What’s in the graveyard?

1416 Words
สองสาวดาวยั่วลอยไปบนอากาศด้วยเครื่องยนต์ jet suit ลอยวนสำรวจท้องฟ้าอย่างละเอียด ต้นน้ำอยู่ทางเหนือ พวกเราจึงลอยไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน แสงดาวพร่างพราวเหมือนภาพฝัน ส่องแสงระยิบระยับเป็นประกาย ท้องฟ้าสดใสไม่มีหมอกควันพิษบังให้เสียอรรถรส ไม่เหมือนอีกหลายพันปีข้างหน้า ซึ่งยุคของฉันในปี ค.ศ.2819 ฟ้ามืดหมองเหมือนถูกมนต์ดำเข้าครอบงำทั้งผืนฟ้า ขนาดจะหายใจนอกบ้านยังต้องสวมหน้ากากออกซิเจนไมโครฟอส ไม่มีโอกาสหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์แบบที่กำลังเจออยู่ “เธอว่าไอ้เงานั่นมันเงาอะไร” ฉันถามเด็บเบอร์ร่า “ถ้าเป็นผีล่ะ” เด็บเบอร์ร่าหัวเราะ หึ ๆ ๆ “ไม่รู้สิ ให้เดาคือเดาว่าผู้บุกรุก” แวบนึงในหัวคิดว่าหรือจะเป็นผีจีนยุคโบราณ “ไม่กลัวหรอก อย่างที่บอกแหละ กลัวคนมากกว่า” “ถ้าเป็นคนก็คงเข้าไปในเต็นท์ของเราไม่ได้หรอก มีตาข่ายพลังงานป้องกันอยู่” “ถ้าเป็นผียิ่งดีใหญ่ ยิ่งผีโบราณยิ่งน่าวิจัย นี่แพรี่ ฉันเอาเครื่องจับผีมาด้วยนะ” เด็บเบอร์ร่าพูดถึงเครื่องจับพลังงาน เหมือนรายการล่าท้าผีอะไรเทือกนั้น “ดีมาก กลับไปเดี๋ยวก็รู้เองว่าไอ้เงาที่มีเขาแหลม ๆ นั่นเป็นผีหรือคน จัดไป ไม่ว่าเป็นผีหรือคน ถ้ากล้ามาส่อแส่ เราจะจัดการมัน” ฉันกำหมัดชูขึ้น พวกเราเรียนวิชาป้องกันตัวหลายขนาน อีกทั้งเด็บเบอร์ร่ายังทำงานเป็นแพทย์สนามให้กับหน่วย CSIA ซึ่งเป็นหน่วยฝึกทหารลับของสหรัฐ เราไม่กลัวผีอย่างแน่นอน และไม่กลัวคนด้วย ความมั่นหน้ามั่นโหนกบวกกับปืนเลเซอร์เมอร์คิวรี่ปรับโหมดลูกกระสุน โหมดแช่แข็ง และโหมดไฟลาวาได้ เหนือกว่าปืนทั่วไปหลายขุม อย่าไปเทียบกับดาบยุคโบราณเลย เทียบกับปืนปัจจุบันยังเหนือชั้นกว่ามาก พวกเราไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ยกเว้นกลัวไม่ได้กินของใหญ่ ที่แปลว่าฮอตดอกของผู้ชาย “เธอได้ยินเสียงอะไรไหม” ฉันถามเด็บเบอร์ร่า ได้ยินเหมือนคนกำลังขุดหรือเจาะชั้นหิน เสียงก้องสะท้อนหุบเขาแต่เรายังมองไม่เห็นอะไรมากนัก เนื่องจากทั่วบริเวณมืดสนิท “อืม ได้ยินสิ” “ขอเปิดเครื่อง noise detect ก่อนนะ” ฉันควักเครื่องตรวจจับระดับเสียงรวมถึงขยายเสียงและประมวลผลอัตโนมัติออกมาจากแหวนมิติ พวกเราใช้เรดาร์ที่เครื่อง noise detect ตรวจจับทิศทางเสียงว่าเกิดขึ้นจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ฉันกับเด็บเบอร์ร่ากดออโต้ซูมหาต้นตอเสียง เราบังคับเครื่อง jet suit ลอยเข้าไปใกล้ที่สุด