ตอนที่ 6 ใช้ใจเรียนรัก

1997 Words
ปั้ก!!.... "กำลังคิดบ้าอะไรอยู่เนี่ย.... หมัดนี้พี่ขอเตือนสตินายไว้นะ.... ไม่ว่าจะยังไง นายก็ไม่มีสิทธิ์ไปดูถูกพ่อตัวเองแบบนั้น! สิ่งที่พี่กับพ่อของนายพูดคือความจริง เราไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่นายคิดเลย พ่อของนายก็แค่กอดพี่เพื่อให้กำลังใจก็เท่านั้น... เมื่อนายคิดแบบนี้พี่เองก็ไม่อยากอยู่ให้เป็นปัญหาระหว่างพ่อนายกับนายแล้วล่ะ... เดี๋ยวพี่จะไปเอง นายจะได้ไม่ต้องมาคิดบ้าอะไรแบบนี้อีก!!" ผมพูดทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกเสียใจที่สุดก่อนจะยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาที่แก้มอย่างลวกๆ แล้วหันหลังเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าพร้อมกับหยิบกระเป๋าใบใหญ่ลงมาจากหลังตู้เตรียมรูดซิปเปิด เพื่อจะใช้มือทั้งสองข้างรวบของลงกระเป๋า... "พี่เหมย! พี่เหมย! หยุดเถอะครับ… ผมขอโทษ... ผมขอโทษนะพี่!!" เด็กหนุ่มโผลงสุดนั่งคุกเข่าด้านหลังผมพลางยกมือขึ้นสวมกอดผมจากทางด้านหลังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "พี่อย่าทำแบบนี้เลยนะครับผมขอโทษ.... พี่อย่าไปเลยนะครับ.... ต่อไปผมจะไม่คิดแบบนี้อีกแล้ว ผมรู้แล้วครับว่าผมคิดไปเอง.... พี่ไม่ไปนะครับ!" น้องแค้มป์ต่างร่ำไห้พรรณนาเพื่อที่จะไม่ให้ผมไป จากคำพูดของเขาก็เหมือนได้เตือนใจผมเองว่า มันคือความเข้าใจผิดของน้องที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แล้วตอนนี้น้องเขาก็รู้และเข้าใจแล้ว เราจะไม่ให้อภัยน้องเขาหน่อยหรือยังไง เมื่อผมคิดได้เช่นนั้นความใจร้อนของผม ได้ผ่อนคลายลงเพราะด้วยความสงสารบวกกับความรู้สึกดีๆที่มีให้น้องก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว ผมจึงค่อยๆนั่งลงโดยมีเด็กหนุ่มสวมกอดอยู่ทางด้านหลังไม่วางมือ "เลิกร้องไห้ได้แล้วพี่ไม่ไปก็ได้.... แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พี่อยากจะขอร้องแค้มป์.... ว่าต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามมีความคิดหรือพูดจาดูถูกพ่อแม่ของตัวเองอีกเด็ดขาด.... ได้ไหม?" น้องแค้มป์เลิกร้องไห้ตามคำร้องขอจากผมก่อนจะนั่งฟังผมตาแป๋วอยู่ด้านข้าง "ได้ครับ! ผมจะไม่คิดแบบนั้นอีก พี่เองก็ห้ามไปไหนนะครับ" "ได้สิ พี่จะทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปนานๆเลย จนกว่าอาจารย์หมอจะไล่พี่ออก.... โอเคไหม?" ทันทีที่ผมพูดจบเด็กน้อยในร่างวัยรุ่นที่มีอายุห่างจากผมเพียง 2 ปี ก็กระโจนสวมกอดผมด้วยท่าทางดีใจอย่างกับได้ของเล่นชิ้นใหม่ แล้วผมต้องตกใจอีกครั้งเมื่อจู่ๆ น้องแค้มป์ลอบหอมแก้มผมเสียฟอดใหญ่ มันส่งผลให้ผมรู้สึกอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด ต่อไปผมจะมองหน้าน้องเขาติดหรือไม่นะ เล่นมาทำแบบนี้จนผมไปไม่เป็น แต่ดูจากสีหน้าแววตาของน้องแค้มป์แล้วกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยว่าทำอะไรลงไป มันทำให้ผมอายจนหน้าแดงมะเขือเทศยังอายเลยตอนนี้ ขณะที่ยังอยู่ในอาการเขินอายอยู่นั้นเจ้าเด็กหนุ่มเผลอดึงตัวผมไปนั่งตักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตายแล้ว... ผมตายแน่ๆ... ไปไม่เป็นแล้วครับ… ระหว่างนั้นใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ มันรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วหน้าแล้วความร้อนนั้นก็วิ่งไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อยรู้สึกปั่นป่วนอย่างไรบอกไม่ถูก แขนแกร่งทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มยังคงโอบกอดผมไม่วาง ผมพยายามควบคุมสติตัวเองให้ได้นิ่งที่สุดเท่าที่ใจของผมจัดทำได้ ก่อนจะตัดสินใจจับแขนทั้งสองข้างของคนที่กอดผมอยู่เพื่อยกออกจากเอวให้ดูแนบเนียนที่สุดโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกว่าผมปฏิเสธอ้อมกอดนั้น ทันใดนั้นเองน้องแค้มป์กลับกอดกระชับผมแน่นขึ้นพร้อมทั้งใช้จมูกโด่งเป็นสันมาสัมผัสแก้มผมอีกข้างหนึ่งอย่างตั้งใจ "พี่สัญญากับผมแล้วนะ ว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าพ่อของผมจะไม่ให้พี่ทำงานที่นี่อีก" เสียงเด็กหนุ่มฟังดูออดอ้อนเจ้าเล่ห์จนผมสัมผัสได้ "ก็บอกว่าสัญญายังไง ปล่อยได้แล้วพี่ต้องไปทำงานต่อนะ?!" ผมพูดเชิงกล้าๆกลัวๆเด็กน้อยตัวใหญ่ ที่ยังมีความเป็นเด็กอยู่ไม่น้อย "พี่นั่งนิ่งๆสักพักได้มั๊ยครับ.... ผมกำลังรู้สึกดี!" "เอ๊ะ!! ว่าอะไรนะ... ที่พี่นั่งตักแค้มป์เนี่ยนะรู้สึกดี?!" ผมถามกลับอย่างสงสัย "ใช่พี่! มันโคตรรู้สึกดีเลยอ่ะครับ!" น้ำเสียงฟังดูเจ้าเล่ห์ชอบกล "เดี๋ยว!! พี่ว่ามันฟังแปลกๆแล้วนะ!" แววตาแห่งความเจ้าเล่ห์ดูเปล่งประกายมากขึ้นจนผมรู้สึกขนลุก ก่อนจะตัดสินใจจับแขนทั้งสองข้างของเขาออกจากตัว แล้วรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเพราะเนื่องด้วยผมรู้สึกแปลกๆตอนที่นั่งอยู่บนตักของเด็กหนุ่ม มันรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่มีชีวิตกำลังพยายามขยับตัว ทันทีที่ผมลุกขึ้นได้จึงหันกลับไปมองที่บริเวณตักของน้องแค้มป์ ผมต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ตอนที่นั่งอยู่บนต่างแล้วมันคืออะไรกันแน่ ผมสลัดหัวแรงๆ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ความคิดเหล่านั้นออกไปจากหัว "ทำไมพี่ทำหน้าเหมือนกับว่าผมจะทำอะไรพี่อย่างนั้นแหละ" จากคำถามทำให้ผมรู้สึกไปไม่เป็น.... "ก็.... ไม่มีอะไรหรอก! ถ้าแค้มป์เข้าใจพี่ดีแล้ว พี่ขอกลับไปทำงานต่อนะ... กินเวลาทำงานนานแล้ว" ผมรีบพูดตัดบทปล่อยให้เด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่นั่งงงอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ผมจะรีบวิ่งออกจากห้องพักไปที่แผนกทะเบียนผู้ป่วยเพื่อจะเคลียร์เอกสารต่อ ทั้งที่เอกสารทั้งหมดก็ถูกผมจัดการเรียบร้อยไปตั้งแต่บ่าย หากผมไม่ทำเช่นนั้นตอนนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไง เพราะสิ่งที่ผมคิดกับการกระทำของน้องเขามันดูสวนทางกันจนผมแทบจะมองหน้าแค้มป์ไม่ติด ผมคิดไปไกลจริงๆ ไกลซะเกือบกู่ไม่กลับเลยครับ... นี่ก็เกือบจะหกโมงเย็นที่ผมออกมาเดินเล่นบริเวณสวนสาธารณะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตึกหอพักเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ผมเดินเล่นทอดน่องไปทั่วสวนสาธารณะช้าๆ พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายบ้าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้บ้าง หรือจะเป็นการกระทำของน้องแค้มป์ที่เกือบทำให้ผมหัวใจวายด้วยการหอมแก้มผมถึง 2 ครั้ง มันคืออะไรกันแน่ น้องเขาคิดอะไรกับผมหรือเปล่า หรือผมคิดไปเองคนเดียวทั้งหมด ไม่รู้ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นเกือบจะทุกวัน ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่โรงพยาบาลของพ่อนพแห่งนี้ ทั้งหมดทั้งมวลมันทำให้ผมมีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กระทั่งผมรู้สึกเมื่อยขาจึงได้มานั่งพักที่บริเวณโต๊ะยาวที่มีพนักพิงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากทางเดินในสวนสาธารณะแห่งนั้น "พี่เหมยมานั่งอยู่ที่นี่เอง! ผมเดินหาซะทั่ว โทรหาก็รู้ว่าโทรศัพท์พี่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน" "พอดีเพิ่งเคลียร์เอกสารเสร็จน่ะ เลยลองถามพี่เจ้าหน้าที่แผนกทะเบียนเขาบอกว่าฝั่งตรงข้ามหอมีสวนสาธารณะอยู่ พี่เลยมาเดินเล่นน่ะ ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้บอก" ผมอธิบายเหตุผลให้เด็กหนุ่มฟังระหว่างที่เขานั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดียวกันกับผม "ไม่ต้องขอโทษผมหรอกพี่ พี่คงจะรู้สึกเครียดๆใช่ไหมล่ะ เลยอยากจะมานั่งผ่อนคลายที่นี่เหมือนผมเมื่อก่อน" (ก็ที่เครียดก็เครียดเรื่องนายนั่นแหละ เด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่เอ๊ย!) ผมคิดในใจพลางมองหน้าเขาทำให้น้องแค้มป์ถึงกับมีสีหน้าสงสัย "ก็ประมาณนั้นแหละ ไปหาอะไรกินกันไหมพี่เริ่มหิวแล้วอ่ะ" เพื่อไม่ให้น้องเขาล่วงรู้ถึงความรู้สึกของผม การเปลี่ยนประเด็นพูดจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผมในเวลานี้ "ไปสิพี่.... แต่วันนี้ผมไม่กินแล้วนะข้าวหน้าเป็ดอ่ะ เดี๋ยววันนี้ผมจะพาไปกินบะหมี่สูตรพิสดารกัน?!" ผมถึงกับทำหน้าเหวอ "สูตรพิสดาร!! แล้วมันจะกินได้ไหมล่ะ?" ยังถามกลับด้วยความอยากรู้ "ก็เป็นได้สิพี่ ถ้ากินไม่ได้แล้วเขาจะทำขายทำไมอ่ะ.... พี่เองก็ถามแปลกเนาะ! ป้ะๆ เดี๋ยวผมพาไป รับรองเด็ดแน่นอนคร้าบ!" ผมถึงจะอดยิ้มไม่ได้กับท่าทางที่ชวนหัวเราะของเด็กหนุ่มที่ผมแอบชอบ ยิ่งมาเจอกับพฤติกรรมแบบนี้ของเขา มันทำให้ความรู้สึกของผมกลับรู้สึกชอบเขามากขึ้นกว่าเดิม น้องเขาพาผมเดินไปยังร้านที่บอกอย่างเป็นกันเอง แล้วที่อาจจะดูเป็นกันเองมากขึ้นนั่นก็คือ เขากอดคอผมเดินไปยังร้านบะหมี่พิสดารนั่นอย่างกับเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างไรอย่างนั้นเลยครับ นี่สรุปผมกำลังจะมีแฟนหรือจะมีเพื่อนรักกันแน่ครับเนี่ย แต่จะว่าไปก็ยังไม่รู้เลยว่าน้องเขาจะคิดเหมือนกันกับผมหรือเปล่า หากน้องเขาคิดเหมือนกันครับผมมันก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยชีวิตครั้งหนึ่งของผม แต่ถ้าน้องเขาไม่ได้คิดเหมือนผมล่ะ... มันยากนะครับที่จะให้หัวใจที่อ่อนแอกลับมาแข็งแรงเหมือนตอนนี้ แล้วมันก็คงจะยากมากขึ้นที่ผมจะเปิดใจรับรักใครอีกครั้ง หรือผมอาจจะไม่คิดจะเปิดใจให้ใครอีกเลยจนวันตาย... มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดมากๆนะครับ กับความรู้สึกที่ไม่สมหวังในความรัก… ทันทีที่เราสองคนเดินมาถึงร้านบะหมี่พิสดารอะไรสักอย่างที่น้องแค้มป์บอก เขาก็รีบกุลีกุจอไปจัดการเก้าอี้ให้ผมนั่งอย่างรู้งาน ความที่เป็นคนทีเล่นทีจริงแบบนี้ บางครั้งผมก็อดที่จะคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขารู้สึกดีกับผมจริงๆ บางครั้งก็มีความคิดแว้บนึงเข้ามาว่านั่นคือหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมาย หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาไม่มีเพื่อน ไม่มีใครที่จะให้พูดคุยแบบเป็นกันเองเหมือนกันกับผม จึงทำให้เขาพยายามทำทุกอย่างให้ผมรู้สึกดีจนไม่อยากจะออกไปจากชีวิตของเขาก็เป็นได้ น้องแค้มป์ในเวลานี้ทำไมเขาดูน่ารักเป็นพิเศษ คอยเอาอกเอาใจผมทุกอย่าง กระทั่งบะหมี่พิสดารอะไรของเขานั้นมาเสิร์ฟ ดูหน้าตาและสีสันก็น่าทานอยู่นะครับแต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยอย่างที่เขาพูดไว้หรือเปล่า (ถ้าไม่อร่อยนะน่าดู) ผมแอบบ่นเขาในใจด้วยความเอ็นดูในท่าทางที่สุดแสนจะน่ารักของเด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่คนนี้อย่างไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจตักบะหมี่ในชามเข้าปาก "โห!! อร่อยมาก...กอไก่ล้านตัว" ผมถึงกับตาโตในสิ่งที่ลิ้นรับรสได้พร้อมลากเสียงยาว เป็นผลให้น้องแค้มป์ยิ้มแก้มแทบแตก...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD