(เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือ)
"อื้ม…" เจ้าเสียงนาฬิกาปลุกทำให้ผมเสียอารมณ์กับการที่ต้องแหกขี้ตาตื่นขึ้นมา เพื่อรีบควานเจ้าโทรศัพท์มารีบกดปิดเสียงปลุกนั้นด้วยความรวดเร็ว เพราะรู้สึกเกรงใจคนที่นอนข้างๆ แต่....
"อ้าวพี่ตื่นแล้วเหรอครับ" ผมรู้สึกตกใจเล็กน้อยรีบหันไปหาทางต้นเสียงก็พบว่าน้องแค้มป์อยู่ในชุดทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนผมยังอยู่ในชุดเมื่อคืนนี้อยู่เลย เนี่ยนะที่บอกว่าจะดูแลลูกชายพ่อนพที่ดีที่สุด.... (แต่ที่ไหนได้กลับเป็นลูกชายเขาต้องมาดูแลเราเองมากกว่า....) ผมคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกผิดในใจกับความต้องการครั้งแรกที่ได้เจอหน้าเด็กหนุ่มคนนี้
"พี่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ยังกลัวเรื่องเมื่อคืนนี้อยู่เหรอ.... ไม่เป็นไรนะครับผมอยู่ตรงนี้แล้ว" ผมยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่เมื่อน้องเขาเห็นสีหน้าของผมดูมีความกังวลจนเขาอาจจะสังเกตได้ สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อหนุ่มน้อยคนที่ผมแอบปลื้มรีบนั่งลงข้างตัวมากอดผมไว้ในอ้อมอกของเขาด้วยท่าทางเป็นห่วง
จากการกระทำของน้องทำให้ผมอดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้ ก่อนจะปล่อยโฮร้องไห้เหมือนเด็กๆ 2-3 ขวบ อ้อมกอดนั้นยิ่งกระชับมากขึ้น...
"พี่ขอโทษ.... ที่ตั้งใจว่าจะดูแลแค้มป์ ตั้งใจว่าจะเป็นผู้ช่วยที่ดีให้แค้มป์ แต่ตอนนี้พี่กลับเป็นคนอ่อนแอให้แค้มป์เป็นฝ่ายดูแลพี่ซะเอง.... พี่เสียใจนะแล้วก็ขอโทษแค้มป์ด้วย เดี๋ยววันนี้พี่จะไปคุยกับอาจารย์หมอ ว่าพี่จะไปฝึกงานที่โรงพยาบาลอื่นจะได้ไม่เป็นภาระให้กับแค้มป์!" ผมพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ตัวโยนเป็นระยะ ผมรู้สึกเสียใจจริงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าผมคิดมากไปเองหรือเปล่า
บรรยากาศภายในห้องพักดูเงียบไปกระทั่งสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นของกันและกันอยู่ครู่หนึ่ง...
"พี่ไม่ต้องคิดมากนะครับ พี่ไม่ใช่ภาระของผมเลย ผมเองต่างหากที่อยากจะดูแลพี่ จากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าพี่ควรจะมีผมอยู่ข้างๆ จนกว่าพี่จะสามารถอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้โดยที่ไม่ต้องห่วงพี่ นะครับพี่เหมยให้ผมอยู่ดูแลพี่นะ" คำพูด แววตา จากเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาถ่ายทอดถึงความจริงใจและความเต็มใจจนผมรับรู้ได้ แบบนี้ผมเองก็คงไม่กล้าปฏิเสธความหวังดีของเขาใช่มั๊ยครับ
"นะครับพี่!" น้องแค้มป์ยังถามซ้ำอีกครั้งเพื่อให้ได้คำตอบจากผม
"ถ้าเป็นความต้องการของแค้มป์พี่ก็ยินดีครับ" ผมมองเข้าไปในแววตาของเด็กหนุ่มตอบคำถามของเขา ท่านที่ที่คนตรงหน้าได้รับคำตอบจากผม ใบหน้าที่รอความหวังได้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าแห่งความสุขขึ้นมาฉับพลัน แล้วฟ้ามือใหญ่ทั้งสองข้างก็ดึงตัวผมเข้าไปสวมกอดอีกครั้งพร้อมกับคำพูดขอบคุณมากมาย
การกระทำของแค้มป์ส่งผลให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ที่น้องเขาต้องการดูแลผมมันคือความต้องการจริงๆของเขา หรือเป็นหน้าที่ที่น้องแค้มป์ได้รับจากพ่อนพกันแน่ ผมพยายามครุ่นคิดระหว่างที่กำลังอาบน้ำ ความรู้สึกของผมดูสับสนไปหมด เดี๋ยวก็ดีใจยิ้มกับตัวเองในกระจกบริเวณอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ เดี๋ยวก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอาจจะเป็นหน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายจากพ่อของเขา หรือว่าน้องเขารู้สึกเหมือนกันกับผมจึงอยากจะดูแลผมอย่างที่ผมอยากจะดูแลเขา ผมคิดวกไปวนมาอยู่หลายรอบจนกระทั่งเสียงประตูห้องน้ำดังขึ้นโดยมีคนเคาะจากด้านนอก...
ก๊อกๆ...
"ที่เหมยใกล้เสร็จหรือยังครับ เหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงนะพี่" เสียงเรียกของน้องเขาทำให้ผมได้สติจึงรีบจัดการน้ำแปรงสีฟันแล้วบ้วนปาก โดยไม่ลืมรีบหยิบคุณหนูมาพันที่เอว หันไปเปิดประตูห้องน้ำแล้วรีบออกมาอย่างเร่งรีบ
"สีหน้าพี่ยังอยู่เป็นกังวลอยู่นะครับ ทำใจให้สบายนะพี่ไม่ต้องคิดมาก.... เหลือเวลาแค่ 25 นาทีนะครับเดี๋ยวผมช่วยแต่งตัวดีกว่าจะได้เสร็จเร็ว โจ๊กหมูเย็นหมดแล้ว" ผมหันหน้าไปทางอาหารที่เขาพูดก็เห็นมีชามสีขาวใบใหญ่ว่างอยู่บนโต๊ะทำงาน แล้วเด็กหนุ่มคนที่อยากจะดูแลผมก็จัดแจงหยิบเสื้อผ้าให้ผมพร้อมกับช่วยจัดการความเรียบร้อยให้กับตัวผมอีก ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาทีสำหรับการแต่งตัวก็เสร็จเรียบร้อยตามความต้องการของเขา ซึ่งผมเคยใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ก่อนผมจะรีบไปทานโจ๊กที่น้องชายสุดที่รักเตรียมไว้จนหมดเกลี้ยง ทำให้ผมได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง
วันนี้เป็นวันแรกสำหรับการเริ่มฝึกงานที่โรงพยาบาลในฝันของผม โดยมีเด็กหนุ่มอายุห่างจากผม 2 ปีค่อยเป็นบัดดี้ตัวติดกับผมแทบจะตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานเอกสาร งานฝ่ายทะเบียน งานติดต่อหรือประชาสัมพันธ์ จะมีหนุ่มน้อยคนนี้คอยสอนงานผมแทบจะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะงานยากหรือง่ายแค่ไหน น้องแค้มป์ก็จะคอยอธิบายแล้วให้ผมลองปฏิบัติตามแทบทุกอย่าง จากสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการเรียนรู้งานจากเด็กหนุ่มคนที่ผมแอบชอบตั้งแต่ครั้งแรก ผ่านไปเกือบเต็มวันตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมน่าจะสามารถทำงานได้ทุกแผนกได้ไม่ยาก เพราะได้ทั้งความรู้ได้ลงมือทำ แม้จะมีงานส่วนไหนที่ผมไม่เข้าใจ ก็จะมีน้องแค้มป์คอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างๆเสมอ เป็นผลให้ผมทำงานได้ทั้งวันอย่างมีความสุข โดยเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผมก็ได้อยู่ในสายตาของพ่อนพด้วยเช่นกัน
"ยุ่งอยู่หรือเปล่าลูก มาหาพ่อที่ห้องหน่อยลูก"
"ได้ครับพ่อนพ ผมเพิ่งเสร็จจากการกรอกข้อมูลผู้ป่วยนอกครับ" ผมกดวางสายโทรศัพท์จากพ่อนพแล้วหันไปบอกน้องแค้มป์ว่าขอตัวไปหาพ่อของเขาสักครู่....
ก๊อกๆ...
"ขออนุญาตครับ....”
"เข้ามาเลยลูก! นั่งก่อนสิ" ผมผิดลูกบิดประตูห้องทำงานตามคำอนุญาตก่อนจะเดินตรงไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของท่านแล้วนั่งลงอย่างนอบน้อม
"พ่อนพมีธุระอะไรกับผมหรือครับ"
"เมื่อเย็นวานเจ้าแค้มป์โทรมาขออนุญาตพ่อ เพื่อขออยู่เป็นเพื่อนลูกที่ห้องพักจนกว่าลูกจะสามารถอยู่คนเดียวได้....” น้ำเสียงบวกกับสีหน้าของท่านดูจริงจังมากจนผมรู้สึกกลัว
"ถ้าพ่อนพไม่สบายใจเรื่องนี้ เดี๋ยวผมคุยกับน้องเขาเองก็ได้ครับ ว่าพอผมอยู่ได้....” ผมเสนอความคิดเห็นในเชิงรู้สึกไม่ค่อยดีกับสิ่งที่ได้ยิน
"จะไปบอกน้องแบบนั้นได้ยังไงล่ะ ก็ในเมื่อมันเป็นความต้องการของเราทั้งสองคนไม่ใช่หรอ?" ใบหน้าที่ดูจริงจังเริ่มเผยรอยยิ้มมุมปากอย่างคนรู้ทัน
"พ่อนพ!" ผมอุทานเรียกชื่อท่านด้วยความแปลกใจ
"พ่อมองออก แล้วจากที่พ่อเห็นเราสองคนทำงานด้วยกันอย่างมีความสุข พ่อก็เริ่มสบายใจมากขึ้นที่งานนี้ พ่ออาจจะไม่ต้องลงมือออกแรงช่วยลูกชายของพ่ออีกคนนึงเลย เพราะเจ้าแค้มป์อาจจะมีความรู้สึกดีๆ ให้เหมยเหมือนกันนะลูก!"
"แต่ผมคิดว่าสิ่งที่น้องทำอยู่ อาจจะทำตามคำสั่งของพ่อก็ได้นะครับ" ผมค้านจากเหตุผลที่ได้ฟังจากท่าน
"ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นนะ สิ่งที่เราเห็นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง เวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ทุกอย่างเองลูก เหมยพร้อมยอมรับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหรือเปล่าลูก.... ว่าสิ่งที่เจ้าแค้มป์ทำลงไปทั้งหมดไม่ว่าจะเพื่ออะไรก็ตาม เหมยจะไม่เสียใจกับผลที่จะตามมาในอนาคต?!" จากคำพูดของท่าน มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังดี ที่อยากให้ผมและลูกชายของท่านได้มีความสุขร่วมกันตามที่ท่านคาดหวังไว้ โดยไม่รู้เลยว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมรู้สึกดีใจและตอบรับพ่อนพด้วยความมั่นใจ
"ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ผมก็พร้อมจะยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตครับพ่อนพ" หลังสิ้นคำพูดของผม ท่านก็ลุกจากเก้าอี้ทำงานเดินอ้อมมาประคองผมให้ลุกขึ้นยืนก่อนจะสวมกอดผมด้วยความอ่อนโยน เกือบจะทำให้ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
"พ่อ พี่เหมย!!" ผมกับพ่อนพผละออกจากกันหันไปทางต้นเสียง....
"แค้มป์!!" พ่อนพอุทานด้วยความตกใจ
"มันเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมพ่อกับพี่เหมยถึงได้มายืนกอดกันแบบนี้.... มีใครจะอธิบายให้ผมฟังได้มั๊ยครับ!" น้องแค้มป์มีท่าทีตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แววตาของเขาดูเศร้าหลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับว่ากำลังผิดหวังอะไรสักอย่าง
"แค้มป์ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีพี่มีปัญหานิดหน่อยครับเลยมาขอคำปรึกษาจากอาจารย์หมอ ตอนนี้พี่มีวิธีแก้ไขปัญหาของพี่แล้ว อาจารย์หมอเองก็รู้สึกดีใจไปกับพี่ด้วย เราเลยกอดกันเพื่อแสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อกันเฉยๆครับ"
"แสดงถึงความห่วงใย.... ต้องห่วงใยกันขนาดไหนครับถึงได้กอดกันกลมขนาดนั้น!"
"พอเถอะ!! มันไม่มีอะไรหรอกลูก มันเป็นเพียงแค่การกอดที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยกันเท่านั้นลูก... คุณเองไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปทำงานป่ะ เดี๋ยวผมจะทำงานต่อแล้ว" จากคำพูดของพ่อนพที่ดูเหมือนว่าจะยุติสถานการณ์ลงแล้ว แต่นั่นกลับคือจุดเริ่มต้นเหตุการณ์ที่ผมคาดไม่ถึง...
ผมพยายามกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามน้องแค้มป์ที่มีอาการแสดงออกถึงความไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายนาทีก่อน
"แค้มป์หยุดก่อนสิ! แค้มป์ได้ยินพี่พูดไหม!..." คำเรียกจากผมไม่เป็นผลที่จะทำให้เด็กหนุ่มหยุดเดินหนี ไม่ว่าจะยืนขวางหน้าก็แล้ว หรือจะจับแขนรั้งไว้ก็แล้ว ก็ถูกเด็กหนุ่มแกะมือออกจากแขนของเขาแล้วเดินหนีต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากเขาเลยแม้แต่คำเดียว ลักษณะอาการแบบนี้มันคือการหึงหวงอย่างที่ผมเป็นมาก่อน หรือจะคิดอีกแง่หนึ่งก็คือ เขาคงโกรธผมที่ไปยุ่งกับพ่อของเขา แต่พ่อของเขาก็คือพ่อของผมเหมือนกัน อาจจะผิดตรงที่ว่าผมยังไม่ได้บอกเขา ว่าพ่อนพเป็นเพื่อนสนิทพ่อของผมแล้วผมก็นับถือพ่อของเขาเป็นพ่อคนหนึ่งของผมเช่นกัน แล้วมันจะแปลกอะไรล่ะครับที่พ่อลูกจะกอดกันแบบนั้น ผมว่าผมควรจะหาโอกาสบอกเขาสักทีสำหรับเรื่องนี้ ถ้าเขารู้ปัญหาความเข้าใจผิดก็คงจะไม่เกิดขึ้น
โดยที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องเขาจะเดินไปไหน ท้ายที่สุดก็มาหยุดเดินที่บริเวณหน้าห้องพักของผมเอง ก่อนที่เขาจะถือวิสาสะเดินกลับมาหาผมแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของผมเพื่อจะหยิบเอาลูกกุญแจไปไขประตู แล้วเดินเข้าห้องไปด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์มากขึ้นกว่าทีแรก...
"ฟังพี่ก่อนได้ไหมแค้มป์.... ปกตินายเป็นคนยังไงเนี่ย.... ชอบคิดเองเออเองหรอ.... หรือยังไง?" ผมก็พยายามยิ่งคำถามเพื่อที่จะได้คำตอบแล้วจะได้อธิบายให้เขาฟังได้เข้าใจ ว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรือเข้าใจอะไรเลยไม่ได้น้อย
"พี่หยุดพูดเถอะ! ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพี่มาฝึกงานที่นี่เพราะอะไร? หรือพี่กับพ่อผมจะมีเรื่องลับอะไรกัน ถ้าพี่คิดจะมาฝึกงานที่นี่เพื่อจะมาแย่งพ่อไปจากแม่กับผม ผมขอให้พี่หยุดความคิดนั้นซะ... เพราะผมจะไม่มีวันยอมให้ใครหน้าไหนมาปั่นหัวพ่อผมแน่นอน!!" ผมนี่โคตรอึ้งในคำพูดเด็กหนุ่มที่ผมแอบชอบเอามากๆ…