พาเราพาตัวเองในชุด jet suit มาเหยียบยืนอยู่บนพื้นดิน ห่างราวร้อยเมตรข้างหน้าเป็นหุบเขา “เฮ้ย มีคนเฝ้าตรงนั้นด้วยตั้งหลายคน” เด็บเบอร์ร่าชี้มือไปตรงปากปล่องภูเขา มีทางเหมือนขั้นบันไปทอดยาวไปเบื้องล่าง “จริงสิ พวกเขามาทำอะไรกันตอนค่ำ ๆ มืด ๆ” “เสียงที่ว่าคือเสียงอะไรล่ะ” “ขอกดประมวลผลแป๊บ” ฉันกดเครื่อง noise auto detect ประมวลผลโดยใช้เครื่องมือความแม่นยำสูง ประมวลผลจากหลายล้านเสียงในโลกมนุษย์เท่าที่มี “เสียงนั่นคือเสียงอะไร” “เสียงคนกำลังขุดเหมือง” ฉันตอบอย่างมั่นใจ 95 เปอร์เซ็นต์ “ต้องบินลงไปดูข้างล่าง” “คนพวกนั้นก็ต้องเห็นเราสิ ฉันเคยดูหนังจีนโบราณ คนพวกนั้นอาจมีอาวุธแบบผสานกำลังภายใน เหนือมนุษย์ ฉุดยุทธภพ สะท้านปฐพี” ฉันแย้ง “เฮ้อ..ท่าจะดูซีรี่ส์จีนมากไป” “ไม่รู้ล่ะ ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาตายในยุคโบราณโดยที่ยังไม่ได้ขย่มตอ ดังนั้นต้องเซฟที่สุด หาข้อมูลก่อนดีกว่า” “ตกลง วันหลังเราค่อยมาสำรวจใหม่ อย่างน้อยเราสามารถตั้งสมมุติฐานได้ว่ามีการขุดแร่บางอย่าง ส่งผลให้สภาพแวดล้อมเป็นพิษจากการทำเหมือง” เด็บเบอร์ร่าเสนอข้อสันนิษฐานที่ใกล้เคียงความเป็นจริง “อืม เหมือนที่ฉันคิดไว้ ขอตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อเก็บข้อมูลเบื้องต้นก่อน” ฉันควักกล้องส่องทางไกลชนิดพิเศษออกมาจากแหวนมิติ เป็นกล้องแบบอินฟาเรด IR สามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวหรือจับความร้อนจากสิ่งมีชีวิตได้ กล้องรุ่นนี้เป็นกล้องที่สามารถมองกลางคืนได้อย่างดีเยี่ยมและมีฟังก์ชั่นตรวจจับความร้อนได้ อีกทั้งยังมีเลเซอร์ในตัวสำหรับเล็งเป้าระยะไกลถึง 200 เมตร “คนพวกนั้นกำลังใช้กลไกปิดปล่องเขา” “โห..ล้ำมาก” ฉันอุทานเมื่อเห็นผู้คนกำลังร่ายมนต์ทำปากขมุบขมิบ ไม่ช้าก็มีต้นไม้ปรากฎขึ้นหนาทึบบริเวณปล่องเขา ปิดทางเข้าออกเอาไว้อย่างแนบเนียน “นี่มันอะไรกัน จู่ ๆ ทำไมมีต้นไม้โตขึ้นมาบังอย่างฉับพลันได้” เด็บเบอร์ร่าอ้าปากค้าง “มันเรียกว่ามนต์ลวงตา” ฉันอ้าปากค้างเหมือนกัน เคยได้อ่านในหนังสือประเภทจารึกโบราณแต่ไม่คิดว่ามีอยู่จริง ในยุคโบราณอาจมีบางสิ่งที่วิทยาศาสตร์เข้าไม่ถึง “พวกเรากลับไปที่สุสานก่อนดีกว่า” ฉันชวนเพื่อนสาวกลับฐานทัพ “อืม...ไม่รู้มีอะไรรอเราอยู่” เด็บเบอร์ร่ายักคิ้วให้ฉัน เราต้องกลับไปเผชิญความลี้ลับของสุสานเมียเก่าท่านอ๋อง ส่วนข้อมูลปฐมภูมิเบื้องต้นคือมีการลักลอบทำเหมืองจนเกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อม เราเก็บข้อมูลเด็ดได้ส่วนหนึ่ง ฉันถ่ายภาพและวิดีโอด้วยกล้องอินฟาเรดบันทึกไว้ เห็นจุดสีส้มเคลื่อนไหวอยู่ใต้ดินมากมาย คาดว่าต้องมีคนอยู่ในปล่องเขาเต็มไปหมด พวกเราต้องกลับไปพักผ่อน และวิจัยเรื่องสารปนเปื้อนในธารน้ำ และจะกลับมาเก็บข้อมูลเรื่องปล่องเขาในตอนกลางวัน นาฬิกาเลเซอร์จากแหวนมิติบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม พวกเรามาถึงบริเวณเต็นท์ที่พัก มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวังไม่เห็นเงาประหลาด จึงตรงเข้าไปในเต็นท์โดมเพื่อพักผ่อนและนำข้อมูลลงเครื่องประมวลผล “เงานั่นไม่อยู่แล้ว” “อืมมม นั่นสิ” “พักก่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีงานรออยู่อีก” “นี่อาหารแคปซูล กินเม็ดเดียวสารอาหารครบถ้วน อยู่ไปได้ยาว ๆ อีกหนึ่งเดือน” เด็บเบอร์ร่ายื่นอาหารแคปซูลให้ฉันเม็ดหนึ่ง “เฮ้อ อยากกินอาหารธรรมดามากกว่า” ฉันบ่นอุบ อยากกินอาหารจากธรรมชาติเช่นไก่ย่างหรืออะไรก็ได้ ว่าแล้วก็คิดถึงคนป้อนไก่ขึ้นมาทันที “คิดถึงท่านอ๋องเหรอ” “เธอก็คิดถึงเขาอ่ะดิ ไม่งั้นคงไม่พูดหรอก” ฉันเดาทาง “อืม คิดถึง” “ฉันก็คิดถึง” ฉันยืดอกคัพอียอมรับ กุกกัก กุกกัก “เสียงอะไรอ่ะ” เด็บเบอร์ร่าหน้าตื่น “นั่นดิ เสียงอะไรวะ” เสียงฝีเท้าหนักแน่นเหมือนฝีเท้าผู้ชายดังสวบสาบย่างเท้าเข้าหาเต็นท์โดมของเรา ไม่นานก็หยุดอยู่หน้าประตูเต็นท์ตรงทางเข้า “ข้ามีนามว่าหย่งจิน มีตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ รับหน้าที่ดูแลว่าที่พระชายาทั้งสอง พวกเรานำอาหารมาให้ขอรับ” “เฮ้อ พวกเจ้านั่นเอง ทำเอาลุ้นแทบแย่” ฉันกับเด็บเบอร์ร่าเปิดประตูเต็นท์ออกไปเพื่อรับอาหารยามดึก มีปลาย่างกับผลไม้ป่า รวมถึงข้าวหุงในกระบอกไม้ไผ่ “ขอบใจพวกเจ้ามาก” “พวกเราอยู่ดูแลโดยรอบ ไม่ไกลจากที่นี่ หากมีสิ่งใดรบกวน เรียกพวกข้าได้ทันที” “ขอบใจนะ” “พวกเราอยู่ด้านนอก คอยระวังความปลอดภัยให้พวกท่าน” “สองชั่วยามก่อน พวกเจ้ามีใครเข้ามาแถวเต็นท์นี่ไหม” ฉันสงสัยเรื่องเงาปริศนา อาจเป็นพวกองครักษ์ก็ได้ “เพิ่งเข้ามาตอนได้ยินเสียงพวกท่านกลับเข้ากระโจม” หย่งจินกวาดสายตามองเต็นท์ของพวกเรา สมัยโบราณเรียกว่ากระโจมสินะ “ไม่ได้เข้ามาเลยเหรอ” เด็บเบอร์ร่าหน้าตื่น “ไม่เลยขอรับ พวกข้าเฝ้าระวังอยู่รอบนอก ตามคำสั่งท่านอ๋อง” ฉันกับเพื่อนสาวมองหน้ากัน พวกเราอาจเจอดีเข้าแล้ว เงานั่นคือใคร มีอะไรอยู่ในสุสานกันแน่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD