชมพูอ่อนแขนตุ๊กตาเดินออกมาจากห้องนอนพลันมองกองศพที่ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหนด้วยสีหน้าอ่อนใจ เธอเดินตรงเข้าไปหาพี่ชายที่ยังนอนก่ายขาพาดโซฟาอย่างสบายใจ ย่อตัวนั่งลงพลันเขย่าตัวเรียกเขา
“เฮียกันต์ตื่น”
“อือ...” คนงัวเงียที่ยังเมาไม่สร่างปัดป่ายมือน้องสาวออกก่อนจะเปลี่ยนไปนอนตะแคงข้างหลบหน้าเธอ
“เฮียกันต์หนูหิวแล้ว”
“อืออ”
กันต์ธีร์ขานรับด้วยน้ำเสียงยานคาง แก้มใสเห็นว่าพี่ชายคงจะไม่ตื่นง่ายๆ จึงตัดใจเดินหิ้วโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสะพายใบจิ๋วออกจากห้อง ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินเธอก็พลันนึกได้ว่าลืมหยิบคีย์การ์ดออกมาด้วย
แก้มใสทำท่าจะหมุนตัวกลับเข้าไปเอาคีย์การ์ดในห้อง ทันใดนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้นจากห้องฝั่งตรงข้าม เมื่อหันไปมองก็พบว่าล่าคลื่นกำลังเปิดประตูออกมาพอดี แก้มใสกับล่าคลื่นสบตากันแวบหนึ่งก่อนที่คนเป็นพี่จะเอ่ยปากถาม
“จะไปไหน”
“หนูจะออกไปหาอะไรกิน” เธอถามกลับ “แล้วพี่ล่ะ”
“เหมือนกัน” เขาว่าพลางดึงประตูห้องปิดลง “แล้วพวกนี้ตื่นหรือยัง”
แก้มใสถอนหายใจพลันส่ายหน้าเบาๆ
“งั้นไปด้วยกันไหมเดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าวเอง”
“แล้วพวกพี่เขาล่ะคะ”
“ไม่ตื่นง่ายๆ หรอกอย่างน้อยก็บ่ายสามนู้นหละ”
ได้ฟังคำตอบแล้วแก้มใสก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่คิดว่าพวกพี่ชายจะสามารถนอนกินบ้านกินเมืองได้เป็นวันๆ แบบนี้
“อยากกินอะไร”
ร่างสูงเอ่ยถามในขณะที่ลิฟต์กำลังเลื่อนลงไปยังลานจอดรถใต้ดิน แก้มใสขยับแว่นสายตาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหวาน
“เราไปกินบุฟเฟ่ต์กันได้ไหมคะ”
“ตอนนี้?” เธอพยักหน้าหงึกๆ ด้วยสายตาที่ชวนให้ล่าคลื่นรู้สึกว่ากำลังถูกลูกแมวน้อยออดอ้อน
เขาส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความเอ็นดูพลันยกมือขึ้นมาหยิกแก้มน้องสาวของเพื่อนด้วยความมันเขี้ยว เด็กสาวยิ้มหน้าบานอย่างอารมณ์ดีหลังจากรู้สึกได้ว่ากำลังถูกล่าคลื่นตามใจ
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกล่าคลื่นก็เดินนำแก้มใสไปยังรถเบนซ์คันสีดำ ทันทีที่ขึ้นมานั่งแก้มใสก็กวาดสายตามองสำรวจตามประสาคนชอบสังเกต กระทั่งพบว่าภายในรถสะอาดสะอ้านราวกับไม่ค่อยได้ใช้งาน ต่างจากรถของกันต์ธีร์ลึกลับแก้มใสจำได้เลยว่าเมื่อปีที่แล้วตอนขึ้นมางาน open house ของมหาวิทยาลัยเธอบังเอิญเจอของที่เด็กไม่ควรเห็นเข้าในรถของพี่ชาย
เจอซองถุงยางฉีกทิ้งว่าพอทน เจอของเหลวเหนียวข้นในถุงยางใช้แล้วพอเลย
ดีนะที่เธอเป็นคนเจอถ้าเป็นพ่อแม่หรือเฮียกัปตันเป็นคนเจอได้โดนดุหูชาแน่
“พี่กับเฮียกันต์นิสัยต่างกันลึกลับเลย” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นพร้อมกับหลุดยิ้มน้อยๆ “พวกพี่เจอกันได้ยังไงเหรอ”
“ตอนปีหนึ่งบังเอิญอยู่กลุ่มเดียวกันตอนงานรับน้องก็เลยสนิทกัน”
“ทุกคนเลยเหรอคะ” ล่าคลื่นส่ายหน้า “มีแค่พี่ไอ้กันต์แล้วก็ไอ้ริวส่วนไอ้สกายกับไนน์เจอทีหลัง”
“อ๋อ”
“แล้วเราล่ะมีเพื่อนมัธยมมาเรียนด้วยกันไหม”
“ไม่เลยค่ะเพื่อนสนิทหนูแยกย้ายกันไปหมด ในกลุ่มมีห้าคนก็แยกไปคนละภาคหมดเลยยกเว้นเพื่อนหนึ่งคนที่มาเรียนในกรุงเทพเหมือนกันแต่อยู่กันคนละมหาวิทยาลัย”
ในระหว่างที่นั่งรถแก้มใสก็เผลอพูดมากอย่างลืมตัว ปกติเธอจะเป็นคนที่พูดน้อยมากกับคนไม่สนิทแต่ทว่าท่าทีที่ล่าคลื่นมีต่อเธอทำให้แก้มใสไม่รู้สึกอึดอัด ทั้งยังรู้สึกว่าพี่เขามีนิสัยคล้ายเฮียกัปตันที่เป็นคนอบอุ่นและพึ่งพาได้ อีกด้านก็คล้ายเฮียกันต์ที่ชอบตามใจเธอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีความสุขุมคล้ายพ่ออยู่เหมือนกัน
“อันที่จริงหนูมีเรื่องอยากถามพี่หนึ่งเรื่อง”
“อะไร”
“แต่พี่ต้องสัญญาก่อนนะว่าห้ามบอกเฮียกันต์” เด็กสาวเอ่ยขึ้นก่อนจะถาม
“อืม”
“เฮียกันต์เขาเคยมีรักฝังใจไหมคะ”
ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นแก้มใสอยู่มอห้าส่วนเฮียกันต์เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย เธอจำได้เลยว่าช่วงปิดเทอมกลางภาคตอนกลับมาที่บ้านเฮียคนกลางของเธอก็เปลี่ยนไป แก้มใสสังเกตเห็นว่ากันต์ธีร์เหมือนคนมีเรื่องในใจอยู่ตลอดเวลาแต่พออยู่ต่อหน้าเธอหรือคนในครอบครัวก็จะแสร้งยิ้มอารมณ์ดีเหมือนไม่อะไรเกิดขึ้น จนมีอยู่คืนหนึ่งเธอแอบเห็นกันต์ธีร์ออกมานั่งคนเดียวที่หลังบ้าน
ตอนนั้นเธอทำท่าจะเดินเข้าไปหาเขาแต่ก่อนที่เธอจะก้าวเท้าเข้าไปหาพี่ชาย กลับได้ยินเสียงร้องไห้ดังสะอื้นออกมาแม้จะไม่ใช่เสียงฟูมฟายเหมือนจะเป็นจะตาย แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าเสียงสะอื้นเบาๆ นั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เธอยืนมองอยู่ด้านหลังก็เห็นกันต์ธีร์ถือรูปถ่ายใบหนึ่ง และในวันต่อมาเธอก็บังเอิญเห็นรูปถ่ายใบนั้น แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าของหญิงสาวได้ถูกทำลายทิ้งไปแล้วเธอจึงไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในภาพถ่ายคือใคร และหลังจากวันนั้นพี่ชายของเธอก็เปลี่ยนไป
จากที่ไม่เคยเจ้าชู้ก็กลายเป็นเพลบอยตัวพ่อจนถูกเฮียกัปตันด่าอยู่บ่อยๆ พ่อแม่ก็พากันอ่อนใจด้วยพูดปากเปียกปากแฉะแล้วว่าให้เพลาๆ เรื่องผู้หญิงลงบ้างแต่เฮียกันต์ก็ไม่ฟัง พ่อแม่เลยขี้เกียจยุ่งด้วยแค่บอกว่าอย่าลืมป้องกัน
ดีหน่อยที่อย่างน้อยเฮียของเธอก็ไม่เคยพาผู้หญิงมาที่ห้อง ไม่งั้นเธอคงลำบากใจถ้าต้องเห็นผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าเข้าออกห้องพี่ชายทุกวัน
“กันต์ไม่เคยเล่าให้ฟังเหรอ”
“ไม่เคยเลยค่ะ” เธอหลุบตามองต่ำพลันเอ่ยเสียงแผ่ว “แม้เราจะเป็นพี่น้องที่สนิทกัน แต่เฮียกันต์ไม่เคยเล่าเรื่องทุกข์ใจให้หนูฟังเลย”
ต่างจากเธอที่เวลามีเรื่องทุกข์ใจอะไรก็มักจะระบายให้พี่ชายฟังเสมอ บางครั้งเธอจึงรู้สึกน้อยใจและรู้สึกเหมือนกับว่าพี่ชายไม่ไว้ใจเธอ
“ไอ้กันต์เป็นพวกชอบปรับทุกข์ให้คนอื่น แต่ไม่ชอบให้คนอื่นปรับทุกข์ให้ตัวเอง” แก้มใสเงยหน้ามองคนพูด “มันเป็นพวกรักหน้าตาตัวเองมากจนไม่อยากให้ใครต้องมานั่งสมเพชเวทนามันโดยเฉพาะภาพลักษณ์ที่มีกับครอบครัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับน้องสาวเพียงคนเดียวของมัน”
“ทำไมล่ะ หนูไม่เอาไปบอกใครสักหน่อย”
ล่าคลื่นหลุดยิ้มก่อนจะเอื้อมมือหนึ่งข้างยีหัวยัยเด็กน้อยเบาๆ จนเธอมุ่ยหน้าใส่เขา
“มันไม่ได้กลัวว่าเราจะเอาไปบอกใคร แต่มันกลัวว่าเราจะเห็นมันในมุมอ่อนไหวต่างหาก ไม่มีพี่ชายคนไหนอยากดูอ่อนแอต่อหน้าน้องสาวที่ตัวเองพยายามปกป้องมาตลอดหรอกนะ”
พอได้ฟังคำตอบเช่นนี้แก้มใสก็เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของกันต์ธีร์มากขึ้น
“ว่าแต่พี่รู้เรื่องพวกนี้ดีจัง พี่มีน้องสาวเหรอ”
“ไม่มี”
“อ้าว แล้วทำไมดูเข้าใจพี่กันต์จัง”
“บางเรื่องแค่รับฟังก็เข้าใจได้นะ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ตรง” พูดเหมือนเป็นพวกโค้ชที่ไม่เคยลงสนามเลย
“แล้วพี่ล่าคลื่นมีแฟนไหมคะ”
“ถามทำไม”
“ก็แค่อยากรู้”
“ไม่มี พี่ไม่ชอบผู้หญิง”
“หา!” ล่าคลื่นหันมาเห็นแก้มใสเบิกตาโตพลันจ้องหน้าเขาตาเขม็งก็เดาออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่จึงรีบเอ่ยดักทาง “แล้วพี่ก็ไม่ได้ชอบผู้ชายด้วย”
“อ้าว งั้นพี่ชอบอะไร”
“ก็ชอบผู้หญิงนี่แหละ แค่ที่ผ่านมายังไม่เจอผู้หญิงที่ชอบ” พูดจบก็หันมาถามแก้มใสกลับ
“แล้วเราล่ะมีแฟนหรือยัง”
“อย่าว่าแต่แฟนเลยค่ะ แค่เพื่อนผู้ชายยังไม่มีสักคน” แก้มใสค่อนข้างอึดอัดเวลาอยู่ใกล้เด็กผู้ชาย แม้เธอจะมีพี่ชายถึงสองคนแต่ความรู้สึกเวลาอยู่ใกล้ผู้ชายคนอื่นกลับแตกต่างออกไป
เธอเองก็ยังแปลกใจที่อาการนี้ไม่เป็นตอนอยู่กับล่าคลื่น หรือบางทีอาจจะเพราะเธอรู้สึกว่าล่าคลื่นมองเธอเป็นน้องสาวเหมือนกับที่พี่ชายทั้งสองคนทำ ไม่ได้มองเธอเป็นเด็กผู้หญิงเหมือนคนอื่น
“อย่าเพิ่งรีบมีดีแล้ว” แม้แต่ประโยคนี้ก็ยังเหมือนกับที่พี่ชายทั้งสองคนเตือนเธอเลย
“รับทราบค่ะ ไว้มีคนที่ชอบแล้วจะมาขออนุญาตนะคะ”