หลังจากมองท่านอ๋องเจิ้งฟงหมิงนั่งรถม้าออกไปจนลับสายตา อาลัยอาวรณ์คนหล่ออยู่พักหนึ่ง หมดเวลาอ้อยอิ่งแล้ว
อยากได้อ๋ำก็ต้องทำงาน
ฉันดันไปดีลไว้ว่าหลังจากหาแหล่งน้ำช่วยเขา ค่อยรับการเด้าเป็นรางวัล เฮ้อ ปลาหมอตายเพราะปากแท้ ๆ แทนที่จะเอาก่อนค่อยหาแหล่งน้ำ ดันไปบอกว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้เขาก่อน ตอนนี้อย่าว่าแต่แผ่นดินของท่านอ๋องแห้ง นาผืนน้อยของฉันก็แห้งจนแตกระแหงแล้วเหมือนกัน
เอาล่ะ...ฉันกับเด็บเบอร์ร่าถึงเวลาปฏิบัติการวิเคราะห์แหล่งน้ำเสียทีโดยมีแท่งลำเป็นกำลังใจ
ถ้าใครทำอะไรเพื่อตัวเองไม่ไหว ไม่มีไฟ ก็ลองทำเพื่อผู้ชายดู แล้วจะสู้ขึ้นอีกหลายระดับ
“เราจะนอนที่สุสานเมียเก่าเขาเนี่ยนะ”
“ใช่ แล้วไง เธอกลัวผีเหรอ”
“เปล่า ไม่ได้กลัวสักหน่อย ผีก็แค่พลังงานรูปแบบหนึ่ง จะน่ากลัวตรงไหนล่ะ”เด็บเบอร์ร่ายืนยันว่าหล่อนไม่กลัวผี
“ไม่รู้สิ..เผื่อเธอรู้สึกกลัวผีขึ้นมา” ฉันไหวไหล่
“เธอเคยเห็นผีไหมล่ะ”
“ไม่เคยหรอก ฉันไม่ใช่พวกคนที่อยู่ในสภาวะกลัวผีและสิ่งลึกลับอย่างรุนแรง ปล.พวกชอบมโนที่อยู่ในหมวดหมู่ของ Phasmophobia”
นักวิทยาศาตร์อย่างฉันกลัวคนมากกว่าผีค่ะ ผีหื่นมาหลอกเราก็ได้แค่หลอก แต่คนหื่นนี่สิ อาจข่มขืนพวกเราก็ได้
“บางคนกลัวผีจนขี้หดตดหาย กลัวมากอย่างไม่มีสาเหตุทั้งที่ไม่เคยเห็นผีมาก่อน เพราะคนพวกนั้นเป็นพวกขาด ค.ว.ย ซึ่งหมายถึง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ”
“กลัวมากก็หลอนไปเอง ให้เกิดอาการแพนิก (Panic Attack) หรือการตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างรุนแรงควบคุมไม่ได้ จนมองเห็นภาพหลอนขึ้นมา คิดว่าตัวเองเห็นผีไงล่ะ”
“พวกเราไม่กลัวผีหรอก ถ้าที่นี่มีผีจริงก็มีแค่วิญญาณเมียเก่าท่านอ๋อง ผีตัวเดียวไม่น่ากลัวเท่าพวกโจรปล้นสุสานหรอก” ฉันมองไปรอบ ๆ
เสียงจิ้งหรีดร้องระงม บรรยากาศตอนเย็นมืดมิดแทบมองไม่เห็นอะไร ฉันกับเด็บเบอร์ร่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ และยัยเพื่อนสาวของฉันก็มีปริญญาตรีและโททางการแพทย์ด้วย เราพร้อมวิเคราะห์วิจัยทุกสภาพปัญหา
ก็มาดิคะ ไม่ว่าผีหรือคน เราจะซัดให้หมอบ
ฉันค้นแหวนมิติ นำเครื่องปั่นไฟพลังงานแอสทรอนออกมาตั้งบนพื้น ส่วนเด็บเบอร์ร่าเปิดกางเกงในมิติเอาเต็นท์ขนาดใหญ่ออกมากาง เต็นท์ชนิดพิเศษเคลือบกันน้ำกันไฟ มีมุ้งกันยุงแถมมีสนามแม่เหล็กอ่อน ๆ ปล่อยพลังงานสานเป็นเครือข่ายป้องกันผู้บุกรุกยามวิการ หากคิดไม่ออกให้นึกถึงลวดไฟฟ้าช็อตวัว แต่พลังงานที่ไหลเวียนบนผิวเต็นท์รุนแรงกว่ามาก ช็อตคนถึงกับสลบ
“เต็นท์ใหญ่ดีนี่” ฉันมองเต็นท์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราวห้าเมตร
“ต้องพร้อมเสมอ”
“ต้องใช้สถาบันวิจัยเลยหรือเปล่า ฉันจะเอาออกมาจากแหวนมิติ”
“อย่าเพิ่งเลยแพรี่ คืนนี้เราวิเคราะห์น้ำจากลำธาร ดูลาดเลารอบสุสานก่อนดีกว่า”
“จริงของเธอ ค่ำแล้วด้วย อีกไม่กี่ชั่วโมงพวกเราก็ต้องพักผ่อน”
“เดินสำรวจรอบ ๆ ดีไหม”
“ดีเหมือนกัน ไปเก็บตัวอย่างน้ำจากต้นลำน้ำดีกว่า เผื่อได้เบาะแสอะไรบ้าง”
“เอา Gravity jet suit มาไหม” เด็บบี้ถามหาชุดสูทเครื่องยนต์เจ็ท
“เอามาสิ คุณพ่อของฉันเตรียมให้หมดแหละ”
ปึง! ฉันวางชุด jets uit สองชุดแบบสะพายหลัง มีน้ำหนักเบามากใส่แล้วเหมือนมีเครื่องบินส่วนตัว ลอยไปไหนก็ได้ ชุดเจ็ทสูทพละกำลังสูงสามารถพาพวกเราบินไปรอบ ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกับบรรดาซุปเปอร์ฮีโรในภาพยนตร์
“แล้วเธอเตรียมอะไรเองบ้างล่ะก่อนมาที่นี่”
“นี่ไง สิ่งที่ฉันเตรียมเอง” ฉันควักดิลโด้กับไข่สั่นออกมาให้เพื่อนรักดู
“เฮ้อ...สภาพ” หล่อนค่อนแคะฉัน แต่เชื่อเถอะตอนเหงาหอย เอ๊ย เหงาหงอย อารมณ์เปลี่ยวขึ้นมาต้องบากหน้ามาขอใช้..ยังดีที่ฉันเตรียมมาหลายอันทั้งที่ยังไม่ได้ใช้และใช้ประจำ
พวกเราแต่งตัวทะมัดทะแมงเหมือนชุดเดินป่า ใส่ชุด jet suit รวมถึงสวมหน้ากากกันแก๊สพิษ
เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์
ฟู่วววว
ชุดยานยนต์พาพวกเราขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ต้องใช้กำลังภายในอะไรก็ลอยได้เหมือนพวกจอมยุทธจีนโบราณ
ฉันกับเด็บเบอร์ร่าลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกเราหันกลับลงไปมองตรงจุดกางเต็นท์โดม
ฉันเห็นเงาดำตะคุ่ม ๆ แวบไปแวบมา
“เธอเห็นเหมือนฉันไหมเด็บบี้” ฉันถามเด็บเบอร์ร่า
“เห็นสิ” หล่อนจ้องเจ้าเงาประหลาดนั่นอยู่เหมือนกัน
“พวกเราเห็นสี่ตาเลยนะ”
“ผีเหรอ เงานั่นมีเขาแหลม ๆ ด้วยนะ” เด็บเบอร์ร่าถามฉัน
ฉันมองเงาร่างนั้นอีกครั้ง กำลังพยายามตอบตัวเองให้ได้ว่าเงาประหลาดนั่นเป็นผีหรือคน